แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เวลา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เวลา แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
โทสะบังตา อคติบังใจ
เขียนโดย
Unknown
ที่
16:05
ปล่อยมาซะนานหลังเรื่องล่าสุด เรื่องที่คิดและอยากบันทึกยังมี แต่ยังไม่อยากเอาออกมา เวลาที่ผ่านมา ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลความคิดและจิตใจของตัวเองเป็นหลัก จนคิดว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีบทพิสูจน์ ครึ่งเดือนก่อน ก็ได้พิสูจน์กันว่า ยังคงปล่อยให้ความไม่พอใจ เข้าครอบงำได้ง่าย สำหรับเรื่องบางเรื่อง
ความไม่พอใจ ที่เกิดจากผู้อื่น กลับทำให้ขาดความระมัดระวังในการขับรถ ถอยรถเข้าบ้านตัวเอง ชนเสาบ้านซะอย่างงั้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คิดได้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ หากปล่อยให้ความโกรธ ความไม่พอใจ เข้ามาครอบงำ ก็คงเป็นกับคนหูหนวก ตาบอดที่ไม่สามารถเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องได้
การที่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่กับความเศร้า จากการที่แมวตาย ถึงจะรู้สึกว่าช่วยมันไว้อย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังคงปล่อยให้จมอยู่กับความเศร้านั้นตั้งนาน
เรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงนี้ก็อย่างเรื่องของการทำงานร่วมกับผู้อื่น บางครั้ง คนที่เคยทำงานมานานแต่ไม่ใช่งานที่มีการคิด ประมวลผล แก้ปัญหา และวางแผน เมื่อมาทำงานของตัวเองแล้ว คงต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งมันสิ่งที่เห็นได้ชัดว่า ประสบการณ์และความรู้ย่อมต้องไปด้วยกัน เพื่อให้ประสบผลได้ดียิ่งขึ้น
หลากเรื่องหลายราว คงนำมาแปลงเป็นข้อความเพื่อลดภาระการจดจำของสมองตัวเองลงกันบ้าง คงไม่เฉพาะเจาะจงกันบ้างว่าจะเขียนในช่วงไหน เอาเป็นว่าทุกวันอาทิตย์หลังเที่ยงก็แล้วกัน
เป็นการสัญญากับตัวเอง สัญญาเพื่อที่จะรักษาสัญญา
อ่านเรื่องขององค์ทะไลลามะ ใน National Geographic Thailand เล่มล่าสุด แล้วก็เห็นว่ามีความคิดไปในแนวทางเดียวกัน "การศึกษาเป็นเรื่องสากล ศาสนาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเป็นสากล"
อย่าไปยึดมั่น ถือมั่นกับอะไรกันมากนักนะ
ปล่อยให้โทสะบังตา ก็เหมือนคนที่ปิดตาไปข้างหนึ่ง
หากปล่อยให้อคติบังใจด้วย ตาอีกข้างก็คงถูกปิดไปด้วย
ขอให้ทุกคนละโทสะ วางอคติ ได้มาก ๆ นะ เพื่อจะได้มองโลกนี้ได้กว้าง ๆ เต็มตาตัวเอง อย่างที่โลกใบนี้เป็น จะได้พบกับแง่มุมใหม่ ๆ จริง ๆ
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ที่รองปลั๊ก.. เวลาเหลือเฟือ
เขียนโดย
Unknown
ที่
08:34
วันหยุดทีไร ไม่เคยเลยที่จะหยุดจริง ๆ ก็ยังทำงานบ้าน ทำสวน ทำกล้วยไม้ ทำนู้น ทำนี่อยู่ตลอดนะ
ต่างกับการทำงานเต็มเวลาตั้งแต่จันทร์ยันศุกร์คือ ไม่มีความเครียดมาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องไปสู้กับความเห็นแก่ตัวของคนอื่น
งานบ้านทำแล้วมีความสุข งานเต็มเวลาทำแล้วได้เงิน ถึงแม้งานเต็มเวลาจะสร้างความเครียดให้บ้าง แต่ก็เป็นแหล่งที่มาที่ได้เงินมาใช้จ่ายนะ
ก็ถือว่าแลก ๆ กันไป ยังไงก็ไม่มีทางได้สิ่งที่สมใจทุกอย่างหรอกนะ ก็ชีวิตนี่นะ
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ผ่านไปตามปกติของทุก ๆ วันหยุดที่ผ่านมา ล้างรถ อาบน้ำเจ้าสองมะ ทำสวนครัว เข้าสวน ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ
ส่วนที่เพิ่มมาก็คือ ทำความสะอาดครัว ชั้นล่าง ที่มีหนูเข้ามาเพ่นพ่าน จากการที่พบขี้หนู อยู่ในที่เกิดเหตุ เลยทำความสะอาด แล้วก็เอาอิฐมาปิดท่อ ที่อาจเป็นทางด่วนเข้าออกของมันซะ
ไม่ใช่ว่าครัวสกปรกนะ แต่ครัวชั้นล่างเป็นแบบเปิด ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มีผนังแค่สองด้าน... ดูดีไหม? ตอนออกแบบ คิดแต่โปร่ง ๆ ไง ครัวสวยเชียว
แต่ในความเป็นจริง ใช้งานได้ดี แต่ฝนสาด แมลงเข้ามาได้ นกเข้ามาทำรัง ล่าสุดก็มีหนูเข้ามา... อืม... นก กับ แมลง ก็ยังไม่เป็นไรนะ ปล่อย ๆ มันไป แต่หนูนี่ซิ...
เรื่องหนูผ่านไป กำลังคิดว่าสงสัยต้องปีนขึ้นไปดูบนฝ้าบ้างแล้วว่า มีตัวอะไรมาอยู่บ้างรึเปล่า เริ่มไม่ไว้ใจ เอาไว้สัปดาห์นี้ก็แล้วกัน
สองสามเดือนก่อนสังเกตเห็นรอยขีด ๆ เล็ก ๆ บนพื้นปาร์เก้ ขีดเล็ก ๆ เยอะแยะ นี่มาจากไหน? คิดไปคิดมา ก็เพราะพฤติกรรมการถอดปลั๊กไฟนี่เอง พอถอดแล้วก็ปล่อย
ปลายของปลั๊กที่เป็นโลหะ ก็ตกกระทบพื้นทำให้เกิดรอยเล็ก ๆ แล้วทำทุกวัน จะไม่มีรอยเยอะแยะได้ยังไง ก็เปลี่ยนพฤติกรรมกันไป ถอดปลั๊กแล้วค่อย ๆ วาง ไม่ให้ปลายกระทบพื้น
ก็ลดการเพิ่มขึ้นของรอยไปได้บ้างแต่ก็ยังมีอยู่บ้าง เป็นหลักฐานยืนยันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ทั้งหมดหรอก มันต้องมีหลุดออกมาบ้าง...
เดือนก่อนได้รับเมลล์ เรื่องไอเดียการออกแบบของต่างประเทศ เห็นส่วนของการทำที่ล็อกหัวปลั๊กกับปลั๊กไฟแล้วก็ชอบเลย ลองหาข้อมูลการขายในอินเตอร์เน็ต ก็ไม่มีนะ
ทำยังไงละทีนี้ ก็ทำมันเองซะเลย สมองก็มี มือก็มี กลัวอะไรใช่ไหม ก็ออกมาเป็นอย่างในภาพนี่แหละ ของจริงสวยนะ เหมือนสายไฟลอยอยู่เฉย ๆ เลย เพราะเลือกพลาสติกที่มันใส ๆ
ถึงจะไม่ดูดีเหมือนอย่างที่เคยเห็นแต่ก็ใช้งานได้ดีนะ ที่เคยเห็นดูดีเพราะจะล็อกเข้ากับเต้าเสียบ แล้วสายไฟก็มีตัวรองอยู่ทำให้ดูดีมาก ส่วนที่ผมทำนี่ คงเหมาะกับบ้านเรานะ
ที่แต่ละบ้าน ไม่ค่อยมีมาตรฐานเมือนกันเท่าไหร่ สายไฟจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน หัวก็ไม่เหมือนกัน เต้าเสียบก็ไม่เหมือนกัน หลากหลายกันจริง ๆ
ตัวรับสายนี่เริ่มจากหาพลาสติกก่อนนะ การตัดพลาสติกบางนี่ ไม่มีปัญหา อันแรก ใช้เลื่อยฉลุ ไม่ไหว เหนื่อย ใช้มีดกรีด แล้วหักเอา เออ สะดวกดี
เอาน้ำยาเช็ดกระจก ลูบแผ่นพลาสติกทั้งสองด้าน แล้วก็ใช่สำลีชุบแอลกอฮอล์ จุดไฟลนช่วงกลาง ลน ๆ ดัด ๆ จนได้ฉาก ใช้สว่านเจาะรู ใช้เลื่อยฉลุ ตัดทางเข้าสู่รูที่เจาะ
ดูเหมือนทำง่าย แต่ใช้เวลานะ ต้องใจเย็น ๆ ทุกขั้นตอนเลย แต่ทำเสร็จแล้วก็ใช้งานได้
เลยทำมาใช้งานซะสี่อัน ใช้คุ้มเลย ถึงเผลดดึงปลั๊กแล้วปล่อย ก็ไม่ตกถึงพื้นนะ ป้องกันได้ดีทีเดียว บางจุดยังติดแนวตั้งอีกด้วย หมายความว่าใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
สวย ใช้ประโยชน์ได้ และไม่ซ้ำใคร น่าจะทำออกขายจริง ๆ เลยนะเนี่ย ติดตรงมันเป็นงานทำมือนี่แหละ วันนึงคงทำได้ซักสามอันละมั้ง ถ้าจะทำขายจริง ๆ
ที่เล่าให้ฟังนี่จะบอกว่า ผมสงสัยคนที่บอกว่าไม่มีเวลา ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น แล้วก็ไม่ยอมทำอะไร
คนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันนะ นอนซะเจ็ดชัวโมง สำหรับผมนะ เวลายังมีอีกเยอะแยะ ทำงาน อ่านหนังสือ เล่นเน็ต เล่นเกม ซ่อมของให้คนนู้นคนนี้
ทำสวนครัว เลี้ยงกล้วยไม้ เลี้ยงเจ้าสองมะ ฯลฯ ก็ยังมีเวลาเหลือเลยนะ.. หรือเพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้สนใจเวลา ไม่ได้ยึดติดมัน เพราะผมมีมันอยู่เยอะแยะ
เวลาวางแผนในแต่ละวันก็ไม่เคยต้องตรงเวลาตลอด เพียงกำหนดว่าจะทำอะไรบ้างคร่าว ๆ แล้วก็ประมาณกี่โมง ก็แค่นั้น
ลองจัดการวางแผนในตัวเองซักนิดหน่อย ในแต่ละวัน แล้วจะเห็นว่าเวลามีพอใช้เสมอ
เพราะคนเรามีเวลาเท่ากันทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ไปกับอะไร และเพื่ออะไร
ต่างกับการทำงานเต็มเวลาตั้งแต่จันทร์ยันศุกร์คือ ไม่มีความเครียดมาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องไปสู้กับความเห็นแก่ตัวของคนอื่น
งานบ้านทำแล้วมีความสุข งานเต็มเวลาทำแล้วได้เงิน ถึงแม้งานเต็มเวลาจะสร้างความเครียดให้บ้าง แต่ก็เป็นแหล่งที่มาที่ได้เงินมาใช้จ่ายนะ
ก็ถือว่าแลก ๆ กันไป ยังไงก็ไม่มีทางได้สิ่งที่สมใจทุกอย่างหรอกนะ ก็ชีวิตนี่นะ
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ผ่านไปตามปกติของทุก ๆ วันหยุดที่ผ่านมา ล้างรถ อาบน้ำเจ้าสองมะ ทำสวนครัว เข้าสวน ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ
ส่วนที่เพิ่มมาก็คือ ทำความสะอาดครัว ชั้นล่าง ที่มีหนูเข้ามาเพ่นพ่าน จากการที่พบขี้หนู อยู่ในที่เกิดเหตุ เลยทำความสะอาด แล้วก็เอาอิฐมาปิดท่อ ที่อาจเป็นทางด่วนเข้าออกของมันซะ
ไม่ใช่ว่าครัวสกปรกนะ แต่ครัวชั้นล่างเป็นแบบเปิด ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มีผนังแค่สองด้าน... ดูดีไหม? ตอนออกแบบ คิดแต่โปร่ง ๆ ไง ครัวสวยเชียว
แต่ในความเป็นจริง ใช้งานได้ดี แต่ฝนสาด แมลงเข้ามาได้ นกเข้ามาทำรัง ล่าสุดก็มีหนูเข้ามา... อืม... นก กับ แมลง ก็ยังไม่เป็นไรนะ ปล่อย ๆ มันไป แต่หนูนี่ซิ...
เรื่องหนูผ่านไป กำลังคิดว่าสงสัยต้องปีนขึ้นไปดูบนฝ้าบ้างแล้วว่า มีตัวอะไรมาอยู่บ้างรึเปล่า เริ่มไม่ไว้ใจ เอาไว้สัปดาห์นี้ก็แล้วกัน
สองสามเดือนก่อนสังเกตเห็นรอยขีด ๆ เล็ก ๆ บนพื้นปาร์เก้ ขีดเล็ก ๆ เยอะแยะ นี่มาจากไหน? คิดไปคิดมา ก็เพราะพฤติกรรมการถอดปลั๊กไฟนี่เอง พอถอดแล้วก็ปล่อย
ปลายของปลั๊กที่เป็นโลหะ ก็ตกกระทบพื้นทำให้เกิดรอยเล็ก ๆ แล้วทำทุกวัน จะไม่มีรอยเยอะแยะได้ยังไง ก็เปลี่ยนพฤติกรรมกันไป ถอดปลั๊กแล้วค่อย ๆ วาง ไม่ให้ปลายกระทบพื้น
ก็ลดการเพิ่มขึ้นของรอยไปได้บ้างแต่ก็ยังมีอยู่บ้าง เป็นหลักฐานยืนยันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ทั้งหมดหรอก มันต้องมีหลุดออกมาบ้าง...
เดือนก่อนได้รับเมลล์ เรื่องไอเดียการออกแบบของต่างประเทศ เห็นส่วนของการทำที่ล็อกหัวปลั๊กกับปลั๊กไฟแล้วก็ชอบเลย ลองหาข้อมูลการขายในอินเตอร์เน็ต ก็ไม่มีนะ
ทำยังไงละทีนี้ ก็ทำมันเองซะเลย สมองก็มี มือก็มี กลัวอะไรใช่ไหม ก็ออกมาเป็นอย่างในภาพนี่แหละ ของจริงสวยนะ เหมือนสายไฟลอยอยู่เฉย ๆ เลย เพราะเลือกพลาสติกที่มันใส ๆ
ถึงจะไม่ดูดีเหมือนอย่างที่เคยเห็นแต่ก็ใช้งานได้ดีนะ ที่เคยเห็นดูดีเพราะจะล็อกเข้ากับเต้าเสียบ แล้วสายไฟก็มีตัวรองอยู่ทำให้ดูดีมาก ส่วนที่ผมทำนี่ คงเหมาะกับบ้านเรานะ
ที่แต่ละบ้าน ไม่ค่อยมีมาตรฐานเมือนกันเท่าไหร่ สายไฟจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน หัวก็ไม่เหมือนกัน เต้าเสียบก็ไม่เหมือนกัน หลากหลายกันจริง ๆ
ตัวรับสายนี่เริ่มจากหาพลาสติกก่อนนะ การตัดพลาสติกบางนี่ ไม่มีปัญหา อันแรก ใช้เลื่อยฉลุ ไม่ไหว เหนื่อย ใช้มีดกรีด แล้วหักเอา เออ สะดวกดี
เอาน้ำยาเช็ดกระจก ลูบแผ่นพลาสติกทั้งสองด้าน แล้วก็ใช่สำลีชุบแอลกอฮอล์ จุดไฟลนช่วงกลาง ลน ๆ ดัด ๆ จนได้ฉาก ใช้สว่านเจาะรู ใช้เลื่อยฉลุ ตัดทางเข้าสู่รูที่เจาะ
ดูเหมือนทำง่าย แต่ใช้เวลานะ ต้องใจเย็น ๆ ทุกขั้นตอนเลย แต่ทำเสร็จแล้วก็ใช้งานได้
เลยทำมาใช้งานซะสี่อัน ใช้คุ้มเลย ถึงเผลดดึงปลั๊กแล้วปล่อย ก็ไม่ตกถึงพื้นนะ ป้องกันได้ดีทีเดียว บางจุดยังติดแนวตั้งอีกด้วย หมายความว่าใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
สวย ใช้ประโยชน์ได้ และไม่ซ้ำใคร น่าจะทำออกขายจริง ๆ เลยนะเนี่ย ติดตรงมันเป็นงานทำมือนี่แหละ วันนึงคงทำได้ซักสามอันละมั้ง ถ้าจะทำขายจริง ๆ
ที่เล่าให้ฟังนี่จะบอกว่า ผมสงสัยคนที่บอกว่าไม่มีเวลา ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น แล้วก็ไม่ยอมทำอะไร
คนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันนะ นอนซะเจ็ดชัวโมง สำหรับผมนะ เวลายังมีอีกเยอะแยะ ทำงาน อ่านหนังสือ เล่นเน็ต เล่นเกม ซ่อมของให้คนนู้นคนนี้
ทำสวนครัว เลี้ยงกล้วยไม้ เลี้ยงเจ้าสองมะ ฯลฯ ก็ยังมีเวลาเหลือเลยนะ.. หรือเพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้สนใจเวลา ไม่ได้ยึดติดมัน เพราะผมมีมันอยู่เยอะแยะ
เวลาวางแผนในแต่ละวันก็ไม่เคยต้องตรงเวลาตลอด เพียงกำหนดว่าจะทำอะไรบ้างคร่าว ๆ แล้วก็ประมาณกี่โมง ก็แค่นั้น
ลองจัดการวางแผนในตัวเองซักนิดหน่อย ในแต่ละวัน แล้วจะเห็นว่าเวลามีพอใช้เสมอ
เพราะคนเรามีเวลาเท่ากันทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ไปกับอะไร และเพื่ออะไร
วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๓
เขียนโดย
Unknown
ที่
11:46
ขึ้นปีใหม่แล้วนะครับ เวลานี่มันไม่เคยรอใครและมันก็อยู่อย่างเห็นแก่ตัวนะครับ อย่าใช้มันอย่างเปล่าประโยชน์ อย่าใช้มันอย่างสิ้นเปลืองครับ
ลองทบทวนตัวเองในปีที่ผ่านมาดูกันรึยัง
ว่าเราให้โทสะ โมหะ โลภะ นำอยู่ในชีวิตมากเกินไปหรือเปล่า
ตั้งแต่จำความได้ปีใหม่นี้เป็นปีแรกที่ฝนตก!! อากาศคงวิปริตไปมากแล้วจริง ๆ แต่ก็อย่าให้จิตใจคนเราวิปริตไปมากกว่านี้เลยนะ
ในปีเสือนี้ หลังจากที่ได้ทบทวนและตัดสินตัวเองในปีที่ผ่านมา ว่าเป็นคนที่ดีคนหนึ่งนะ ผมนี่ แต่ไม่ได้เท่าที่ผมอยากเป็นนะ แล้วก็คิดไว้แล้วว่าปีนี้คงจะมีทั้งลดและเพิ่มในการใช้ชีวิต
ลดเรื่องการใช้คำพูดที่อาจจะทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นการล้อเล่นก็ตาม
ลดการปล่อยคาร์บอน ออกสู่อากาศ เพื่อลดโลกร้อน ก็เริ่มแล้วด้วยการเปลี่ยนโทรศัพท์ไร้สายที่บ้านมาใช้โทรศัพท์ธรรมดา ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า... ก็เป็นอีกเรื่องนะ เพราะบ้านผมก็ทำการลดการปล่อยคาร์บอนหลายอย่างแล้วละ
และเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ก็ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และไม่เดินหลงทางในชีวิตนะครับ
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๓ ครับ
ลองทบทวนตัวเองในปีที่ผ่านมาดูกันรึยัง
ว่าเราให้โทสะ โมหะ โลภะ นำอยู่ในชีวิตมากเกินไปหรือเปล่า
ตั้งแต่จำความได้ปีใหม่นี้เป็นปีแรกที่ฝนตก!! อากาศคงวิปริตไปมากแล้วจริง ๆ แต่ก็อย่าให้จิตใจคนเราวิปริตไปมากกว่านี้เลยนะ
ในปีเสือนี้ หลังจากที่ได้ทบทวนและตัดสินตัวเองในปีที่ผ่านมา ว่าเป็นคนที่ดีคนหนึ่งนะ ผมนี่ แต่ไม่ได้เท่าที่ผมอยากเป็นนะ แล้วก็คิดไว้แล้วว่าปีนี้คงจะมีทั้งลดและเพิ่มในการใช้ชีวิต
ลดเรื่องการใช้คำพูดที่อาจจะทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นการล้อเล่นก็ตาม
ลดการปล่อยคาร์บอน ออกสู่อากาศ เพื่อลดโลกร้อน ก็เริ่มแล้วด้วยการเปลี่ยนโทรศัพท์ไร้สายที่บ้านมาใช้โทรศัพท์ธรรมดา ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า... ก็เป็นอีกเรื่องนะ เพราะบ้านผมก็ทำการลดการปล่อยคาร์บอนหลายอย่างแล้วละ
เพิ่มความขยันในการทำงาน
เพิ่มความรับผิดชอบต่อสังคม..
และเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ก็ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และไม่เดินหลงทางในชีวิตนะครับ
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๓ ครับ
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ใบไม้ใบเก่าบนต้นไม้ใหญ่
เขียนโดย
Unknown
ที่
11:52
หากเปรียบว่าต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่ผู้ที่อยู่ใต้ต้น
ลูกไม้ที่ตกลงมาเพื่อจะเติบโตต่อไปก็ย่อมต้องอาศัยร่มเงานั้น ๆ เพื่อปกป้องจากแสงแดดที่จะแผดเผา ตอนยังเล็ก ๆ เริ่มเติบโต
ถ้าลูกไม้ที่ตกลงมาสู่ดินไม่ได้ร่มเงาจากร่มใบของต้นไม้ใหญ่ ก็อาจไม่งอกงาม เติบโต หรือเติบโตโดยไม่สมบูรณ์
ไม่มีลูกไม้ไหนที่เติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ โดยไม่มีร่มเงาของใบไม้ อาจเป็นร่มเงานที่มาจากต้นที่ให้กำเนิดตน หรือต้นอื่น ๆ ที่พร้อมจะให้ร่มเงาได้
แต่ไม่มีสิ่งใดหนีเวลาพ้น วันนึงใบไม้ที่เคยเป็นร่มเงาให้ลูกไม้เติบโตก็ร่วงลง...
เวลาให้หลายสิ่งหลายอย่างกับชีวิตของเรา แล้วมันก็พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปด้วย
ณ วันนี้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ก็ร่วงลงไปอีกใบหนึ่ง ปล่อยให้เหลือเพียงต้นไม้ และลูกไม้ที่เติบโตเกือบจะเต็มที่แล้ว..
ใบไม้ที่ร่วงลง ใช่จะไปไหน เพียงกลับลงไปรวมสู่ที่ ๆ กำเนิด เป็นการกลับไปสู่บ้านเก่าที่คุ้นเคย...
ลูกไม้ที่กลายเป็นไม้ใหญ่ ณ วันนี้คงต้องเติบโตต่อไม้ โดยไร้ร่มเงาจากใบไม้นั่น
และขยายกิ่งก้าน แตกออกออกใบเป็นร่มเงา กลับคือให้แก่ต้นใหญ่ใหญ่ต้นเก่าที่ไร้ใบบ้าง...
แล้วยังต้องเตรียมเป็นร่มเงาให้แก่ลูกไม้ต่าง ๆ ต่อไป..
ใบไม้ใบเก่าร่วงลงอีกใบแล้ว...
เวลาเป็นทั้งผู้ให้และผู้ทำลาย..
ดูแลตนไม้แก่ ๆ ทั้งต้นและใบให้ดี ๆ อย่าปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินไป...
และยังคงต้องเติบโตต่อไป...
ลูกไม้ที่ตกลงมาเพื่อจะเติบโตต่อไปก็ย่อมต้องอาศัยร่มเงานั้น ๆ เพื่อปกป้องจากแสงแดดที่จะแผดเผา ตอนยังเล็ก ๆ เริ่มเติบโต
ถ้าลูกไม้ที่ตกลงมาสู่ดินไม่ได้ร่มเงาจากร่มใบของต้นไม้ใหญ่ ก็อาจไม่งอกงาม เติบโต หรือเติบโตโดยไม่สมบูรณ์
ไม่มีลูกไม้ไหนที่เติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ โดยไม่มีร่มเงาของใบไม้ อาจเป็นร่มเงานที่มาจากต้นที่ให้กำเนิดตน หรือต้นอื่น ๆ ที่พร้อมจะให้ร่มเงาได้
แต่ไม่มีสิ่งใดหนีเวลาพ้น วันนึงใบไม้ที่เคยเป็นร่มเงาให้ลูกไม้เติบโตก็ร่วงลง...
เวลาให้หลายสิ่งหลายอย่างกับชีวิตของเรา แล้วมันก็พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปด้วย
ณ วันนี้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ก็ร่วงลงไปอีกใบหนึ่ง ปล่อยให้เหลือเพียงต้นไม้ และลูกไม้ที่เติบโตเกือบจะเต็มที่แล้ว..
ใบไม้ที่ร่วงลง ใช่จะไปไหน เพียงกลับลงไปรวมสู่ที่ ๆ กำเนิด เป็นการกลับไปสู่บ้านเก่าที่คุ้นเคย...
ลูกไม้ที่กลายเป็นไม้ใหญ่ ณ วันนี้คงต้องเติบโตต่อไม้ โดยไร้ร่มเงาจากใบไม้นั่น
และขยายกิ่งก้าน แตกออกออกใบเป็นร่มเงา กลับคือให้แก่ต้นใหญ่ใหญ่ต้นเก่าที่ไร้ใบบ้าง...
แล้วยังต้องเตรียมเป็นร่มเงาให้แก่ลูกไม้ต่าง ๆ ต่อไป..
ใบไม้ใบเก่าร่วงลงอีกใบแล้ว...
เวลาเป็นทั้งผู้ให้และผู้ทำลาย..
ดูแลตนไม้แก่ ๆ ทั้งต้นและใบให้ดี ๆ อย่าปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินไป...
และยังคงต้องเติบโตต่อไป...
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ธันวาคม ๒๕๕๒
เขียนโดย
Unknown
ที่
10:09
ธันวาคม อีกแล้ว...
ใกล้จะหมดไปอีกปีแล้วซิ ปีนี้เป็นปีที่เวลาวิ่งไปเร็วมาก ๆ อีกปีนึงแล้วนะ
คงต้องทบทวนว่าในปีที่ผ่านมา มีอะไรที่ทำไปแล้วเสียใจบ้าง หรือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำบ้าง
แล้วก็วางแผนว่า จะลด ละ เลิก อะไรบ้างในปีหน้า...
พอผมมาทบทวนสิ่งที่ผ่านมาในปีนี้ ก็พบว่าอาจมีบ้างที่ทำงานไม่เต็มร้อย ปีหน้าก็คงต้องตั้งใจให้มากกว่านี้แหละนะ
อาจมีคำพูดที่มำให้คนอื่นไม่สบายใจบ้าง แต่คงไม่ผิดเท่าไหร่ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องพูด บางครั้งความจริง ก็อาจทำให้คนอื่นเสียใจ หรือ ตัวเราเองเสียใจได้นะ
แล้วก็การที่ไม่ได้พาแฟนไปเที่ยวที่ไหนเลยอย่างที่ตั้งใจกันไว้ อย่างวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นก็คุยกันว่าจะไปเที่ยวกัน ก็มาติดทำหมันเจ้ามะระ ต้องอยู่ดูแลมันซะอีก
ในปีที่ผ่านมา คงมีเรื่องรบกวนจิตใจ แค่สามเรื่องนี้แหละมั้ง
ยังคงไม่คดโกงใคร, ไม่เอาเปรียบคนอื่น, ช่วยเหลือคนทั่วไปตามโอกาสอำนวย, แทบจะไม่พูดโกหก, ไม่ซื้อของละเมิดลิขสิทธิ์, ไม่แตะแอลกอฮอล์เลย...
ถือว่าเรื่องที่ตั้งใจไว้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีนะ
เป้าหมายของปีหน้าคงเป็นการลดการพูดคำหยาบ แล้วก็การดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้นละมั่ง
เพราะยังไงก็รู้สึกว่าพยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่หนักอกหนักใจของคนอื่นอยู่ และคงทำต่อไปนะ
อืม... คงไม่มีอะไรให้เขียนมากนัก แค่คิดว่า เวลามันยังวิ่งเร็วอยู่นะ
จะทำอะไรก็รีบทำซะ ถึงเวลาจะมีอยู่เหลือเฟือ แต่มันก็มีวันหมดอายุนะ
ทำดีกับตัวเอง ทำดีกับคนในครอบครัว ทำดีกับเพื่อน ทำดีกับคนรอบข้าง ทำดีกับสังคม
แค่นี้ก็ไม่รู้สึกว่าเวลาวิ่งเร็วเกินว่าที่เราต้องการแล้วละ
ใกล้จะหมดไปอีกปีแล้วซิ ปีนี้เป็นปีที่เวลาวิ่งไปเร็วมาก ๆ อีกปีนึงแล้วนะ
คงต้องทบทวนว่าในปีที่ผ่านมา มีอะไรที่ทำไปแล้วเสียใจบ้าง หรือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำบ้าง
แล้วก็วางแผนว่า จะลด ละ เลิก อะไรบ้างในปีหน้า...
พอผมมาทบทวนสิ่งที่ผ่านมาในปีนี้ ก็พบว่าอาจมีบ้างที่ทำงานไม่เต็มร้อย ปีหน้าก็คงต้องตั้งใจให้มากกว่านี้แหละนะ
อาจมีคำพูดที่มำให้คนอื่นไม่สบายใจบ้าง แต่คงไม่ผิดเท่าไหร่ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องพูด บางครั้งความจริง ก็อาจทำให้คนอื่นเสียใจ หรือ ตัวเราเองเสียใจได้นะ
แล้วก็การที่ไม่ได้พาแฟนไปเที่ยวที่ไหนเลยอย่างที่ตั้งใจกันไว้ อย่างวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นก็คุยกันว่าจะไปเที่ยวกัน ก็มาติดทำหมันเจ้ามะระ ต้องอยู่ดูแลมันซะอีก
ในปีที่ผ่านมา คงมีเรื่องรบกวนจิตใจ แค่สามเรื่องนี้แหละมั้ง
ยังคงไม่คดโกงใคร, ไม่เอาเปรียบคนอื่น, ช่วยเหลือคนทั่วไปตามโอกาสอำนวย, แทบจะไม่พูดโกหก, ไม่ซื้อของละเมิดลิขสิทธิ์, ไม่แตะแอลกอฮอล์เลย...
ถือว่าเรื่องที่ตั้งใจไว้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีนะ
เป้าหมายของปีหน้าคงเป็นการลดการพูดคำหยาบ แล้วก็การดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้นละมั่ง
เพราะยังไงก็รู้สึกว่าพยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่หนักอกหนักใจของคนอื่นอยู่ และคงทำต่อไปนะ
อืม... คงไม่มีอะไรให้เขียนมากนัก แค่คิดว่า เวลามันยังวิ่งเร็วอยู่นะ
จะทำอะไรก็รีบทำซะ ถึงเวลาจะมีอยู่เหลือเฟือ แต่มันก็มีวันหมดอายุนะ
ทำดีกับตัวเอง ทำดีกับคนในครอบครัว ทำดีกับเพื่อน ทำดีกับคนรอบข้าง ทำดีกับสังคม
แค่นี้ก็ไม่รู้สึกว่าเวลาวิ่งเร็วเกินว่าที่เราต้องการแล้วละ
วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
เวลา
เขียนโดย
Unknown
ที่
07:53
คุณเคยอ่านเรื่อง "โมโม่" มิชาเอล เอ็นเด้ ไหม? น่าสนใจนะ เป็นหนังสือที่ผมอ่านไปประมาณ 3-4 รอบได้ เรื่องเค้าเล่าถึงเด็กผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากความสุข และเวลาที่มีอยู่มากมาย ถ้ายังไม่อ่าน ก็ลองหามาอ่านดูนะ
ตอนที่ผมอ่านจบครั้งแรก ผมมีความคิดว่าตัวเองเป็นอะไรที่อยู่ครึ่ง ๆ ระหว่าง โมโม่ กับ พวกที่ถูกขโมยเวลาไป แล้วผมก็เฝ้าถามตัวเองอยู่ว่าผมอยากเป็นอย่างไหน หรือ มีความสุขกับอย่างไหนกันแน่..
สำหรับผมเวลาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แล้วก็ไม่มีหน่วยวัดที่แน่นอน เหมือนกับหน่วยนับอื่น ๆ อย่าง หนึ่งกิโลเมตร ยังไงมันก็มาจาก หนึ่งพันเมตร หรือว่าเราจะวัดยังไง มันก็เท่าเดิมอยู่ดี หรือน้ำหนัก สิบกรัม ยังไงมันก็เป็นสิบกรัมอยู่ดี จริงไหม? แต่เวลานี่ซิ คุณรู้สึกได้ยังไงว่าเวลามันเร็วหรือช้า หนึ่งวินาที มันจะเท่ากับ หนึ่งวินาทีตลอดไปจริงหรือ? คำตอบสำหรับผมคือไม่! คุณเคยรู้สึกไหมว่าเวลาดูหนังบางเรื่องจบเร็ว บางเรื่องจบช้า ทั้ง ๆ ที่บอกว่าฉายเวลาเท่า ๆ กัน หรือ ช่วงเวลาที่กำลังเล่นอะไรซักอย่างนึง กำลังเพลิน ๆ เผลอแป๊บเดียว ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ตอนที่ทำงานหรือเรียน เวลา หนึ่งชั่วโมง รู้สึกว่ามันช้ามาก
หรืออย่างเมื่อวานนี้ ผมแวะเข้าไปที่ทำงานเพื่อน เพื่อนกำลังนั่งทำงานอยู่ พอผมจัดการกับธุระของตัวเองเสร็จ เพื่อนยังไม่เสร็จงาน ก็นั่งรอ เป็นครั้งแรก ๆ ที่เวลาไปรออะไรแล้วไม่ได้พกหนังสือไปด้วย ความรู้สึกของผมจาก สิบเอ็ดโมง จนถึงเที่ยง แค่ชั่วโมงเดียว รู้สึกว่ามันช้า ช้ามากๆ ช้ากว่าที่ผมเข้ามาเริ่มทำธุระจนเสร็จซะอีก ทั้งที่ผมใช้เวลาช่วงแรกไปสองชั่วโมง กลับรู้สึกว่าเร็วกว่าเวลาที่นั่งรอหนึ่งชั่วโมงมากเลย แต่ผมไม่ได้หงุดหงิดเรื่องความเร็วความช้าอะไรหรอก เพราะเวลาน่ะผมมีอย่างเหลือเฟือ ที่จะทำอะไรก็ได้ โดย จริง ๆ นะ ถึงจะมียี่สิบสี่ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ของผมมีเยอะกว่าของหลาย ๆ คนเลยละ
มีคนถามบ่อย ๆ ว่า เอาเวลาที่ไหนไปทำอะไร ตั้งเยอะตั้งแยะ ผมไม่อยากบอกพวกเขาหรอกว่า ก็เพราะเวลาผมมีเยอะแยะน่ะซิ ผมเลยได้แต่ยิ้มตอบไป
หากจะเปรียบเทียบกันอีก ในหนึ่งปี ผมว่าเวลาที่ผ่านไปนั้นเร็วมาก ๆ แต่ก็ไม่มากจนตามไม่ทัน เหมือนเวลาที่เราเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยอะไร ถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมาก ๆ เราก็จะมองไม่เห็นสองข้างทาง
ถูกไหม? แต่ถ้าเราลดความเร็วลง เราก็มองสองข้างทางได้เต็มตาขึ้น มากขึ้น แล้วยังถึงจุดหมายเหมือน ๆ กันอยู่ดี หรืออย่างการไปเที่ยวที่ไหนซักแห่ง อย่างเช่น น้ำตก หลาย ๆ คนจะรีบเดินทาง เริ่มจากทางเข้า เพื่อไปให้ถึงตัวน้ำตกโดยเร็วที่สุด แล้วคนพวกนั้นจะเห็นหรือว่าระหว่างทางมีอะไรบ้าง มีมอส มีไลเดนท์ ที่สวย ๆ มีแมลงแปลก ๆ ดอกไม้ ดอกหญ้า หิน ดิน ใยแมงมุม ทุอย่างสวยงาม เพียงแต่พวกเขาไม่เห็นมันเพราะบอกกับตัวเองเพียงว่าเวลามีน้อย รีบไปดู ไปเล่นน้ำตกดีกว่า แค่เพียงเราลดความเร็วของเวลาลง เราก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
นั่นทำให้ผมเป็นคนที่มีเวลาอยู่กับตัวเยอะแยะ มีเวลาที่จะให้กับพ่อแม่ พี่น้อง คู่ชีวิต เพื่อน ๆ หมา ๆ แล้วก็อื่น ๆ อีกมากมาย โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกว่าเวลามันหายไปไหนเลย
เมื่อเช้าพอกินข้าวเช้าเสร็จ ผมก็เล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมไปเรื่อย แฟนกำลังล้างชามอยู่ก็บอก เร็วคะเดี๋ยวไปไม่ทัน ซึ่งหมายถึงผมจะไปส่งเธอไปทำงานไม่ทัน แต่ผมกลับคิดว่าผมยังมีเวลาอีกเยอะแยะ ก็เลยเดินเอาข้าวผัดไปให้แม่ที่บ้าน กลับมาเล่นกับหมาอีกนิดหน่อย แล้วก็ไปส่งแฟน ก็ยังทันอยู่ดี แสดงว่าเวลาเท่าๆ กัน มันอาจจะเร็วช้าไม่เท่ากันได้ในแต่ละคน
เมื่อก่อนนี้ผมก็เป็นคนที่ใช้เวลาอย่างสิ้นเปลือง แล้วบ่นว่าไม่มีเวลาเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว อาจจะเปลี่ยนมาหลายปีแล้วก็ได้นะ ทำให้ผมสามารถทำอะไร อะไร ได้มากขึ้น โดยที่ไม่รู้สึกว่าเสียเวลา หรือไม่มีเวลาซักที อาจจะมีบ้างบางครั้งที่งานเสร็จไม่ทันกำหนด แต่พอเริ่มรู้สึกว่าเวลาไม่ทันแล้ว ผมก็จะบอกกับตัวเองใหม่ว่า ไม่ทันได้ไง ในเมื่อผมมีเวลาอยู่เยอะแยะ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ หลาย ๆ ครั้งคนมักถามถึงเรื่องงานว่า ทำไปได้ยังไง เวลาแค่นี้ ก็ผมมีเวลาอยู่อย่างเหลือเฟือนั่นไงคำตอบ
เวลา ไม่มีหน่วยนับที่แน่นอนหรอก หน่วยวัดนั้นอยู่ที่ใจเรามากกว่า ว่าอยากให้มันเร็วหรือช้า เพียงพอ หรือ ไม่พอเพียง
ตอนที่ผมอ่านจบครั้งแรก ผมมีความคิดว่าตัวเองเป็นอะไรที่อยู่ครึ่ง ๆ ระหว่าง โมโม่ กับ พวกที่ถูกขโมยเวลาไป แล้วผมก็เฝ้าถามตัวเองอยู่ว่าผมอยากเป็นอย่างไหน หรือ มีความสุขกับอย่างไหนกันแน่..
สำหรับผมเวลาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แล้วก็ไม่มีหน่วยวัดที่แน่นอน เหมือนกับหน่วยนับอื่น ๆ อย่าง หนึ่งกิโลเมตร ยังไงมันก็มาจาก หนึ่งพันเมตร หรือว่าเราจะวัดยังไง มันก็เท่าเดิมอยู่ดี หรือน้ำหนัก สิบกรัม ยังไงมันก็เป็นสิบกรัมอยู่ดี จริงไหม? แต่เวลานี่ซิ คุณรู้สึกได้ยังไงว่าเวลามันเร็วหรือช้า หนึ่งวินาที มันจะเท่ากับ หนึ่งวินาทีตลอดไปจริงหรือ? คำตอบสำหรับผมคือไม่! คุณเคยรู้สึกไหมว่าเวลาดูหนังบางเรื่องจบเร็ว บางเรื่องจบช้า ทั้ง ๆ ที่บอกว่าฉายเวลาเท่า ๆ กัน หรือ ช่วงเวลาที่กำลังเล่นอะไรซักอย่างนึง กำลังเพลิน ๆ เผลอแป๊บเดียว ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ตอนที่ทำงานหรือเรียน เวลา หนึ่งชั่วโมง รู้สึกว่ามันช้ามาก
หรืออย่างเมื่อวานนี้ ผมแวะเข้าไปที่ทำงานเพื่อน เพื่อนกำลังนั่งทำงานอยู่ พอผมจัดการกับธุระของตัวเองเสร็จ เพื่อนยังไม่เสร็จงาน ก็นั่งรอ เป็นครั้งแรก ๆ ที่เวลาไปรออะไรแล้วไม่ได้พกหนังสือไปด้วย ความรู้สึกของผมจาก สิบเอ็ดโมง จนถึงเที่ยง แค่ชั่วโมงเดียว รู้สึกว่ามันช้า ช้ามากๆ ช้ากว่าที่ผมเข้ามาเริ่มทำธุระจนเสร็จซะอีก ทั้งที่ผมใช้เวลาช่วงแรกไปสองชั่วโมง กลับรู้สึกว่าเร็วกว่าเวลาที่นั่งรอหนึ่งชั่วโมงมากเลย แต่ผมไม่ได้หงุดหงิดเรื่องความเร็วความช้าอะไรหรอก เพราะเวลาน่ะผมมีอย่างเหลือเฟือ ที่จะทำอะไรก็ได้ โดย จริง ๆ นะ ถึงจะมียี่สิบสี่ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ของผมมีเยอะกว่าของหลาย ๆ คนเลยละ
มีคนถามบ่อย ๆ ว่า เอาเวลาที่ไหนไปทำอะไร ตั้งเยอะตั้งแยะ ผมไม่อยากบอกพวกเขาหรอกว่า ก็เพราะเวลาผมมีเยอะแยะน่ะซิ ผมเลยได้แต่ยิ้มตอบไป
หากจะเปรียบเทียบกันอีก ในหนึ่งปี ผมว่าเวลาที่ผ่านไปนั้นเร็วมาก ๆ แต่ก็ไม่มากจนตามไม่ทัน เหมือนเวลาที่เราเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยอะไร ถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมาก ๆ เราก็จะมองไม่เห็นสองข้างทาง
ถูกไหม? แต่ถ้าเราลดความเร็วลง เราก็มองสองข้างทางได้เต็มตาขึ้น มากขึ้น แล้วยังถึงจุดหมายเหมือน ๆ กันอยู่ดี หรืออย่างการไปเที่ยวที่ไหนซักแห่ง อย่างเช่น น้ำตก หลาย ๆ คนจะรีบเดินทาง เริ่มจากทางเข้า เพื่อไปให้ถึงตัวน้ำตกโดยเร็วที่สุด แล้วคนพวกนั้นจะเห็นหรือว่าระหว่างทางมีอะไรบ้าง มีมอส มีไลเดนท์ ที่สวย ๆ มีแมลงแปลก ๆ ดอกไม้ ดอกหญ้า หิน ดิน ใยแมงมุม ทุอย่างสวยงาม เพียงแต่พวกเขาไม่เห็นมันเพราะบอกกับตัวเองเพียงว่าเวลามีน้อย รีบไปดู ไปเล่นน้ำตกดีกว่า แค่เพียงเราลดความเร็วของเวลาลง เราก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
นั่นทำให้ผมเป็นคนที่มีเวลาอยู่กับตัวเยอะแยะ มีเวลาที่จะให้กับพ่อแม่ พี่น้อง คู่ชีวิต เพื่อน ๆ หมา ๆ แล้วก็อื่น ๆ อีกมากมาย โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกว่าเวลามันหายไปไหนเลย
เมื่อเช้าพอกินข้าวเช้าเสร็จ ผมก็เล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมไปเรื่อย แฟนกำลังล้างชามอยู่ก็บอก เร็วคะเดี๋ยวไปไม่ทัน ซึ่งหมายถึงผมจะไปส่งเธอไปทำงานไม่ทัน แต่ผมกลับคิดว่าผมยังมีเวลาอีกเยอะแยะ ก็เลยเดินเอาข้าวผัดไปให้แม่ที่บ้าน กลับมาเล่นกับหมาอีกนิดหน่อย แล้วก็ไปส่งแฟน ก็ยังทันอยู่ดี แสดงว่าเวลาเท่าๆ กัน มันอาจจะเร็วช้าไม่เท่ากันได้ในแต่ละคน
เมื่อก่อนนี้ผมก็เป็นคนที่ใช้เวลาอย่างสิ้นเปลือง แล้วบ่นว่าไม่มีเวลาเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว อาจจะเปลี่ยนมาหลายปีแล้วก็ได้นะ ทำให้ผมสามารถทำอะไร อะไร ได้มากขึ้น โดยที่ไม่รู้สึกว่าเสียเวลา หรือไม่มีเวลาซักที อาจจะมีบ้างบางครั้งที่งานเสร็จไม่ทันกำหนด แต่พอเริ่มรู้สึกว่าเวลาไม่ทันแล้ว ผมก็จะบอกกับตัวเองใหม่ว่า ไม่ทันได้ไง ในเมื่อผมมีเวลาอยู่เยอะแยะ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ หลาย ๆ ครั้งคนมักถามถึงเรื่องงานว่า ทำไปได้ยังไง เวลาแค่นี้ ก็ผมมีเวลาอยู่อย่างเหลือเฟือนั่นไงคำตอบ
เวลา ไม่มีหน่วยนับที่แน่นอนหรอก หน่วยวัดนั้นอยู่ที่ใจเรามากกว่า ว่าอยากให้มันเร็วหรือช้า เพียงพอ หรือ ไม่พอเพียง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)