ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยดีนะครับ
หากจะเปรียบเทียบเหตุการณ์ครั้งนี้ กับครั้งก่อน ๆ ในเรื่องสถิติต่าง ๆ
อย่าลืมคำนวณเรื่องที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้ประท้วงมีอาวุธสงครามด้วยนะครับ
เมื่อสัปดาห์ก่อนไปทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ มีพี่ ๆ ไปด้วย พอเลิกงานก็พาไปเที่ยววัดพระสิงห์ วัดอุปคุต
แล้วยังโชคดีที่เป็นช่วงที่มีประเพณี "ทานขันดอก" ที่วัดเจดีย์หลวงด้วย เป็นงานที่ไปทำบุญด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ในช่วงกลางคืน มีผู้คนไปร่วมงานกันอย่างล้นหลาม พี่ที่ผมพาไปก็ประทับใจมาก
การทานขันดอกนี้เป็นประเพณีที่ชาวบ้านจะไปทำบุญเสาอินทขีล อืม.. ก็เสาหลักเมืองของเชียงใหม่นั่นแหละ ซึ่งตั้งอยู่ในวัดหลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 8 ของ ราชวงศ์มังราย แล้วชาวเชียงใหม่ก็เชื่อว่า ถ้าบูชาเสาอินทขีลแล้ว บ้านเมืองจะพ้นภัย และ เจริญรุ่งเรือง งานจะมีช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนะครับ
ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ ก็คงต้องไปหาอ่านเอาละกัน ข้อมูลและหนังสือมีมากมายครับ
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสไปงานทานขันดอก ก็ยังสามารถทำให้ผมประทับใจเช่นเดิม
พ่อแก่แม่เฒ่า หนุ่มสาว วัยรุ่น ที่อาศัยในเชียงใหม่ มาร่วมทำบุญกันอย่างล้นหลาม แล้วยังมีนักท่องเที่ยวอีก คนที่ไปร่วมงานจึงมากมายมหาศาล
ขอฝากนักท่องเที่ยวนะครับ เวลาที่จะไปร่วมประเพณีอะไร ก็ศึกษากันก่อนซักนิดนึง
จะได้ไม่หงุดหงิด แล้วก็ ทำอะไร ๆ ไม่ขัดกับชาวบ้านในท้องที่เขานะครับ อย่างการเอาเทียนไปปักที่พื้นบันไดก่อนขึ้นสรงน้ำ พระเจ้าฝนแสนห่า
ก็พวกคุณเล่นมักง่ายอย่างนี้ คนที่เขาจะขึ้นไปบูชา สรงน้ำ เลยเหลือทางเดินแค่นิดเดียวเองนะครับ ยังไม่นับเรื่องอื่น ๆ นะ
แต่สังเกตได้นะว่าคนที่นี่เขาไม่ได้แสดงความหงุดหงิด แล้วยังมีน้ำใจตลอดเวลา อย่างตอนที่ทานขันดอกอยู่ในโบสถ์ ข้าวตอกผมหมด ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าก็หันมาแบ่งให้
โดยที่ไม่ได้ขอนะครับ เธอบอกว่าต้องใส่ให้ครบ แล้วยังแนะนำสิ่งต่าง ๆ ที่ควรรู้อีกด้วย นี่แหละครับพื้นฐานนิสัยจริง ๆของคนไทย อย่าให้ใครเขามาชักจูงให้พวกเราหลงลืมตัวตนของเรานะครับ
แล้วฝากผู้ช่วยจัดงานหน่อยนึง ไหน ๆ งานนี้ก็เป็นงานของล้านนาแล้ว ไหงมีการแสดงรำแบบภาคกลาง อย่างฉุยฉาย อยู่บนเวทีละ?
ผมคิดว่าใช้ทุกอย่างที่เป็นล้านนา น่าจะเป็นการบ่งบอกตัวตนได้ดีกว่านะครับ แม้ว่าการแสดงของภาคอื่น ๆ จะหมายถึงการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
แต่ประเพณีนี้ งานนี้ เป็นงานเฉพาะถิ่นนะ ผมว่าควรแสดงตัวตนของล้านนาเป็นหลักไปเลยนะครับ
ผมไปร่วมงานนี้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ชอบประเพณีวัฒนธรรม โอกาสดีที่มาในช่วงที่มีงานพอดี พาพี่ ๆ พาเพื่อน พาน้อง ไปร่วมงานบุญที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
คนต่างถิ่นย่อมตื่นตาตื่นใจเมื่อได้มาเห็น ซึ่งในสิบกว่าปีที่ผมเดินทางมา ภาคเหนือยังมีงานที่คนพื้นที่เดิมให้ความสำคัญและมาร่วมงานกันมาก
แล้วยังสามารถเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานได้ด้วย ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งคงวัฒนธรรรมประเพณี และได้เรื่องการท่องเที่ยวด้วย ทางภาคเหนือนี้เป็นมาตลอด
ในขณะที่ภาคอื่น ๆ กลายเป็นการเน้นที่การท่องเที่ยวไปแล้ว ประเพณีและวัฒนธรรมเดิมเริ่มเปลี่ยนไป ผู้คนในท้องถิ่นเริ่มไม่ได้มาร่วมงานด้วยใจ และมาเพื่อการท่องเที่ยว และขายของ
ไม่รู้ว่าใครผิดกว่ากัน การท่องเที่ยว ที่พยายามนำจุดเด่นของแต่ละท้องถิ่นมาขายในเชิงการท่องเที่ยว หรือวัฒนธรรมบูชาเงินทอง มากกว่าจิตใจ ที่กำลังกลืนกินผู้คนในบ้านเมืองเรา
ให้กลายเป็นเหมือนคนตะวันตก...
การที่ได้ไปร่วมงานทานขันดอก การไปเยี่ยมชม วัดพระสิงห์ วัดอุปคุต เป็นการเติมเชื้อไฟ เติมกำลังใจให้ผมเป็นอย่างดี
ประเพณี วัฒนธรรม ของบ้านเรางดงามมากนะครับ ออกจากบ้านแล้วมาร่วมงานต่าง ๆ
ศึกษาชีวิต และวัฒนธรรม จะได้ภูมิใจว่า เราเป็นคนไทย และคนไทยเป็นอย่างไร..
เมื่อเห็นคนมากมายมาร่วมงานปอย หรืองานบุญ แล้วยังเป็นคนในท้องถิ่น ทำให้เกิดกำลังใจ ว่าบ้านเรายังมีความหวังเสมอครับ
อย่าลืมตัวตน พื้นฐานนิสัย และจิตใจของเรา อย่าให้ใครชักจูงไปจนไม่ใช่ตัวเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างยังมีความหวังเสมอ หากวันนี้ท้อแท้สิ้นหวัง พรุ่งนี้เริ่มใหม่ก็ได้นะครับ
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไทย ไทย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไทย ไทย แสดงบทความทั้งหมด
วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ว่าด้วยเรื่องไทย ไทย
เขียนโดย
Unknown
ที่
09:52
นานมาแล้วเคยคุยกับพี่คนนึงเกี่ยวกับเรื่องลักษณะนิสัยของคนไทย แล้วสรุปกันว่าตรงกับที่เคยได้ยินมาเลยว่า "ทำอะไรตามสบายคือไทยแท้" และในความคิดของผมแล้ว ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และความอุดมสมบูรณ์เป็นต้นเหตุของลักษณะนี้
คนไทยไม่ชอบวางแผนการทำงาน, ไม่ชอบกฎระเบียบ แล้วก็ไม่ตรงเวลา สาเหตุก็เนื่องมาจากที่ลักษณะอากาศบ้านเรานั่น ไม่มีฤดูไหนที่ไม่สามารถหาอาหารได้ หรือไม่มีฤดูไหนที่เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้
ด้วยลักษณะอากาศเช่นนี้ ทำให้คนไทยไม่จำเป็นต้องวางแผนตระเตรียมอะไรนัก ในการดำเนินชีวิตในปกติสุข
แตกต่างกับประเทศเมืองหนาว เมื่อถึงฤดูหนาว นั่นหมายความว่าพวกเขต้องมีอาหารกักตุนไว้เพียงพอกับการกินการอยู่ตลอดทั้งฤดู เพราะการจะออกไปหาอาหารนั้นต้องฝ่าทั้งหิมะที่หนาวเย็น และยังมีโอกาสหาอาหารได้น้อยอีกด้วย
พืชผักต่าง ๆ โดนหิมะเข้าก็พักตัว ไม่เจริญเติบโตซะงั้น เพราะมีฤดูหนาวที่รุนแรงนี่เอง ทำให้คนในเมืองหนาวต้องวางแผนการเตรียมอาหารสะสมไว้ ในระหว่างฤดูอื่น ๆ ที่ยังหาอาหารได้สะดวก ทำให้ติดเป็นนิสัย ต้องวางแผนในการทำงานเสมอ
พอคนไทยไม่ต้องวางแผนในการดำรงชีวิตแล้ว ก็แล้วเลยไปถึงการที่ไม่ชอบกฎระเบียบเพราะรักความสะดวก และคิดว่าสามารถจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเลยไปถึงการที่ไม่รักษาเวลาด้วยเลย
การอยู่ในบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์นี่ ก็ทำให้คนนิสัยเสียได้นะ
แต่ความอุดมสมบูรณ์ก็ทำให้เกิดลักษณะนิสัยที่ดี ๆ เช่นกัน เพราะการที่มีข้าวปลาอาหารอยู่อย่างมากมาย จึงกลายเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเห็นอกเห็นใจ แล้วก็มีน้ำใจระหว่างกัน แต่ในปัจจุบันคงจะลดลงไปทุกทีแล้วละ เอาแค่ในชีวิตผมนี่ ผมเห็นคนที่เป็นคนดีจริง ๆ ในประเทศไทยนี่เป็นส่วนน้อยแล้ว
สมัยก่อนตอนที่ผู้คนยังไม่มากขนาดนี้ ก็ยังคงสภาพสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้อยู่หรอกนะ ความเจริญที่เข้ามาคงทำให้ใจของคนเหือดแห้งลงไปด้วย
เรื่องเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของคนไทยนี่คิดมานานแล้ว ก็คิดว่าทำไมไม่มีใครคิดอย่างเราหว่า พอดีได้หนังสือของคุณ ส.ศิวรักษ์ เรื่อง ตายประชดป่าช้า ที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2514 ในเล่มก็มีเรื่องของผู้ที่คิดคล้าย ๆ กับผม ก็ดีใจว่าเราก็คิดได้คล้าย ๆ ผู้รู้เหมือนกันนะเนี่ย
เมื่อเดือนก่อน พ่อกับแม่ก็มาบ่นให้ฟังถึงเรื่องเกี่ยวกับน้ำใจกับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ฟัง ปกติแถว ๆ บ้านจะมีคนรู้จักกัน ขับมอเตอร์ไซค์มาขายห่อหมกปลาอยู่บ่อย ๆ บางครั้งเขาก็มาสั่งเอาใบตองกับแม่ผม เพราะมันถูกกว่าที่ตลาด คือพอแม่ผมตัดใบตองแล้ว ส่วนใหญ่จะเอาไปขายตลาด (แหม เหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลยนะ)
เราก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่บ้านผมน่ะซื้อของเขาบ่อยกว่านะ แล้วก็เป็นเรื่องให้หงุดหงิดกันจนได้ เพราะตอนเขามาสั่งใบตอง แม่ผมบอกว่าเอาเป็นแลกกับห่อหมกห่อนึงละกัน เขาก็ตกลง พอตอนเย็นเขามาเอาใบตองเค้าก็เตรียมห่อหมกมาเป็นพิเศษเลย เพื่อแลกกับใบตองเราเลย ในราคาเท่ากันนะ
พอพ่อผมเขาแกะห่อหมกจะกิน ปรากฎว่า มีเนื้อห่อหมกนิดเดียว ที่เหลือเป็นผัก...อืม น้ำใจที่เราให้คนอื่น อาจจะโดนตอบแทนด้วยความเห็นแก่ตัวก็ได้นะ
ตอนนี้ไม่รู้ว่า พ่อแม่ผมยังซื้อห่อหมกของคนนี้อยู่หรือเปล่านะ แต่เห็นแกก็ไม่คิดอะไรเท่าไหร่ แค่บ่น ๆ ในฟัง
ก็ทำให้เห็นว่าคนเรานี่พร้อมที่จะเอาเปรียบคนอื่นอยู่เสมอ ก็คงได้แต่คอยระวังใจระวังตัวเองไม่ให้เอาเปรียบใคร แล้วอย่าให้ใครเอาเปรียบก็พอนะ
อย่าให้ภูมิอากาศ ภูมิประเทศมาทำให้เราเป็นเลย ใจของเรารู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรที่ดี อะไรที่ไม่ดี
อย่าให้ใจเราเหือดแห้ง เพราะความเจริญที่เพิ่มขึ้น เติมน้ำในใจให้เต็มและพร้อมจะแบ่งปันอยู่เสมอ สังคมไทยจะน่าอยู่ขึ้นเอง
คนไทยไม่ชอบวางแผนการทำงาน, ไม่ชอบกฎระเบียบ แล้วก็ไม่ตรงเวลา สาเหตุก็เนื่องมาจากที่ลักษณะอากาศบ้านเรานั่น ไม่มีฤดูไหนที่ไม่สามารถหาอาหารได้ หรือไม่มีฤดูไหนที่เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้
ด้วยลักษณะอากาศเช่นนี้ ทำให้คนไทยไม่จำเป็นต้องวางแผนตระเตรียมอะไรนัก ในการดำเนินชีวิตในปกติสุข
แตกต่างกับประเทศเมืองหนาว เมื่อถึงฤดูหนาว นั่นหมายความว่าพวกเขต้องมีอาหารกักตุนไว้เพียงพอกับการกินการอยู่ตลอดทั้งฤดู เพราะการจะออกไปหาอาหารนั้นต้องฝ่าทั้งหิมะที่หนาวเย็น และยังมีโอกาสหาอาหารได้น้อยอีกด้วย
พืชผักต่าง ๆ โดนหิมะเข้าก็พักตัว ไม่เจริญเติบโตซะงั้น เพราะมีฤดูหนาวที่รุนแรงนี่เอง ทำให้คนในเมืองหนาวต้องวางแผนการเตรียมอาหารสะสมไว้ ในระหว่างฤดูอื่น ๆ ที่ยังหาอาหารได้สะดวก ทำให้ติดเป็นนิสัย ต้องวางแผนในการทำงานเสมอ
พอคนไทยไม่ต้องวางแผนในการดำรงชีวิตแล้ว ก็แล้วเลยไปถึงการที่ไม่ชอบกฎระเบียบเพราะรักความสะดวก และคิดว่าสามารถจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเลยไปถึงการที่ไม่รักษาเวลาด้วยเลย
การอยู่ในบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์นี่ ก็ทำให้คนนิสัยเสียได้นะ
แต่ความอุดมสมบูรณ์ก็ทำให้เกิดลักษณะนิสัยที่ดี ๆ เช่นกัน เพราะการที่มีข้าวปลาอาหารอยู่อย่างมากมาย จึงกลายเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเห็นอกเห็นใจ แล้วก็มีน้ำใจระหว่างกัน แต่ในปัจจุบันคงจะลดลงไปทุกทีแล้วละ เอาแค่ในชีวิตผมนี่ ผมเห็นคนที่เป็นคนดีจริง ๆ ในประเทศไทยนี่เป็นส่วนน้อยแล้ว
สมัยก่อนตอนที่ผู้คนยังไม่มากขนาดนี้ ก็ยังคงสภาพสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้อยู่หรอกนะ ความเจริญที่เข้ามาคงทำให้ใจของคนเหือดแห้งลงไปด้วย
เรื่องเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของคนไทยนี่คิดมานานแล้ว ก็คิดว่าทำไมไม่มีใครคิดอย่างเราหว่า พอดีได้หนังสือของคุณ ส.ศิวรักษ์ เรื่อง ตายประชดป่าช้า ที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2514 ในเล่มก็มีเรื่องของผู้ที่คิดคล้าย ๆ กับผม ก็ดีใจว่าเราก็คิดได้คล้าย ๆ ผู้รู้เหมือนกันนะเนี่ย
เมื่อเดือนก่อน พ่อกับแม่ก็มาบ่นให้ฟังถึงเรื่องเกี่ยวกับน้ำใจกับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ฟัง ปกติแถว ๆ บ้านจะมีคนรู้จักกัน ขับมอเตอร์ไซค์มาขายห่อหมกปลาอยู่บ่อย ๆ บางครั้งเขาก็มาสั่งเอาใบตองกับแม่ผม เพราะมันถูกกว่าที่ตลาด คือพอแม่ผมตัดใบตองแล้ว ส่วนใหญ่จะเอาไปขายตลาด (แหม เหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลยนะ)
เราก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่บ้านผมน่ะซื้อของเขาบ่อยกว่านะ แล้วก็เป็นเรื่องให้หงุดหงิดกันจนได้ เพราะตอนเขามาสั่งใบตอง แม่ผมบอกว่าเอาเป็นแลกกับห่อหมกห่อนึงละกัน เขาก็ตกลง พอตอนเย็นเขามาเอาใบตองเค้าก็เตรียมห่อหมกมาเป็นพิเศษเลย เพื่อแลกกับใบตองเราเลย ในราคาเท่ากันนะ
พอพ่อผมเขาแกะห่อหมกจะกิน ปรากฎว่า มีเนื้อห่อหมกนิดเดียว ที่เหลือเป็นผัก...อืม น้ำใจที่เราให้คนอื่น อาจจะโดนตอบแทนด้วยความเห็นแก่ตัวก็ได้นะ
ตอนนี้ไม่รู้ว่า พ่อแม่ผมยังซื้อห่อหมกของคนนี้อยู่หรือเปล่านะ แต่เห็นแกก็ไม่คิดอะไรเท่าไหร่ แค่บ่น ๆ ในฟัง
ก็ทำให้เห็นว่าคนเรานี่พร้อมที่จะเอาเปรียบคนอื่นอยู่เสมอ ก็คงได้แต่คอยระวังใจระวังตัวเองไม่ให้เอาเปรียบใคร แล้วอย่าให้ใครเอาเปรียบก็พอนะ
อย่าให้ภูมิอากาศ ภูมิประเทศมาทำให้เราเป็นเลย ใจของเรารู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรที่ดี อะไรที่ไม่ดี
อย่าให้ใจเราเหือดแห้ง เพราะความเจริญที่เพิ่มขึ้น เติมน้ำในใจให้เต็มและพร้อมจะแบ่งปันอยู่เสมอ สังคมไทยจะน่าอยู่ขึ้นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)