แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พัฒนา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พัฒนา แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

รั้ว


ผ่านสงการนต์ปี 2555 มาคล้ายกับทุก ๆ ปี รดน้ำดำหัวพ่อแม่ แล้วก็อยู่บ้าน ในสภาพอากาศที่ร้อนสุด ๆ ปีนี้ร้อนมากจนสมองจะละลายอยู่แล้ว
ขอสวัสดีปีใหม่ไทยเรา กับทุก ๆ ท่านมา ณ ที่นี้เลยนะครับ ขอให้มีความสุข ในตัวของตัวเอง แล้วก็มีความอยากได้อยากมีน้อยลง สุขภาพแข็งแรงจากการออกกำลังกายนะครับ

สงกรานต์ปีนี้มีสิ่งที่แตกต่างไปบ้างตรงที่ว่า ไม่ได้ทำความสะอาดบ้านเยอะ ๆ เพราะจ้างช่างมาทำรั้ว เลยต้องคอยดู ๆ ช่างทำงานจนไม่ได้ทำความสะอาดบ้าน
รั้วเป็นสิ่งที่จะบอกอาณาเขตของบ้าน แต่โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ชอบการมีรั้วรอบล้อมมากนัก เพราะเหมือนกับการโดนจำกัดพื้นที่ให้กับตัวเอง ดูแล้วรู้สึกว่าต้องอยู่ในกรอบ
แต่ก็คงต้องทำรั้วที่บ้าน เพราะเจ้าสองมะก็ยังคงพยายามเข้าไปบ้านอื่น ๆ เพื่อหารองเท้าหนัง มาแทะเล่น หรือไม่ก็ไปไล่แมว ไม่ได้ทำเพื่อป้องกันค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ เพื่อมีความเสียหายกับรองเท้าคนอื่น แต่ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ชอบเจ้าสองมะมัน ก็ตัดปัญหาด้วยการทำารั้วข้างบ้านในที่สุด หลังจากอิดออดมา 3 ปี

รั้วออกแบบเอง เพื่อความแข็งแรงและสวยงาม สวยงามตามความเห็นของผมเองนะ ส่วนช่างที่เขามาก็คละแบบ คละความสามารถกันมา เลยต้องคอยดูเวลาทำงาน
จากที่นั่งสังเกตการทำงานและวิธีการคิดของช่างพื้นบ้าน ก็ได้เห็นว่า แนวความคิดในการทำงานของช่างนั้น ค่อนข้างจะไม่ยืดหยุ่น มีการทำงานเป็นแนวเดียว ไม่สามารถดัดแปลงเพื่อความเหมาะสมได้
รวมทั้ง บางคนอาจมองเรื่องความสวยงามว่าไม่จำเป็น ทั้งนี้คิดว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้หัดคิด ในการทำงานและรอรับคำสั่งอย่างเดียว เลยค่อนข้างยากในการคิดงานเอง
แล้วเราเองก็มีข้อเสียเดิม ๆ ที่ชอบมองดูคนอื่นว่าเขามีความคิดยังไง จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแบบไหน เลยปล่อย ๆ ไปค่อยมองแล้วหาวิธีแก้ไขปัญหาทีหลัง งานบ้างส่วนเลยอาจต้องมาลงมือทำเองภายหลังบ้าง
ถือซะว่าเอามาฝึกความคิดและฝีมือของผมเองก็แล้วกัน

รั้วอาจจะจำกัดพื้นที่ได้ แต่จำกัดความคิดไม่ได้หรอกนะ แล้วหากคนเราไม่หัดคิด ก็คงจะมีการทำงานหรือการใช้ชีวิต คล้ายกับช่างที่มาทำรั้วบ้านได้
อย่าปล่อยให้สมองว่างเปล่ากันยาว ๆ นัก ใช้ความคิดกันเยอะ ๆ ซะ สมองจะได้ไม่เฉื่อยนะ

เพราะเราคิด เราจึงเป็นนะ

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จิตตก


จิตตกสำหรับผมคือภาวะอาการที่เกิดความไม่มั่นคงในจิตใจ โดยค่อนไปทางเรื่องร้าย ๆ นะครับ ที่ขึ้นหัวเรื่องแบบนี้เพราะเพิ่งเกิดกับตัวเองมาเลย ทำให้ได้คิดว่า ถึงว่าผมจะคิดว่าสามารถควบคุมตัวเองได้ดีพอสมควรแล้ว แต่จริง ๆ แล้วยังไม่ดีเพียงพอที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ประมาท เพราะความที่จิตใจไม่มั่นคงพอ อาจทำให้เราเดินทางไปสู่ทางที่ผิดได้ง่าย ๆ เพราะยังงี้ผมคงต้องพยายามพัฒนาจิตใจตัวเองต่อไปอีกละนะ
เหตุการณ์แรกเกิดที่คลองถม ด้วยความที่เดินดูของเพลิน ๆ พอเงยหน้าขึ้นก็พบรอยยิ้มที่ส่งมาให้ผมโดยตรง จากผู้หญิงคนหนึ่ง เชื่อไหมว่าผมรู้สึกว่าตกใจอย่างแรง ถึงแม้ผมจะเคยเห็นผู้หญิงคนนี้หลายครั้งแล้วก็ตาม เธอเป็นผู้ญิงที่แต่งตัวด้วยเสื้อแขนกุด  กางเกงขาสั้น ทาปากแดง ทาแป้งขาว ผมคิดว่าเธอสติไม่ดีนะ เรื่องนี้ไม่ยืนยัน เมื่อก่อนผมไปคลองถมบ่อย ๆ ก็ไม่เคยเจอนะ เพิ่งเจอช่วงหลัง ๆ นี่เอง ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรเธอถึงพอใจที่จะก้าวออกจากความเป็นจริงไปอยู่ในโลกที่เธอสร้างขึ้นเอง แต่ดูท่าทางเธอก็มีความสุขดี นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองน่ารังเกียจที่ตกใจเมื่อเธอยิ้มให้ ซึ่งแสดงว่าผมมีจิตใจที่ไม่มั่นคงพอที่จะยอมรับกับทุกบุคคลได้ ซึ่งเป็นส่วนที่ผมคงต้องพัฒนาต่อไปนะ หนทางยังอีกยาวไกล

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องใหม่สด ๆ ร้อน ๆ ของวันนี้ ระหว่างที่ผมขับมอเตอร์ไซค์อยู่แถวโบ๊เบ๊ ผมโดนแท็กซี่เฉี่ยวล้มครับ! แล้วแท็กซี่ส่วนบุคคลคันนั้นก็รีบขับต่อไป... ผมยกรถขึ้นมาขับต่อได้ ไม่ได้บาดเจ็บ ก็คนมันแข็งแรงอ่ะนะ ด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิดมาก ๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว ผมไม่ได้ขับรถประมาท ขับเร็ว หรือขับแทรกไปแต่ประการใด แท็กซี่คันนั้นแซงไปอย่างกระชั้นชิด กระจกข้างเกี่ยวแฮนด์มอเตอร์ไซค์จนล้มลง.... และไม่มีความรับผิดชอบ ที่จะลงมาดูแต่ประการใด... เรื่องเฉี่ยวล้ม เป็นอุบัติเหตุ พอเข้าใจได้ แต่เรื่องที่ไม่สนใจจะดูเลยนี่ รับไม่ได้ อันเป็นเหตุให้หงุดหงิด และมีความคิดที่ไม่ดี ๆ เกิดขึ้น เมื่อความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้น ก็ทำให้การควบคุมตัวเองและจิตใจลดลงไปด้วย ทำให้รู้สึกว่าทำอะไรก็จะไม่ปลอดภัย เลยพาลไม่อยากทำอะไรเลย... จิตตก..
เรื่องนี้เป็นเหตุให้ผมคิดได้ว่า ถึงเราจะไม่ประมาทในการขับรถ แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่ยังประมาทอยู่ เราต้องไม่ประมาทเพิ่มขึ้นเป็นสอง-สามเท่า เพราะให้เกิดความปลอดภัย รวมทั้งใจผมที่คิดร้ายกับคนขับแท็กซี่ นี่ก็ต้องปรับปรุง ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะให้อภัยได้ ทำให้ใจตัวเองไหม้อยู่กับความแค้น และความคิดไม่ดี เป็นชั่วโมง ๆ
เนื่องจากเหตุการณ์จตตกของผมทั้งสองเหตุการณ์อยู่ในสถานะที่ต่างกัน แต่เกิดอาการที่คล้ายคลึงกัน และเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่ายังคงต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกเยอะเลยสำหรับผม
สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นประสพการณ์ เพื่อการพัฒนาจิตใจตัวเองสำหรับผมต่อไป

ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท อย่างสม่ำเสมอ
เรามาพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กันไหม? เริ่มที่การให้อภัยกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พัฒนา?

เวลานี่วิ่งเร็วดีจริง ๆ 
เดือนที่แล้ว (ต.ค.) ไม่ได้เขียนอะไรเลยนะเนี่ย
สาเหตุก็มาจากการที่ได้ซื้อเครื่องเล่นเกมมาเล่นนี่เอง
ตามที่เคยเขียนไว้นะครับ กว่าจะได้ซื้อก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว แต่ก็สำเร็จอีกเรื่องหนึ่งครับ


สัปดาห์ที่แล้วมีโอกาสไปทำงานในประเทศลาว ที่เวียงจันทร์ แล้วก็น้ำพืน ผ่านปากซัน ปากเซ
เป็นการเข้าไปหลังจากห่างไปประมาณ 4-5 ปี สำหรับเวียงจันทร์ เพราะล่าสุดที่เข้าไปคือ 3 ปีก่อน แต่เป็นที่สะหันนะเขต กับเขื่อนน้ำเถิน.. ไม่ได้ไปเวียงจันทร์


สิ่งที่ได้พบได้เห็นก็คือ "การพัฒนา
ตึกใหม่ ๆ , ร้านอาหาร, ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น! ร้านดอกไม้!! โรงแรมม่านรูด!!! รวมทั้งแหล่งเสื่อมโทรมอื่น ๆ สำหรับผมแล้ว ที่นี่พัฒนาเร็วมาก ๆ เร็วจนมีความคิดว่า ผู้คนจะรับทันหรือ? มีการรณรงค์ให้ใช้เงินกีบ "อยู่เมืองลาว ต้องใช้เงินกีบ" อนาคต คงใช้เงินไทยไม่ได้ซะแล้วละ จากที่ได้พูดคุยกับคนที่อาศัยอยู่ในเวียงจันทร์ ทั้งคนที่มีเงิน และคนธรรมดาสามัญทั่วไปอย่างผม พวกเขาก็เห็นการพัฒนาต่าง ๆ ว่าเร็วดี แต่รายได้ของคนทั่วไป ก็ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก อาชีพขับรถ อจาได้เงินเดือนเป็นเงินไทย ประมาณ 3000 บาท หรือช่างเทคนิค อาจมีรายได้ประมาณ 4000 บาท รายได้แค่นี้คงไม่เพียงพอกับการอาศัยอยู่ในเวียงจันทร์ โดยที่ต้องอาศัยอาหารนอกบ้านทุกมื้อแน่ ๆ ข้าวจี่ ปาเต้ (ขนมปังฝรั่งเศส ผ่ากลางใส่ แตงกวา หมูยอ แล้วก็ตับบด) อันเล็กก็ 50 บาทแล้ว แต่กินอิ่มนะ อิ่มมาก เพราะอันเล็กนี่ก็ยาวฟุตนึงแล้ว ราคาจาก 4-5 ปีก่อน ก็ขึ้นมาประมาณ 15-20 บาท  กาแฟร้อนแก้วละ16-20 บาท
ราคาพวกนี้เป็นราคาที่คนลาวซื้อกันจริง ๆ นะ ไม่ใช่ราคานักท่องเที่ยว เพราะคติในการเดินทางของผมคือ การที่ต้องกินอาหารท้องกิ่นที่คนท้องถิ่นเขากินกัน ถึงจะเป็นการไปถึงที่จริง ๆ ไม่ใช่การ "ถึง" ในความหมายอื่น ๆ ที่คนไทยทั่วไปเข้าใจกันนะ
พูดถึงคำว่าไป "ถึง" นี่นะ ทำไมไม่เข้าใจกันใหม่ให้มันดีขึ้น ทำไมเราไม่คิดบ้างว่า ผู้หญิง เป็นเพศแม่ที่ต้องให้เกียรตินะ ไม่ใช่สินค้า หรือพูดอย่างเต็ม ๆ ก็คือ มนุษย์ ไม่ใช่สินค้า นะ เมื่อไปถึงที่ไหน ๆ ก็หาซื้อผู้หญิง ของเมืองนั้น ๆ มานอนด้วย แล้วบอกว่าถึงแล้ว... นี่เป็นเรื่องที่ทุเรศมาก ๆ สำหรับผม การจะนอนด้วยกับใครก็ตาม จำเป็นต้องมีความรัก ความพึงพอใจ มาด้วยนะ หากไม่ใช่ ก็ไม่ต่างกับสัตว์ ที่มีเพศสัมพันธ์กันตามสัญชาตญาณ แต่มนุษย์นี่เลวกว่าอีก ใช้สิ่งสมมุติ (เงิน) แลกกับการแสดงความรัก (เซ็กส์) เป็นเรื่องที่น่าละอายมาก แล้วเราไม่คิดกันบ้านหรือว่า หากคนต่างชาติมาถามเราเรื่องเที่ยวผู้หญิง แล้วพูดคุย เยาะเย้ยหรือไม่ให้เกียรติเพศหญิงของประเทศเรา เราจะรู้สึกอย่างไร  เกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นคน, ความเป็นชาติ จะทำให้เราเงยหน้ามองคนที่พูดกับเราได้เต็มตาหรือ 


ที่เวียงจันทร์สัปดาห์นี้ ผู้คนแต่งตัวเป็นสากลขึ้น นักเรียนเริ่มมีแบบใส่กระโปรงลายสก็อต แทนผ้าซิ่นบ้างแล้ว รถมอเตอร์ไซค์, รถยนต์ วิ่งกันเต็มเมือง... ตำรวจเต็มเมือง อยู่ทุกแยก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับซีเกมส์ ต้นเดือนหน้า แต่พอเดินทางผ่านสนามกีฬา และหมู่บ้านนักกีฬา แล้วก็ศูนย์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ควรจะสร้างเสร็จแล้วกลับเป็นการเริ่มต้น ขึ้นโครงหรือ บางส่วนยังไม่ฉาบเลย มีแต่ตัวสนามกีฬาใหม่เท่านั้นละ ที่พอจะเสร็จทัน เลยเกิดความสงสัย ว่าจะทันต้นเดือนหน้าหรือเนี่ย...


ที่น้ำพืน นั่งกินอาหารก่อนเข้าไซค์งาน คนลาวเปิดช่องดาวเทียมของกลุ่มเสื้อแดง คุณจตุพร กำลังพูดอยู่บนเวที ด่ารัฐบาล และทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขา คุณณัฐวุฒิ จะรู้ไหมว่า คนลาวเขาดูไป หัวเราะไป ในความขัดแย้งของบ้านเรา ผมเคยเขียนไปแล้วว่า ผมไม่ใช่ทั้งเหลืองและแดง ไม่เห็นด้วยกับการโกง การโกหก การใส่ร้ายป้ายสี และการที่ผมอยู่ี่ตรงนั้นที่พวกเขากำลังหัวเราะเยาะคนไทยอยู่นั้น เป็นการสร้างความรู้สึกที่ทำให้อาย อายมาก จนไม่อยากกินข้าวเลยนะครับ สงสารประเทศกันบ้างเถอะ


ไซค์งานที่ผมเข้าไปเป็นโรงไฟฟ้า บ้านเราซื้อไฟฟ้า จากลาวมาปีละหลายล้านเมกกะวัตต์นะครับ พอเข้าไปตรวจงานก็ต้องทำให้รู้สึกว่าไว้ใจคนของตัวเองไม่ได้อีกต่างหาก เพราะรายงานที่ส่งไปให้ผมก่อนที่จะเดินทางมาดูเองนี่ สภาพต่างกันค่อนข้างมาก จนต้องลงมือตรวจสอบเองทั้งหมด... เหนื่อยและท้อใจขึ้นมานิดหน่อย..  เดินทาง 4 ชั่วโมงจากเวียงจันทร์ ทำงาน 3 ชั่วโมง เดินทางกลับอีก 4 ชั่วโมง.. งานไม่เสร็จ คนของเราที่รับผิดชอบ ยังไม่คุยถึงเรื่องงานเลย คุยกับคนลาวแต่เรื่องจะหาผู้หญิง ทำให้ผมรู้ว่า เวลาที่เขาเดินทางเขามาทำงานคงไม่ได้ตั้งใจทำงาน หรอก คงเป็น ทำงาน 10-20 เปอร์เซนต์ ที่เหลือเที่ยว....


บ้านเมืองของลาวกำลังพัฒนา ไปอย่างก้าวกระโดด ต่างกับบ้านเราที่ชะลอตัว เหมือนกันตรงที่เป็นการพัฒนาที่แทบไม่มีเส้นทางที่ชัดเจน และเน้นที่การพัฒนาแต่บ้านเมืองและเศรษฐกิจ โดยไม่นำพาถึงการพัฒนาจิตใจของผู้คน


คนนี่แหละที่พัฒนายากที่สุด และยังเป็นคนนี่แหละที่นำไปสู่ความเสื่อมเร็วที่สุดอีกด้วย...
สงสัยว่าผมคงจะเกิดผิดยุคผิดสมัยซะแล้ว.....