แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หนีกรุง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หนีกรุง แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ฝัน

ปี 2556 ช่วงเวลาที่เพิ่งฟื้นตัวได้หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ เป็นปีที่ต้องผ่านอะไรมามากมาย ดีใจ เสียใจ เจ็บปวด สูญเสีย เปลี่ยนผ่าน หลายสิ่งหลายอย่างผ่านเข้ามาในชีวิต
ต้นปีนั้น ผมได้มีโอกาสรู้จักกับนิตยสารรูปแบบใหม่เล่มหนึ่งซึ่งแค่ชื่อก็โดนใจผมแล้ว นิตยสาร “หนีกรุง ไปปรุงฝัน” หลังจากนั้นก็ได้ติดตาม ได้สัมผัส ได้รับรู้ข้อมูลต่าง ๆ จากนิตยสารท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ฉบับนี้ สำหรับคนที่อ่านหนังสือเรียงหน้าไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายแบบผม มันทำให้รู้สึกสนุก และสามารถนั่งอ่านได้เรื่อย ๆ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ เพราะมารู้ตอนหลังว่าเคยเป็น Free Copy แจกให้อ่านฟรี ๆ มาก่อน เมื่อได้มาสัมผัส รวมทั้งได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมของทางหนีกรุง ก็ยิ่งชอบ ยิ่งรักจนสมัครสมาชิกต่อมาเป็นปีที่สอง ผมเคยเป็นสมาชิกนิตยสารหลายเล่ม เล่มนึงที่ยืนยงมายาวนานก็ National Geographic Thailand ที่เป็นมาตั้งแต่เล่มแรก

ส่วนหนีกรุง ก็น่าจะเป็นสมาชิกกันไปอีกนานเหมือนกัน
คำถามว่าเพราะอะไร คงตอบได้ยาก เช่นเดียวกับคนที่รู้จักผมมักบอกว่าผมเป็นคนที่เข้าถึงยาก แต่คบได้ง่าย
ผมคิดว่าหนีกรุงเป็นนิตยสารที่จริงใจ จริงใจกับความคิด ความฝันของตัวเอง จริงใจกับการนำเสนอและการทำงาน รวมไปถึง จากการที่ผมถ่ายภาพมายาวนานตั้งแต่สมัยฟิล์ม จนมาชะลอตัวลงในยุคดิจิตอล สิ่งหนึ่งที่ผมเป็นคือ ภาพทุกภาพที่ถ่ายออกมา ย่อมสวยงามเสมอ อันเป็นเหตุให้ผมมีความเห็นที่แตกต่างจากตากล้องส่วนใหญ่ที่ผมรู้จัก เป็นเหตุให้ผมไม่ไปออกทริปถ่ายภาพกับใครทั้งนั้น ไปที่ไหนก็ไปคนเดียว ในคอลัมม์ “อารมณ์เหนือคมชัด” ในหนีกรุงก็ช่วยบอกได้ว่า คนที่คิดแบบผมไม่ได้มีแค่คนเดียว ทำให้มีความรู้สึกว่ามีเพื่อนที่เข้าใจกันได้ดีอยู่ด้วย โดยไม่ต้องพูดคุยกัน เมื่อปีก่อน ยังมีคอลัมม์ “เจ้าถิ่น” ที่นำเรื่องราวของหมาจากที่ต่าง ๆ ที่ไปพบมา นำเรื่องราวของมันมาให้รู้จัก คอลัมม์นี้ปิดตัวไปแล้ว ยังคิดถึงคอลัมม์นี้อยู่นะ ทำให้เวลาไปไหนมาไหน เลยทำมันซะเอง ถ่ายรูปมันเอง เล่นเอง เขียนเอง อ่านเอง สนุกกันไป

 วันนี้หลังจากที่ไม่ได้เขียนเรื่องราวต่าง ๆ มาเป็นปี ๆ คอลัมม์ “เสี้ยวแห่งค่ำคืน” เรื่องหน่วยของความฝัน ที่เขียนโดยเฒ่าแสวงสุข ก็ทำให้ผมน้ำตาจะไหล ไม่ใช่เพราะเศร้า แต่เพราะย้อนกลับมาคิดถึงตัวเอง ว่าคนที่เป็นอย่างเรา ยังมีอยู่อีกมาก แสดงว่าเรายังมีเพื่อน และมีโอกาสที่จะเจอ เมื่อวัน เวลา และโชคชะตา เดินทางมาบรรจบกันพอดี ทำให้ผมหันกลับมาเขียนเรื่องราวใหม่ ๆ อีกครั้ง และจะพยายามรักษาความรู้สึกนี้ไว้นาน ๆ เพื่อให้ฝันเติมเชื้อไฟให้ใจทำตามที่ฝัน


ผมมีความฝัน ทุกคนมีความฝัน ผมพยายามทำตามความฝันเกือบทุกเรื่อง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังอยู่ในสมองบ้าง ยังอยู่ในจิตใจบ้าง ยังคงพยายามทำต่อไป ฝันพันเป็นจริงได้สิบ ก็คุ้มค่าที่จะฝันแล้ว

 ขอบคุณ หนีกรุง ไปปรุงฝัน ที่ย้อนกลับมาย้ำว่า ฝันไปเถอะ คนเรามีความฝันเป็นความหวังและแรงผลักดันเสมอ และบอกว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนี้อยู่คนเดียวในโลกหรอก ยังมีเพื่อนที่เหมือน ๆ กันอยู่เสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

สถานีสุดท้าย

วันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเที่ยวสวนสนกับ นิตยสารหนีกรุง ซึ่งเป็นสมาชิกอยู่
ในทริปที่เรียกว่า แรลลี่ถ่ายรูป หนีกรุง ปู๊น ปู๊น
เป็นการจัดแรลลี่ บนรถไฟ มีการตามหาปริศนา แล้วถ่ายภาพเพื่อมาตอบปริศนา เป็นการจัดแรลลี่ท่องเที่ยวบนรถไฟที่สนุกสนานมาก อาจเป็นการจัดแรลลี่บนรถไฟ ครั้งแรกด้วยมั้ง
คำถามหนึ่งที่ถูกถามบนรถไฟคือ ครั้งสุดท้ายที่เดินทางด้วยรถไฟคือเมื่อไหร่?
คำถามง่าย ๆ แต่การตอบกลับยากเย็น ทั้งที่เคยเดินทางด้วยรถไฟมาหลายครั้งหลายหน แต่ครั้งสุดท้ายละ?
นั่งรถไฟชั้นสามไปพัทลุง นั่งรถไฟชั่นหนึ่งไปเชียงใหม่ นั่งรถไฟชั้นสามไปลพบุรี นั่งรถไฟตู้นอนไปหาดใหญ่
นั่งรถไฟไปขอนแก่น นั่งไปกาญจนบุรี เรียกได้ว่า เคยนั่งไปเกือบทั่วทุกสายของไทยละ สำหรับรถไฟ
แต่ครั้งสุดท้ายคงนานมาก นานจนลางเลือนว่าเมื่อไหร่ เห็นแค่เงาจาง ๆ ที่ไม่มีความแน่นอน
สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแน่ ๆ ของรถไฟเท่าที่จำได้เมื่อเปรียบเทียบ กับการเดินทางครั้งล่าสุดนี้ คงเป็นโบกี้โดยสาร เก่าเดิม ๆ
หัวรถจักรเดิม ๆ กลิ่นน้ำมันจากการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงเดิม ๆ การเสียเวลารอสลับรางเดิม ๆ คงเส้นคงวามากสำหรับ รถไฟไทย
หากเปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยรถไฟในประเทศอื่น ๆ ญี่ปุ่น เมืองใหญ่ ก็มีรถไฟรุ่นใหม่เร็ว ๆ รถไฟต่างจังหวัด ถึงจะดูเก่า แต่ก็สะอาดและตรงเวลามาก แล้วก็เป็นระบบไฟฟ้าที่ไม่ก่อมลพิษ ไม่รบกวนโลกใบนี้ซักเท่าไหร่
ในยุโรปก็เร็วดี สะอาดกว่าเรา แต่ก็ไม่เท่าญี่ปุ่น มาเลเซีย ก็พัฒนาไปเยอะ
ยังไงการขนส่งระบบรางก็ตอบโจทย์ในการขนส่งจำนวนมาก ๆ หนัก ๆ และหากจัดการดี ๆ ก็รวมไปถึงเรื่องความประหยัดเวลาด้วย ถ้าบ้านเราจะพัฒนาการขนส่งระบบรางจริง ๆ ก็คงจะเป็นประโยชน์มาก นี่หมายถึงกรณีที่มีการพัฒนากันอย่างจริงจังและจริงใจนะ

การไปเที่ยวครั้งนี้มีการประกวดภาพถ่ายด้วย ในหัวข้ออารมณ์รถไฟ แน่นอนว่าต้องมีคนมาเป็นส่วนประกอบอยู่ในภาพ เพื่อแสดงอารมณ์ในการสื่อสารได้ง่ายขึ้น
และก็แน่นอนสำหรับคนที่มองเห็นความงามในตัวมนุษย์ได้น้อยอย่างผม ย่อมไม่อยากให้มีคนมาร่วมอยู่ในภาพให้เสียความรู้สึก จึงสื่อสารแตกต่างจากคนอื่น
ยากที่จะสื่อสารกับผู้อื่น หากมีพื้นฐานความคิดที่ไม่เหมือนกัน

การไปเที่ยวครั้งนี้ปิดท้ายขากลับ ด้วยมินิคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในตู้โบกี้โดยสาร ซึ่งแปลกใหม่ ใกล้ชิดและสนุกสนานมาก ก็ไม่เคยดูคอนเสิร์ตบนรถไฟมาก่อนนี่นะ สนุกกันดี ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ความรู้ใหม่ ๆ และได้ย้ำเตือนถึงความทรงจำเก่า ๆ

ความทรงจำก็เหมือนรางรถไฟ ยิ่งอายุมากขึ้น มองกลับไปก็เห็นรางรถไฟยาวขึ้น แต่มองไปไกล ๆ ก็ย่อมเลือนราง เมื่อหันมามองข้างหน้ามองเห็น แต่ก็ไม่ชัดเจนอยู่ดี
เมื่ออยู่บนโบกี้ ระหว่างการเดินทาง ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ มองภาพข้างทาง ความทรงจำต่าง ๆ ให้มากที่สุด เมื่อถึงสถานีสุดท้าย จะได้ไม่ต้องมาเสียดายว่า
ระหว่างเดินทางไม่ได้มองข้างทางเลย ไม่มีความทรงจำดี ๆ ก็ถึงสถานีสุดท้ายซะแล้ว
รออยู่บนชานชาลา จะไปต่อก็ไม่ได้ จะถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว