เพราะประสบการณ์เป็นสิ่งที่ซื้อหามาไม่ได้ และประสบการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเรียนรู้ที่จะนำเอาไปปรับใช้กับชีวิตในอนาคต เรื่องราวหลากหลายในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ย่อมสั่งสอนสิ่งต่าง ๆ หลายหลาก เพื่อให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างเหมาะสมและมีความสุขมากขึ้น หลายอย่างที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจ สอนเราว่า หากเราทำดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังมีผลเช่นนั้น ก็ไม่ควรทุกข์อยู่กับมันมากเกินไป
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบมาให้ ขอบคุณทุก ๆ คนที่อยู่เคียงข้างกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปชมพิธีกรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ เป็นพิธีกรรมที่นำเอาพุทธและผีมาหลอมรวมกันไว้ได้อย่างลงตัว
เป็นพิธีลักษณะที่เป็นการตัดการเชื่อมต่อกันระหว่างผู้ที่ยังอยู่และผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้ว
โดยความตั้งใจเริ่มแรกที่จะไปร่วมพิธีกรรมนี้ พร้อมกับการถ่ายรูปเพื่อนำกลับมาเขียนเป็นสารคดีสั้น ๆ ส่งนิตยสาร
กลับกลายเป็นการต้องการร่วมพิธีเพื่อมองดูให้ลึกซึ้งเพียงอย่างเดียว
พิธีกรรมทั้งหลายบนโลกใบนี้ล้วนมีกุศโลบายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพื่อสร้างความศรัทธา เพื่อสร้างความสบายใจ
แม้กระทั่งพุทธเอง ซึ่งไม่มีพิธีกรรมใด ๆ เพราะมุ่งเน้นที่การหลุดพ้น ก็ยังต้องนำพิธีกรรมจากศาสนาเดิม ๆ มาหลอมรวม เพื่อให้ผู้คนที่ศรัทธาในศาสนาเดิม เข้าใจและเข้าถึงได้มากขึ้น เช่นเดียวกับทุกศาสนา ที่ย่อมต้องรับเข้าศาสนาเดิมในพื้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่ง
พิธีกรรมที่ได้มีโอกาสไปเข้าร่วมมานี้ ก็เช่นกัน เป็นการหลอมรวม พุทธ และผี โดยมีทั้งการบูชา พระพุทธเจ้า การบูชาพญาแถน การขับไล่ผีร้าย ใช้ทั้งภาษาบาลีและคำพื้นเมือง เข้ากันอย่างเหมาะจงลงตัว จนแยกคำต่าง ๆ แทบไม่ออก กุสโลบาย ในการที่ให้ทิ้งผ้าที่ใช้เมื่อเข้าพิธีกรรม เพื่อสร้างความเชื่อในส่วนของการละทิ้งความโชคร้าย เคราะห์ร้าย การลอดตะแหลว ซึ่งเปรียบเหมือนการเกิดใหม่
พิธีกรรมที่ต้องกระทำในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ มีทางน้ำไหล แสดงการเคารพต่อธรรมชาติ ต่อพุทธ ต่อผี ไม่มีอาการหยาบกระด้าง ก้าวร้าวต่อสิ่งใด ๆ
มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสบายใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าพิธีและญาติพี่น้อง
ในสายตาชาวบ้าน นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ชีวิตกลับสู่ความเป็นปกติ
ในสายตาผม นี่เป็นพิธีกรรมที่สวยงามและมีความหมายลึกซึ้ง
ในสายตานักวิชาการ นี่อาจเป็นเรื่องงมงาย
สายตาทุกคู่ มนุษย์ทุกคน มีพื้นฐานความคิด ความรู้ ความเข้าใจไม่เหมือนกัน
สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านสายตา ย่อมให้ความหมายที่แตกต่างกัน
พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้ครบถ้วนเหมาะสม
แล้วจะพบความสงบสุขในทุก ๆ สิ่ง
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความเชื่อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความเชื่อ แสดงบทความทั้งหมด
วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555
พระบรมธาตุเจดีย์
เขียนโดย
Unknown
ที่
11:48
สิบกว่าปีก่อน ช่วงปี 2540 ได้เดินทางลงไปทำงานทางใต้บ่อย ๆ ซึ่งรวมไปทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
แน่นอนว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน สิ่งต่าง ๆ ย่อมแตกต่างไปจากปัจจุบัน ร้านชา กาแฟ โรตี มีมากขึ้น แต่ที่มากกว่าคือร้านเหล้าตามซอยเล็กซอยน้อย
อันเป็นผลมาจากช่วงตื่นจตุคามเมื่อหลายปีก่อน ทำให้เศรษฐกิจเมืองคอนคึกคักมาก มีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางมาที่นี่บ่อย ๆ รวมทั้งผมด้วย
เพียงแต่เหตุของการมาต่างกัน หลาย ๆ คนมาเพื่อตักตวงประโยชน์จากความเชื่อในจตุคาม และความศรัทธาในพระบรมธาตุเจดีย์
ผมมาเพราะการทำงานและเรื่องเที่ยวล้วน ๆ ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับจตุคามแต่อย่างใด ในสายตาคนนอกแบบผม การบรรทุกจตุคามมาบนรถสิบล้อเพื่อทำการปลุกเสก เป็นเรื่องที่เกินคาดคิด และน่าจะทำให้เกิดปัญหากับถนนโดยรอบและองค์พระบรมธาตุเจดีย์เอง และก็เป็นความจริงตามข่าวเมื่อไม่กี่ปีก่อน
พระบรมธาตุเจดีย์ในช่วงที่จตุคามได้รับความนิยมนั้น เป็นช่วงที่ผมทำเพียงนั่งจิบกาแฟหน้าวัด แต่ไม่เคยเข้าไปชมเลย
และในที่สุดก็เป็นไปตามหลักความจริงที่สุดของโลก เมื่อมีขึ้นก็มีลง เมื่อมีศรัทธาก็มีเสื่อมศรัทธา จตุคามก็เสื่อมความนิยมลง
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสไปทำงานที่นครศรีธรรมราชอีกครั้ง ยังคงเป็นเมืองที่มองหาชาวต่างชาติเดินชมเมืองได้น้อยมาก ทั้งที่มีสถานที่น่าสนใจมากมาย อาจเป็นเพราะความงดงามตามหาดทราย ทะเล และเกาะแก่งต่าง ๆ มาบดบังซะหมด
พระบรมธาตุเจดีย์ ในวันที่จตุคามเสื่อมความนิยม กลับดูงดงามยิ่งใหญ่
เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ความศรัทธา มองดูน่าเลื่อมใส อาจเป็นเพราะปลอดจากคนที่เข้ามาเป็นเหลือบริ้นเกาะกินกระแสศรัทธา ทำให้ผู้ที่มาต่างก็มองเห็นความเป็นพระบรมธาตุเจดีย์จริง ๆ โดยไม่มีความเป็นจตุคามมาเบียดบัง
วันที่เข้าไปชมพระบรมธาตุเจดีย์ล่าสุดเป็นวันที่กำลังได้ขึ้นบัญชีขั้นต้นสำหรับการเป็นมรดกโลก
พระบรมธาตุเจดีย์มีความเหมาะสมกับการเป็นมรดกโลกที่คนทั่วโลกชื่นชม ทั้งด้านความงดงามและประวัติศาสตร์
หากมีโอกาสก็แนะนำให้ไปชมนะครับ ช่วงหลังนี้พระบรมธาตุเจดีย์งดงามมากจริง ๆ
เมื่อปลอดจากเหลือบริ้นที่เกาะกินกระแสศรัทธา ความงดงามที่แท้จริงก็กระจ่างออกมา
คนเราหากปล่อยให้อคติบังตา ย่อมมองความเป็นจริงไม่เห็นนั่นแหละ
วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554
ชื่อนั้นสำคัญไฉน?
เขียนโดย
Unknown
ที่
12:44
"อ้าว.. ไม่ใส่ชื่อเหรอ" เพื่อนผมถามเมื่อผมยื่นซองผ้าป่า ที่ใส่เงินทำบุญไปแล้วคืนให้..
อันเป็นที่มาของความสงสัย ทำให้ต้องใช้ความคิดอีกแล้ว.
ชื่อนั้นสำคัญไฉน? เป็นหัวข้อที่เคยอ่านในนิตยสารต่วยตูนบ่อย ๆ สมัยยังเด็ก
เราให้ความสำคัญกับชื่อ นามสกุลมากเกินไปหรือไม่ ตอนตั้งชื่อก็ต้องไม่มีตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีนะ ต้องมีอักษรที่เป็นอำนาจ อักษรที่มีบริวาร ฯลฯ
พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ไม่พอใจก็ไปเปลี่ยน
ในความคิดผม จากคำถามที่เพื่อนถามเรื่องการใส่ชื่อในซองทำบุญ ก็คือ แล้วบุญกรรม มันตามชื่อหรือนามสกุลเราไปหรือไง ถ้าอย่างนั้นการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล สามารถเริ่มต้นบุญและกรรมได้ไหม?
ไม่น่าจะได้นะ เพราะคนเราประกอบกันขึ้นมาจากสสารหลาย ๆ ชนิดก่อร่างขึ้นมาเป็นตัวตน โดยมีจิตเป็นตัวกำหนดความเป็นไป
ดังนั้น ไม่ว่าจะชื่ออะไร จะเปลี่ยนกี่ครั้งก็ตาม จิตนั้น ๆ ก็ยังคงเดิม และเมื่อสสารไม่มีวันสูญสลายไป จิตย่อมกลับมาประกอบกับสสารขึ้นใหม่ โดยสะสมบุญกรรมที่ทำมาทุก ๆ ครั้ง
ไม่น่าจะมีผลกับเรื่องชื่อเสียงเรียงนามนะ
เรื่องชื่อนี่ ก็เป็นเรื่องสมมุติขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อให้มนุษย์ที่ยังโง่เขลา และโง่ขึ้นเรื่อย ๆ จากเทคโนโลยี เอาไว้แยกแยะมนุษย์อื่น ๆ
เมื่อมนุษย์ละร่างกายไปแล้ว จิตจะยังจดจำชื่ออยู่อีกหรือ? แล้วหากมีนรก สวรรค์ เขาจะเรียกจิตนั้น ๆ ตามชื่อที่ตั้งไว้ทางโลกหรือ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองขวางโลก ยังไม่เข้าใจว่าจะไปถามเรื่องนี้กับใครดี? แล้วถามไปถามแล้ว เขาจะเข้าใจคำถามของเราไหม?
ความเชื่อในยุโรปหลายประเทศ ชื่อที่แม่เรียกเมื่อครั้งเกิดใหม่เป็นชื่อที่มีพลังที่สุด เพราะเป็นชื่อที่ผู้ให้กำเนิดเป็นผู้ตั้งให้..
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ชื่อที่ใช้อย่างเป็นทางการก็ได้.. แต่ทำไมหลาย ๆ คนชอบเปลี่ยนชื่อ ตั้งที่เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้
ชื่อมีไว้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แบ่งสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งหนึ่ง.. ไม่ได้ทำให้ผู้ที่ใช้ชื่อนั้น ๆ อยู่ ดีหรือเลว กว่าผู้อื่นนะ
ส่วนบุญกรรม ไม่สนใจชื่อหรอกว่าใครจะเป็นคนทำ เพราะจิตของคนนั้น ๆ จะรับผิดชอบโดยตัวของมันเอง
เรื่องนี้สั้น ๆ แค่อธิบายความไม่เข้าใจในเรื่องชื่อ หากใครมีความคิดเห็นยังไง รบกวนช่วยสั่งสอนด้วยนะครับ
สัตว์อื่น ๆ มันจะอยากมีชื่อเรียก หรือตั้งชื่อ หรือเปลี่ยนชื่อไหมนะ.. แล้วมันจะมีความสุขไหม
สงสัยจริง ๆ ว่าหมามันจะเรียกกันเองว่ายังไง...
อันเป็นที่มาของความสงสัย ทำให้ต้องใช้ความคิดอีกแล้ว.
ชื่อนั้นสำคัญไฉน? เป็นหัวข้อที่เคยอ่านในนิตยสารต่วยตูนบ่อย ๆ สมัยยังเด็ก
เราให้ความสำคัญกับชื่อ นามสกุลมากเกินไปหรือไม่ ตอนตั้งชื่อก็ต้องไม่มีตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีนะ ต้องมีอักษรที่เป็นอำนาจ อักษรที่มีบริวาร ฯลฯ
พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ไม่พอใจก็ไปเปลี่ยน
ในความคิดผม จากคำถามที่เพื่อนถามเรื่องการใส่ชื่อในซองทำบุญ ก็คือ แล้วบุญกรรม มันตามชื่อหรือนามสกุลเราไปหรือไง ถ้าอย่างนั้นการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล สามารถเริ่มต้นบุญและกรรมได้ไหม?
ไม่น่าจะได้นะ เพราะคนเราประกอบกันขึ้นมาจากสสารหลาย ๆ ชนิดก่อร่างขึ้นมาเป็นตัวตน โดยมีจิตเป็นตัวกำหนดความเป็นไป
ดังนั้น ไม่ว่าจะชื่ออะไร จะเปลี่ยนกี่ครั้งก็ตาม จิตนั้น ๆ ก็ยังคงเดิม และเมื่อสสารไม่มีวันสูญสลายไป จิตย่อมกลับมาประกอบกับสสารขึ้นใหม่ โดยสะสมบุญกรรมที่ทำมาทุก ๆ ครั้ง
ไม่น่าจะมีผลกับเรื่องชื่อเสียงเรียงนามนะ
เรื่องชื่อนี่ ก็เป็นเรื่องสมมุติขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อให้มนุษย์ที่ยังโง่เขลา และโง่ขึ้นเรื่อย ๆ จากเทคโนโลยี เอาไว้แยกแยะมนุษย์อื่น ๆ
เมื่อมนุษย์ละร่างกายไปแล้ว จิตจะยังจดจำชื่ออยู่อีกหรือ? แล้วหากมีนรก สวรรค์ เขาจะเรียกจิตนั้น ๆ ตามชื่อที่ตั้งไว้ทางโลกหรือ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองขวางโลก ยังไม่เข้าใจว่าจะไปถามเรื่องนี้กับใครดี? แล้วถามไปถามแล้ว เขาจะเข้าใจคำถามของเราไหม?
ความเชื่อในยุโรปหลายประเทศ ชื่อที่แม่เรียกเมื่อครั้งเกิดใหม่เป็นชื่อที่มีพลังที่สุด เพราะเป็นชื่อที่ผู้ให้กำเนิดเป็นผู้ตั้งให้..
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ชื่อที่ใช้อย่างเป็นทางการก็ได้.. แต่ทำไมหลาย ๆ คนชอบเปลี่ยนชื่อ ตั้งที่เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้
ชื่อมีไว้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แบ่งสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งหนึ่ง.. ไม่ได้ทำให้ผู้ที่ใช้ชื่อนั้น ๆ อยู่ ดีหรือเลว กว่าผู้อื่นนะ
ส่วนบุญกรรม ไม่สนใจชื่อหรอกว่าใครจะเป็นคนทำ เพราะจิตของคนนั้น ๆ จะรับผิดชอบโดยตัวของมันเอง
เรื่องนี้สั้น ๆ แค่อธิบายความไม่เข้าใจในเรื่องชื่อ หากใครมีความคิดเห็นยังไง รบกวนช่วยสั่งสอนด้วยนะครับ
สัตว์อื่น ๆ มันจะอยากมีชื่อเรียก หรือตั้งชื่อ หรือเปลี่ยนชื่อไหมนะ.. แล้วมันจะมีความสุขไหม
สงสัยจริง ๆ ว่าหมามันจะเรียกกันเองว่ายังไง...
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553
อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่า (6-10)
เขียนโดย
Unknown
ที่
11:52
ถ้าผมบอกพวกคุณว่า บ้านนกในภาพนี้ ไม่มีนกอยู่ คุณจะเชื่อไหม หรือถ้าผมบอกว่าในบ้านนกนี้ มีนกอยู่ละ คุณจะเชื่อไหม หรือผมบอกว่าไม่มีนกหรอก มีแต่หนูมาอยู่ มีงูมาอยู่ มีค้างคาวมาอยู่ คุณจะเชื่อแบบไหน? หรือเลือกที่จะเชื่อตามความคิดของพวกคุณเอง หรือเลือกที่จะเชื่อ โดยการพิจารณา ความจริงและเหตุผลก่อน แล้วจึงเลือกที่จะเชื่อ
วันนี้มาคุยในเรื่องของกาลามะสูตร ให้จบแล้วกันนะ เหลืออีก 5 ข้อแค่นั้นเอง
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคาดคะเนของตนเอง
ข้อนี้เกี่ยวเนื่องมาจากข้อที่แล้ว ที่ว่าอย่าในเชื่อในการเดาของตัวเอง
ซึ่งในข้อนี้ง่าย ๆ ก็คืออย่าคิดเอาว่าสิ่งที่เราคาดเอาไว้ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันจะต้องเป็นจริง ๆ โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาด้วยหลักความจริง และหาเหตุผลต่าง ๆ มาประกอบ
อย่างช่วงเดือนก่อน มีคนถามผมว่า เหตุการณ์อย่างในหนังเรื่อง 2012 จะเกิดขึ้นจริง ๆ ไหม?
ผมก็ตอบไปว่า ก็มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้นะ แต่ไม่รู้ว่าปีไหน เพราะเหตุการณ์และสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะ วิกฤตโลกร้อน ย่อมสามารถทำให้เกิดความผิดปกติ
ของธรรมชาติอย่างร้ายแรงได้ คนถามก็ย้อนกลับมาว่า แต่ปฎิทิน ของชนเผ่ามายา จบแค่ปี 2012 นะ เพราะฉะนั้น น่าจะเป็นเรื่องจริง
ผมเลยถามกลับไปว่า แล้วเคยเห็นปฎิทินที่ว่านั่นเหรอ แล้วถ้าเห็นจะอ่านเข้าใจเหรอ แล้วเรามั่นใจได้อย่างไร ว่านักโบราณคดีที่วิเคราะห์ภาษาของชนเผ่าโบราณ
จะแปลได้อย่างถูกต้อง ตามความหมายเดียวกับชนเผ่านั้น ๆ ตอนที่เขาจัดทำขึ้นมา....
คนเราไม่ควรจะเอาความคาดคะเนของเรามาเป็นหลักในการดำรงชีวิต หรือเชื่อมันมากจนเกินไป ผมอยากจะหมายถึงว่า อย่าเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปนะ
วันนี้มาคุยในเรื่องของกาลามะสูตร ให้จบแล้วกันนะ เหลืออีก 5 ข้อแค่นั้นเอง
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคาดคะเนของตนเอง
ข้อนี้เกี่ยวเนื่องมาจากข้อที่แล้ว ที่ว่าอย่าในเชื่อในการเดาของตัวเอง
ซึ่งในข้อนี้ง่าย ๆ ก็คืออย่าคิดเอาว่าสิ่งที่เราคาดเอาไว้ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันจะต้องเป็นจริง ๆ โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาด้วยหลักความจริง และหาเหตุผลต่าง ๆ มาประกอบ
อย่างช่วงเดือนก่อน มีคนถามผมว่า เหตุการณ์อย่างในหนังเรื่อง 2012 จะเกิดขึ้นจริง ๆ ไหม?
ผมก็ตอบไปว่า ก็มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้นะ แต่ไม่รู้ว่าปีไหน เพราะเหตุการณ์และสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะ วิกฤตโลกร้อน ย่อมสามารถทำให้เกิดความผิดปกติ
ของธรรมชาติอย่างร้ายแรงได้ คนถามก็ย้อนกลับมาว่า แต่ปฎิทิน ของชนเผ่ามายา จบแค่ปี 2012 นะ เพราะฉะนั้น น่าจะเป็นเรื่องจริง
ผมเลยถามกลับไปว่า แล้วเคยเห็นปฎิทินที่ว่านั่นเหรอ แล้วถ้าเห็นจะอ่านเข้าใจเหรอ แล้วเรามั่นใจได้อย่างไร ว่านักโบราณคดีที่วิเคราะห์ภาษาของชนเผ่าโบราณ
จะแปลได้อย่างถูกต้อง ตามความหมายเดียวกับชนเผ่านั้น ๆ ตอนที่เขาจัดทำขึ้นมา....
คนเราไม่ควรจะเอาความคาดคะเนของเรามาเป็นหลักในการดำรงชีวิต หรือเชื่อมันมากจนเกินไป ผมอยากจะหมายถึงว่า อย่าเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปนะ
ข้อต่อมา อย่าได้เชื่อถือ โดยการคิดตามเหตุผลส่วนตัวของตัวเอง
ตรงตามความหมายเลยนะครับ เมื่อทุกคนมีความคิดของตนเอง ย่อมทำให้สังคมหนึ่ง ๆ มีหลากหลายความคิด ทุกคนมีเหตุผลของตนเองทั้งสิ้น
และหากทุกคนยึดมั่น ยึดถือกับความคิดของตนเองเป็นหลัก โดยเชื่อว่าเป็นความจริง ย่อมทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม และนำมาซึ่งความวุ่นวาย
และรุนแรง ดังนั้น การที่เราจะเชื่อความคิดของตัวเองนั่น ย่อมต้องพิจารณาจะเหตุผลหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้เห็นจริงอย่างถ่องแท้ และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สังคมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเพื่อจำกัดแนวความคิดที่อาจสร้างความแตกแยกได้ เพราะกฎหมายย่อมกลั่นกรองออกมาเพื่อให้ทุกคนในสังคม อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
หากคนเราเอาเหตุผลตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ โดยเชื่อว่ถูกต้องกว่ากฎหมาย ย่อมทำให้สังคมวุ่นวายอย่างมากแน่นอน
ซึ่งในข้อนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับข้อต่อไปอย่างชัดเจน
ตรงตามความหมายเลยนะครับ เมื่อทุกคนมีความคิดของตนเอง ย่อมทำให้สังคมหนึ่ง ๆ มีหลากหลายความคิด ทุกคนมีเหตุผลของตนเองทั้งสิ้น
และหากทุกคนยึดมั่น ยึดถือกับความคิดของตนเองเป็นหลัก โดยเชื่อว่าเป็นความจริง ย่อมทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม และนำมาซึ่งความวุ่นวาย
และรุนแรง ดังนั้น การที่เราจะเชื่อความคิดของตัวเองนั่น ย่อมต้องพิจารณาจะเหตุผลหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้เห็นจริงอย่างถ่องแท้ และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สังคมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเพื่อจำกัดแนวความคิดที่อาจสร้างความแตกแยกได้ เพราะกฎหมายย่อมกลั่นกรองออกมาเพื่อให้ทุกคนในสังคม อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
หากคนเราเอาเหตุผลตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ โดยเชื่อว่ถูกต้องกว่ากฎหมาย ย่อมทำให้สังคมวุ่นวายอย่างมากแน่นอน
ซึ่งในข้อนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับข้อต่อไปอย่างชัดเจน
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเข้ากันได้กับความเชื่อของตน หรือมีอยู่ประจำใจ
เพราะเรามีความคิดเห็นส่วนตัว และความเชื่อบางอย่างอยู่แล้วจึงมักตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ฉลาดกว่า ซึ่งอาจจะรู้ถึงความเชื่อความศรัทธาของเรา
อันเป็นเหตุให้ถูกชักจูงไปในทิศทางที่เขาต้องการได้ง่าย หากเขาชักนำไปสู่ทิศทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าหากชักนำไปสู่ทิศทางที่เลวร้าย เราก็จะยังคงทำตาม
ด้วยความมืดบอดทางด้านเหตุผล อันเกิดจากความเชื่อที่เป็นฐานอยู่ในจิตใจของเราอยู่แล้ว
ดังนั้น ต่อให้เรามีความเชื่อหรือคติประจำใจอย่างไรก็ตาม ย่อมต้องพิจารณาอยู่เสมอ ตามหลักการและเหตุผลที่เกี่ยวเนื่อง ในหลาย ๆ ด้าน เพื่อที่จะทำอะไรก็ตาม
แล้วไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม จริยธรรม รวมทั้งความเชื่อของเราเอง
เพราะเรามีความคิดเห็นส่วนตัว และความเชื่อบางอย่างอยู่แล้วจึงมักตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ฉลาดกว่า ซึ่งอาจจะรู้ถึงความเชื่อความศรัทธาของเรา
อันเป็นเหตุให้ถูกชักจูงไปในทิศทางที่เขาต้องการได้ง่าย หากเขาชักนำไปสู่ทิศทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าหากชักนำไปสู่ทิศทางที่เลวร้าย เราก็จะยังคงทำตาม
ด้วยความมืดบอดทางด้านเหตุผล อันเกิดจากความเชื่อที่เป็นฐานอยู่ในจิตใจของเราอยู่แล้ว
ดังนั้น ต่อให้เรามีความเชื่อหรือคติประจำใจอย่างไรก็ตาม ย่อมต้องพิจารณาอยู่เสมอ ตามหลักการและเหตุผลที่เกี่ยวเนื่อง ในหลาย ๆ ด้าน เพื่อที่จะทำอะไรก็ตาม
แล้วไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม จริยธรรม รวมทั้งความเชื่อของเราเอง
น่าแปลกที่ว่าเมื่อพิจารณาต่อไปยังข้อถัดไปแล้ว จะเห็นว่ามันเกี่ยวเนื่องกันต่อไป
อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่าผู้พูดหรือผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่พอเชื่อถือได้
เพราะหากเราต้องกระทำตามคำพูดของคนที่เรานับถือ โดยไม่พิจารณา ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อตัวเอง และประเทศชาติ บ้านเมืองได้..
รวมทั้งในข้อสุดท้าย
อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่าผู้กล่าวสอนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา
เพราะหากเราหลับหูหลับตาเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสอนแล้วนั้น ย่อมทำให้เราไม่สามารถที่จะคิดเองได้ อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ไม่ว่าเราจะถูกสอนยังไงก็ตาม ย่อมต้องพิจารณาด้วยปัญญาของเราเองก่อนเสมอ ก่อนที่จะปฏิบัติและเชื่อถือในคำสอนนั้น ๆ
อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่าผู้พูดหรือผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่พอเชื่อถือได้
เพราะหากเราต้องกระทำตามคำพูดของคนที่เรานับถือ โดยไม่พิจารณา ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อตัวเอง และประเทศชาติ บ้านเมืองได้..
รวมทั้งในข้อสุดท้าย
อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่าผู้กล่าวสอนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา
เพราะหากเราหลับหูหลับตาเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสอนแล้วนั้น ย่อมทำให้เราไม่สามารถที่จะคิดเองได้ อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ไม่ว่าเราจะถูกสอนยังไงก็ตาม ย่อมต้องพิจารณาด้วยปัญญาของเราเองก่อนเสมอ ก่อนที่จะปฏิบัติและเชื่อถือในคำสอนนั้น ๆ
เมื่อพิจาณาจากกาลามะสูตรทั้ง 10 ข้อนี้
จะเห็นความเชื่อมโยงเดียวกัน ที่พระพุทธเจ้า พยายามจะสอนผู้คนทั้งหลาย นั่นก็คือ
อย่าได้เชื่อถือในสิ่งต่าง ๆ ก่อนที่จะพิจารณากันอย่างถ้วนถี่ ว่าเป็นจริง ตามหลักการและเหตุผลจากหลาย ๆ ด้าน ประกอบกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
รวมทั้งต้องคิดและพิจารษา โดยปราศจากอคติ ซึ่งเป็นเหมือนสิ่งที่บังตา บังใจเราอยู่เสมอ เวลาที่เราต้องคิดต้องพิจารณาสิ่งใด ๆ ก็ตาม
จะเห็นความเชื่อมโยงเดียวกัน ที่พระพุทธเจ้า พยายามจะสอนผู้คนทั้งหลาย นั่นก็คือ
อย่าได้เชื่อถือในสิ่งต่าง ๆ ก่อนที่จะพิจารณากันอย่างถ้วนถี่ ว่าเป็นจริง ตามหลักการและเหตุผลจากหลาย ๆ ด้าน ประกอบกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
รวมทั้งต้องคิดและพิจารษา โดยปราศจากอคติ ซึ่งเป็นเหมือนสิ่งที่บังตา บังใจเราอยู่เสมอ เวลาที่เราต้องคิดต้องพิจารณาสิ่งใด ๆ ก็ตาม
อยากขอให้ทุก ๆ ท่านพยายามใช้หลักความคิดในกาลามะสูตรนี้เป็นหลักในการคิดพิจารณา ในการดำเนินชีวิต หากรวมกับเรื่องศีลธรรม จรรยา
เข้าไปด้วย โลกนี้คงมีความสุข ปราศจากความแตกแยก อันเกิดจากความไม่รู้ และถูกชักจูงได้ง่าย ๆ โดยผู้เสียประโยชฯื และผู้ต้องการรักษาอำนาจ
เราควรตั้งตนให้อยู่ในความจริง เปิดตา เปิดใจรับฟัง ทุก ๆ ด้าน เพื่อความถูกต้องชัดเจนอย่างที่สุด แล้วจึงสรุปว่า เราควรจะเป็นอะไร เป็นใคร เพื่ออะไร เพื่อใคร
เข้าไปด้วย โลกนี้คงมีความสุข ปราศจากความแตกแยก อันเกิดจากความไม่รู้ และถูกชักจูงได้ง่าย ๆ โดยผู้เสียประโยชฯื และผู้ต้องการรักษาอำนาจ
เราควรตั้งตนให้อยู่ในความจริง เปิดตา เปิดใจรับฟัง ทุก ๆ ด้าน เพื่อความถูกต้องชัดเจนอย่างที่สุด แล้วจึงสรุปว่า เราควรจะเป็นอะไร เป็นใคร เพื่ออะไร เพื่อใคร
อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ มีสติ พิจารณา จากเหตุผลและความเป็นจริง หลาย ๆ ด้าน โดยไร้อคติ คุณจะพบความจริงที่จริงแท้ครับ
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553
Dante's Inferno
เขียนโดย
Unknown
ที่
08:51
เชื่อเรื่องนรกกันไหมครับ
ในบ้านเราก็มีความเชื่อในเรื่องของนรกและบาปบุญคุณโทษอย่างหนึ่ง
ที่อื่น ๆ ก็มีความเชื่อในเรื่องนี้อีกอย่างหนึ่ง
แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ นรก เป็นสถานที่สำหรับคนที่ทำชั่ว ทำเลว โดยแยกออกเป็นขุมต่าง ๆ แยกกันตามความชั่วที่ได้กระทำ
เกริ่นไปเล็กน้อย เพื่อเข้าสู่เรื่องที่ติดเอาไว้เรื่องหนึ่ง นั่นคือ เมื่อสองเดือนก่อน ได้เล่นเกม เกมหนึ่ง ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับนรกและเป็นเกมที่สร้างจากงานของ Dante Alighieri นักกวีมีชื่อจากสมัยศตวรรษที่ 14 ที่เคยแต่งเรื่อง Divana Commedia หรือเป็นภาษาอังกฤษว่า The Divine Comedy ถูกเขียนขึ้นในระหว่างปี 1308 - 1321 ซี่งในบทประพันธ์จะกล่าวถึงตัว Dante ที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือน อาณาบริเวณทั้ง 3 ในโลกหลังความตายอันได้แก่ Inferno (นรก) Purgatorio (ดินแดนที่วิญญาณรอการพิพากษา) และ Pasadiso (สวรรค์)
โดยมีผู้นำทางคือ วอร์จิล (Virgil) ผู้พา Dante ไปยังนรกและดินแดนแห่งการพิพากษา และบีทริซ (Beatrice) หญิงผู้ไร้ตัวตน ผู้พา Dante ไปยังสวรรค์ เธอเป็นชาวเมืองฟลอเรนซ์ที่เขาพบเมื่อวัยเด็กและยกย่องเธอด้วยความรักที่สุภาพซึ่งเน้นในผลงานก่อนหน้านี้ที่เขาได้เขียนเอาไว้ ชื่อว่า La Vita Nuova
ทำให้รู้ว่านรก (Inferno)(Hell) ตามความเชื่อในสมัยนั้นคือ
Lust (ความใคร่โลกีย์) แน่ละนรกขุมนี้ย่อมเป็นสถานที่สำหรับผู้ประพฤติผิดในกาม ตามศีลข้อที่ 3 ในศาสนาพุทธของเรานะ คงไม่ต้องพูดอะไรมากทุกคนคงเข้าใจกันดี และ
หลายคนก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความใคร่ และมักมากในกามนี้อยู่โดยหลงคิดว่าเป็นความสุขที่สุด แต่ความสุขของคนเราไม่ใช่เพียงเรื่องนี้นะครับ แน่ละ ผมเคยผ่านช่วงที่มัวเมาอยู่ในเรื่องนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้ผมผ่านมาได้แล้ว และพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว หากจะเจอกันที่นรกขุมนี้ คงเจอผมแค่ช่วงเดียวแหละ หากพวกคุณ ๆ ยังคงมัวเมาอยู่
Gluttony (ความตะกละ) ความตะกละเป็นบาปด้วยหรือ? ถ้าถามผม ผมเห็นว่าความตะกละเป็นบาปครับ เนื่องจากยังมีผู้คนที่มีอาหารไม่เพียงพออยู่ในโลก การที่เรากินอย่างตะกละตะกราม หรือ
กินทิ้งกินขว้าง ก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้อื่นอย่างมาก และยังเป็นสิ่งที่จะเริ่มต้นไปสู่การทำความชั่วอื่น ๆ ที่มีเหตุเริ่มต้นจากความตะกละ ทั้งการเอาเปรียบผู้อื่น หรือการดื่มน้ำเมา
หากเราลดความตะกละของตนได้ก็จะเผื่อแผ่ไปสู่คนอื่นได้ครับ
Greed (ความโลภ) อันนี้แน่นอน ในพุทธศาสนาเราก็สอนให้ไม่โลภนะ เราคงเข้าใจกันดี เมื่อเกิดความโลภ ย่อมเกิดการแสวงหาเพื่อให้ได้มา หากไม่ควบคุมความโลภของเราให้ดี ๆ
อาจเป็นการแสวงหาเพื่อให้ได้มาโดยวิธีที่ผิด ๆ ได้นะครับ ความโลภนี่มีได้ แต่ต้องควบคุมให้ได้เช่นกัน
Wraith (ความโกรธ) เช่นกันกับความโลภ ในพุทธศาสนา ก็สอนเรื่องความโกรธ หากเราคิดง่าย ๆ หากเราโกรธ จิตใจก็ขุ่นมั่ว พลอยทำให้หน้าตาก็ไม่สดใส และ
อาจทำให้เราตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดได้ง่าย ๆ เพราะความโกรธทำให้เรามองไม่เห็นภาพมุมกว้าง เห็นเฉพาะจุดที่เราโกรธเท่านั้น แล้วเราจะแก้ปัญหาได้เหรอ
Heresy (ความเห็นนอกรีต) ข้อนี้เป็นตามสมัยนิยม ในสมัยนั้น ที่การเผยแพร่ศาสนาขยายตัวอย่างหนัก จึงเป็นเหตุในความเชื่อในข้อนี้ออกมาเพื่อป้องกันผู้นับถือต่างจากตน ข้อนี้คงไม่พูดถึงมากครับ
Violence (ความรุนแรง) เห็นด้วยเป็นอย่างมากเลยข้อนี้ หากเราใช้กำลังเพื่อตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง โลกนี้คงเต็มไปด้วยความรุนแรง และความวุ่นวาย พยายามใช้สมอง, เหตุผล และความเป็นจริง
สำหรับการตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตกันเถอะครับ
Fraud (การโกง) ข้อนี้... คงไม่ต้องพูดอะไรมาก ทุกคนรู้จักการโกงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโกงตรง ๆ หรือโกงเชิงนโยบาย แล้วปัจจุบันนี้ หลาย ๆ คนก็โกงเพราะไม่ได้คิดว่าเป็นสิ่งผิด น่ากลัวมากนะ
และผมก็ไม่ชอบการโกงมาก ๆ เลย
Treachery (การทรยศ) เป็นผลต่อเนื่องมาจากการไม่ไว้วางใจกัน และความโลภ โกรธ หลง อันทำให้คนเราทำลายความไว้ใจของผู้อื่น ๆ
เมื่อพิจารณาดูนรกของชาวตะวันตกเมื่อช่วงศตวรรษที่ 14 ก็เห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันกับของความเชื่อของบ้านเรา นั่นหมายความว่าความชั่ว มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน โดยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก
รัก โลภ โกรธ หลง หากเราควบคุมเรื่องราวพวกนี้ได้ เราคงไม่ต้องไปทนอยู่ในนรกกันละมั่ง
เมื่อมนุษย์สร้างเรื่องนรกมาเพื่อป้องกัน หรือสร้างความกลัวให้กับผู้ที่จะทำความชั่ว นั่นคือการควบคุมด้วยความกลัว เมื่อกลัวจึงไม่กระทำ ความชั่วหนึ่งย่อมส่งผลให้เกิดความชั่วอย่างต่อ ๆ ไปได้ตลอด
หากเรื่องนรก ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงเรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อคนเราเลิกกลัวซะแล้ว ความเลวคงมากขึ้นจนล้นโลกละมั้ง แต่ถ้ามนุษย์สอนกันด้วยความเข้าใจ ทำให้ไม่อยากทำเลวได้ด้วยตัวเอง โลกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีนรกมาคอยควบคุมการทำความเลวของคนเราอีกต่อไป โลกคงน่าอยู่ขึ้นอีกมหาศาล เพราะคนเรารู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง
อย่าทำดีเพราะอยากขึ้นสวรรค์ และอย่ารู้สึกว่าต้องไม่ทำชั่วเพราะกลัวตกนรก
อยู่อย่างรู้จักคิดและพิจารณา อย่าตกอยู่ในวังวนของ รัก โลภ โกรธ หลง จนหน้ามืดตามัวกันนะครับ
ในบ้านเราก็มีความเชื่อในเรื่องของนรกและบาปบุญคุณโทษอย่างหนึ่ง
ที่อื่น ๆ ก็มีความเชื่อในเรื่องนี้อีกอย่างหนึ่ง
แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ นรก เป็นสถานที่สำหรับคนที่ทำชั่ว ทำเลว โดยแยกออกเป็นขุมต่าง ๆ แยกกันตามความชั่วที่ได้กระทำ
เกริ่นไปเล็กน้อย เพื่อเข้าสู่เรื่องที่ติดเอาไว้เรื่องหนึ่ง นั่นคือ เมื่อสองเดือนก่อน ได้เล่นเกม เกมหนึ่ง ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับนรกและเป็นเกมที่สร้างจากงานของ Dante Alighieri นักกวีมีชื่อจากสมัยศตวรรษที่ 14 ที่เคยแต่งเรื่อง Divana Commedia หรือเป็นภาษาอังกฤษว่า The Divine Comedy ถูกเขียนขึ้นในระหว่างปี 1308 - 1321 ซี่งในบทประพันธ์จะกล่าวถึงตัว Dante ที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือน อาณาบริเวณทั้ง 3 ในโลกหลังความตายอันได้แก่ Inferno (นรก) Purgatorio (ดินแดนที่วิญญาณรอการพิพากษา) และ Pasadiso (สวรรค์)
โดยมีผู้นำทางคือ วอร์จิล (Virgil) ผู้พา Dante ไปยังนรกและดินแดนแห่งการพิพากษา และบีทริซ (Beatrice) หญิงผู้ไร้ตัวตน ผู้พา Dante ไปยังสวรรค์ เธอเป็นชาวเมืองฟลอเรนซ์ที่เขาพบเมื่อวัยเด็กและยกย่องเธอด้วยความรักที่สุภาพซึ่งเน้นในผลงานก่อนหน้านี้ที่เขาได้เขียนเอาไว้ ชื่อว่า La Vita Nuova
ทำให้รู้ว่านรก (Inferno)(Hell) ตามความเชื่อในสมัยนั้นคือ
Lust (ความใคร่โลกีย์) แน่ละนรกขุมนี้ย่อมเป็นสถานที่สำหรับผู้ประพฤติผิดในกาม ตามศีลข้อที่ 3 ในศาสนาพุทธของเรานะ คงไม่ต้องพูดอะไรมากทุกคนคงเข้าใจกันดี และ
หลายคนก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความใคร่ และมักมากในกามนี้อยู่โดยหลงคิดว่าเป็นความสุขที่สุด แต่ความสุขของคนเราไม่ใช่เพียงเรื่องนี้นะครับ แน่ละ ผมเคยผ่านช่วงที่มัวเมาอยู่ในเรื่องนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้ผมผ่านมาได้แล้ว และพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว หากจะเจอกันที่นรกขุมนี้ คงเจอผมแค่ช่วงเดียวแหละ หากพวกคุณ ๆ ยังคงมัวเมาอยู่
Gluttony (ความตะกละ) ความตะกละเป็นบาปด้วยหรือ? ถ้าถามผม ผมเห็นว่าความตะกละเป็นบาปครับ เนื่องจากยังมีผู้คนที่มีอาหารไม่เพียงพออยู่ในโลก การที่เรากินอย่างตะกละตะกราม หรือ
กินทิ้งกินขว้าง ก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้อื่นอย่างมาก และยังเป็นสิ่งที่จะเริ่มต้นไปสู่การทำความชั่วอื่น ๆ ที่มีเหตุเริ่มต้นจากความตะกละ ทั้งการเอาเปรียบผู้อื่น หรือการดื่มน้ำเมา
หากเราลดความตะกละของตนได้ก็จะเผื่อแผ่ไปสู่คนอื่นได้ครับ
Greed (ความโลภ) อันนี้แน่นอน ในพุทธศาสนาเราก็สอนให้ไม่โลภนะ เราคงเข้าใจกันดี เมื่อเกิดความโลภ ย่อมเกิดการแสวงหาเพื่อให้ได้มา หากไม่ควบคุมความโลภของเราให้ดี ๆ
อาจเป็นการแสวงหาเพื่อให้ได้มาโดยวิธีที่ผิด ๆ ได้นะครับ ความโลภนี่มีได้ แต่ต้องควบคุมให้ได้เช่นกัน
Wraith (ความโกรธ) เช่นกันกับความโลภ ในพุทธศาสนา ก็สอนเรื่องความโกรธ หากเราคิดง่าย ๆ หากเราโกรธ จิตใจก็ขุ่นมั่ว พลอยทำให้หน้าตาก็ไม่สดใส และ
อาจทำให้เราตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดได้ง่าย ๆ เพราะความโกรธทำให้เรามองไม่เห็นภาพมุมกว้าง เห็นเฉพาะจุดที่เราโกรธเท่านั้น แล้วเราจะแก้ปัญหาได้เหรอ
Heresy (ความเห็นนอกรีต) ข้อนี้เป็นตามสมัยนิยม ในสมัยนั้น ที่การเผยแพร่ศาสนาขยายตัวอย่างหนัก จึงเป็นเหตุในความเชื่อในข้อนี้ออกมาเพื่อป้องกันผู้นับถือต่างจากตน ข้อนี้คงไม่พูดถึงมากครับ
Violence (ความรุนแรง) เห็นด้วยเป็นอย่างมากเลยข้อนี้ หากเราใช้กำลังเพื่อตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง โลกนี้คงเต็มไปด้วยความรุนแรง และความวุ่นวาย พยายามใช้สมอง, เหตุผล และความเป็นจริง
สำหรับการตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตกันเถอะครับ
Fraud (การโกง) ข้อนี้... คงไม่ต้องพูดอะไรมาก ทุกคนรู้จักการโกงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโกงตรง ๆ หรือโกงเชิงนโยบาย แล้วปัจจุบันนี้ หลาย ๆ คนก็โกงเพราะไม่ได้คิดว่าเป็นสิ่งผิด น่ากลัวมากนะ
และผมก็ไม่ชอบการโกงมาก ๆ เลย
Treachery (การทรยศ) เป็นผลต่อเนื่องมาจากการไม่ไว้วางใจกัน และความโลภ โกรธ หลง อันทำให้คนเราทำลายความไว้ใจของผู้อื่น ๆ
เมื่อพิจารณาดูนรกของชาวตะวันตกเมื่อช่วงศตวรรษที่ 14 ก็เห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันกับของความเชื่อของบ้านเรา นั่นหมายความว่าความชั่ว มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน โดยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก
รัก โลภ โกรธ หลง หากเราควบคุมเรื่องราวพวกนี้ได้ เราคงไม่ต้องไปทนอยู่ในนรกกันละมั่ง
เมื่อมนุษย์สร้างเรื่องนรกมาเพื่อป้องกัน หรือสร้างความกลัวให้กับผู้ที่จะทำความชั่ว นั่นคือการควบคุมด้วยความกลัว เมื่อกลัวจึงไม่กระทำ ความชั่วหนึ่งย่อมส่งผลให้เกิดความชั่วอย่างต่อ ๆ ไปได้ตลอด
หากเรื่องนรก ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงเรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อคนเราเลิกกลัวซะแล้ว ความเลวคงมากขึ้นจนล้นโลกละมั้ง แต่ถ้ามนุษย์สอนกันด้วยความเข้าใจ ทำให้ไม่อยากทำเลวได้ด้วยตัวเอง โลกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีนรกมาคอยควบคุมการทำความเลวของคนเราอีกต่อไป โลกคงน่าอยู่ขึ้นอีกมหาศาล เพราะคนเรารู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง
อย่าทำดีเพราะอยากขึ้นสวรรค์ และอย่ารู้สึกว่าต้องไม่ทำชั่วเพราะกลัวตกนรก
อยู่อย่างรู้จักคิดและพิจารณา อย่าตกอยู่ในวังวนของ รัก โลภ โกรธ หลง จนหน้ามืดตามัวกันนะครับ
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า (5)
เขียนโดย
Unknown
ที่
15:19
ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย อันเป็นเรื่องที่มีทั้งอยู่ใกล้ตัวและไกลตัว
และเป็นการยืนยันความจริงที่สุดที่คงอยู่ ของคำสอนที่มาจากพระพุทธเจ้า
ทั้งการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไม่มีใครหนีรอดจากทั้ง 4 เรื่องนี้ไปได้หรอกครับ
เพียงแต่เราจะมีการกำหนด และเตรียมตัว เตรียมใจ ทำความเข้าใจ เพื่อจะรับได้เมื่อถึงเวาลาที่ต้องเกิดหรือไม่..
ว่าแล้วก็เอาเรื่องต่าง ๆ ไว้ก่อน เก็บไว้เล่าให้ฟังวันหลัง.. เอ เหมือนว่าผมจะติดเอาไว้หลายเรื่องนะครับ ยังไง ก็จะทยอย ๆ มาเล่าให้ฟังละกัน
วันนี้มาคุยกันในเรื่องของความอย่าเชื่อกันต่อในข้อที่ 5
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคาดเดาของตนเอง
ข้อนี้เป็นสิ่งชี้ที่สำคัญเกี่ยวกับคนเราเลยทีเดียว คนเราจำนวนมากที่เมื่อรู้อะไรสักเล็กน้อย และบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน ในความรู้นั้น ๆ ก็เดาเอา แล้วมาประกอบกับความรู้เล็กน้อยที่ตนรู้มาก่อน
และเชื่ออย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้อง โดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์หรือหาหลักฐานมายืนยัน ความคิดของตน ผมว่าอย่างนี้เป็นการเดา เท่านั้นเอง
และเมื่อเดาแล้วก็เชื่อมั่นอย่างจิรงจัง ว่าเป็นจริง ถูกต้องจริง และยึดมั่นในความคิดส่วนนี้ แล้วที่ร้ายกว่านั้นคือบางคนมีโอกาสเอาไปเผยแพร่กับผู้อื่นอีกด้วย
ทำไมคนเราจึงชอบที่จะเดาเรื่องต่าง ๆ กันนัก
เพราะความไม่รู้ หรือเพราะรู้ไม่พอ
เพราะไม่ได้เรียนรู้ หรือไม่ยอมเรียนรู้
เพราะไม่รู้ตัวตน หรือไม่ยอมรับว่าตนไม่รู้
ผมไม่สามารถจะหาเหตุผลที่ดีมาตอบความไม่เชื่อในเรื่องนี้ได้ เพราะตัวผมเองก็ยังเป็นคนที่ยังใช้การเดาอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่เผยแพร่ออกไปเท่านั้น
ผมคิดว่าเมื่อยังเป็นผู้ไม่รู้ ย่อมคู่อยู่กับการคาดเดา
ดังนั้น อย่าเอาความคิดเห็นส่วนตัวที่เกิดจากการเดา และอาจจะไม่เป็นจริงเช่นนี้ มานำการใช้ชีวิตครับ
และผมกำลังพยายามอยู่
และเป็นการยืนยันความจริงที่สุดที่คงอยู่ ของคำสอนที่มาจากพระพุทธเจ้า
ทั้งการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไม่มีใครหนีรอดจากทั้ง 4 เรื่องนี้ไปได้หรอกครับ
เพียงแต่เราจะมีการกำหนด และเตรียมตัว เตรียมใจ ทำความเข้าใจ เพื่อจะรับได้เมื่อถึงเวาลาที่ต้องเกิดหรือไม่..
ว่าแล้วก็เอาเรื่องต่าง ๆ ไว้ก่อน เก็บไว้เล่าให้ฟังวันหลัง.. เอ เหมือนว่าผมจะติดเอาไว้หลายเรื่องนะครับ ยังไง ก็จะทยอย ๆ มาเล่าให้ฟังละกัน
วันนี้มาคุยกันในเรื่องของความอย่าเชื่อกันต่อในข้อที่ 5
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคาดเดาของตนเอง
ข้อนี้เป็นสิ่งชี้ที่สำคัญเกี่ยวกับคนเราเลยทีเดียว คนเราจำนวนมากที่เมื่อรู้อะไรสักเล็กน้อย และบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน ในความรู้นั้น ๆ ก็เดาเอา แล้วมาประกอบกับความรู้เล็กน้อยที่ตนรู้มาก่อน
และเชื่ออย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้อง โดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์หรือหาหลักฐานมายืนยัน ความคิดของตน ผมว่าอย่างนี้เป็นการเดา เท่านั้นเอง
และเมื่อเดาแล้วก็เชื่อมั่นอย่างจิรงจัง ว่าเป็นจริง ถูกต้องจริง และยึดมั่นในความคิดส่วนนี้ แล้วที่ร้ายกว่านั้นคือบางคนมีโอกาสเอาไปเผยแพร่กับผู้อื่นอีกด้วย
ทำไมคนเราจึงชอบที่จะเดาเรื่องต่าง ๆ กันนัก
เพราะความไม่รู้ หรือเพราะรู้ไม่พอ
เพราะไม่ได้เรียนรู้ หรือไม่ยอมเรียนรู้
เพราะไม่รู้ตัวตน หรือไม่ยอมรับว่าตนไม่รู้
ผมไม่สามารถจะหาเหตุผลที่ดีมาตอบความไม่เชื่อในเรื่องนี้ได้ เพราะตัวผมเองก็ยังเป็นคนที่ยังใช้การเดาอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่เผยแพร่ออกไปเท่านั้น
ผมคิดว่าเมื่อยังเป็นผู้ไม่รู้ ย่อมคู่อยู่กับการคาดเดา
ดังนั้น อย่าเอาความคิดเห็นส่วนตัวที่เกิดจากการเดา และอาจจะไม่เป็นจริงเช่นนี้ มานำการใช้ชีวิตครับ
และผมกำลังพยายามอยู่
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า (4)
เขียนโดย
Unknown
ที่
08:15
รูปน้องอิ๊กคิวส่งมาให้โดย MMS
การกำเนิดใหม่ (อุบัติ) ย่อมส่งผลดีแก่โลกนี้ การเกิดของลูกสาวของเขา คงจะสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้กับชีวิตเขาได้อีกมาก
การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในการดำเนินชีวิตกำลังรอเขาอยู่แล้ว ก็ขอแสดงความยินดี และเป็นกำลังใจให้ พยายามเข้านะไอ้น้อง
คราวนี้ก็กลับมาว่ากันต่อในเรื่องของ การอย่าเชื่อถือ ข้อที่ 4
"อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันมีอ้างไว้ในตำรา"
เคยได้ยินดำพูดประชดประชันที่ว่า
"จบปริญญาตรีเชื่อตำรา จบปริญญาโทเชื่อตัวเอง จบปริญญาเอกเชื่อหมอดู" ไหมครับ ผมคิดว่าเป็นคำพูดที่เป็นจริงทีเดียวนะ
เมื่อคนเราเรียนจบปริญญาตรี ก็มักจะเป็นเพราะมีการสอน และอ่านเยอะ และการที่จะเรียนจบก็คงต้องพยายามอ่านอย่างมาก จนไม่มีเวลาวิเคราะห์ว่าจริงแค่ไหน?
ส่วนปริญญาโทก็ต้องอาศัยความคิดวิเคราะห์ของตนเองเป็นหลัก เลยมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง จนลืมดูว่ารอบตัวนั้นมีคนเก่งกว่าตัวเองอยู่มากมาย ทั้งที่คนพวกนั้นไม่จบปริญญาด้วยซ้ำ
และปริญญาเอกนั้น... ข้อนี้ลองไปคิดกันเอาเองครับ แล้วส่งความเห็นมาจะเอามาแทรกในหัวข้อนี้ให้ โดยส่วนตัวเท่าที่สัมผัส หรือรู้จักมา ปริญญาเอกทั้งหลายก็เป็นจริง ๆ แล้วยังงมงายหนักซะด้วย
เมื่อก่อนนี้ ผมมีคติในเรื่องการเรียนอยู่ว่า
"ปริญญาตรีกันหมากัดได้ ปริญญาโทตีหมาได้ ปริญญญาเอกสั่งหมาได้"
เนื่องจากเมื่อจบปริญญาตรี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นก็กั้นไม่ให้คนอื่น ๆ ค่อยแหนบแนมเรา ในเรื่องการศึกษาได้ หากจบปริญญาโทก็ทำให้เรามีความสามารถจัดการกับผู้คนรอบข้าง
ที่ต่ำกว่าได้ และถ้าจบปริญญาเอก ก็สามารถสั่งการได้เช่นกัน
แต่ด้วยความคิดในปัจจุบัน คติเรื่องการเรียนของผมเปลี่ยนไปแล้ว
ปริญญาตรีที่เอาไว้กันหมา มันก็กันได้หลายตัว หลายพันธุ์อยู่
ปริญญาโทที่เอาไว้ตีหมา ก็เพียงตีได้เพียงหมายสองสามตัว และไม่กี่พันธุ์เท่านั้น
ปริญญาเอกที่เอาไว้สั่งหมา ก็เพียงตัวเดียว พันธุ์เดียว
ยิ่งเรียนสูงจิตใจยิ่งคับแคบลง ความเห็นใจต่อผู้อื่นยิ่งต่ำลง แม้ไม่ใช่ทุกคน แต่ที่ผมได้สัมผัส ส่วนใหญ่เป็นครับ
แต่ผมก็ยังอยากเรียนจนจบปริญญาเอกนะ เพราะผมมั่นใจว่าผมยังคงเป็นผมได้ แม้จะมีความรู้มากขึ้น หรือระดับการศึกษาสูงขึ้นก็ตาม
เมื่ออ่านหนังสือ หลาย ๆ เล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร อย่าเพิ่งเชื่อในตัวหนังสือนั้นทั้งหมดครับ เราควรพิจารณาว่าเนื้อหาเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
เราสามารถอ่านหนังสือแล้วพิจารณา วิเคราะห์ เพื่อเลือกที่จะเชื่อและไม่เชื่อในบางสิ่งได้ครับ อย่างคนที่อ่านในสิ่งที่ผมเขียน ไม่ว่าจะในบล็อกนี้ หรือหนังสือเล่มอื่น ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อ
และผมก็แนะนำว่าไม่ให้เชื่อ แต่ให้วิเคราะห์และพิจารณากันเอาเองด้วยเหตุด้วยผลว่าถูกต้อง เป็นจริงหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อครับ
ไม่มีหนังสือเล่มไหนในโลกนี้ที่มีสาระ โดยที่คุณยังไม่ได้อ่าน
ไม่มีหนังสือเล่มไหนในโลกนี้ที่มีประโยชน์ โดยที่คุณอ่านแล้วยังไม่เข้าใจครับ
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า (3)
เขียนโดย
Unknown
ที่
15:36
เพิ่งกลับมาจากการเที่ยวกับทางบริษัทฯ เพียงสำหรับผมนั้นเป็นเพียงการผ่านเท่านั้นเอง ไม่ได้นับว่าไปเที่ยวแต่อย่างใด
ความหมายของการไปเที่ยวสำหรับผมนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเดินทางไป ระหว่างทางมีอะไรบ้าง เมื่อไปถึงที่ ๆ ต้องการแล้ว สถานที่นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีความน่าสนใจอยู่ตรงไหนบ้าง สถานที่หรือสิ่งที่อยู่คู่กับสถานที่นั้น ๆ มายาวนาน การได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่เที่ยวนั้น ๆ ให้มากที่สุด โดยไม่ให้เกิดความเสียหาย การมองดู รู้เห็นว่าสังคมแถวนั้นเป็นอย่างไร อาหารเป็นอย่างไร และเมื่อกลับบ้านมีความประทับใจอย่างไรบ้าง การไปเที่ยวครั้งนี้สำหรับผมจึงเป็นเพียงการเดินผ่านและแวะนอนเท่านั้นเอง...
ความหมายของการไปเที่ยวสำหรับผมนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเดินทางไป ระหว่างทางมีอะไรบ้าง เมื่อไปถึงที่ ๆ ต้องการแล้ว สถานที่นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีความน่าสนใจอยู่ตรงไหนบ้าง สถานที่หรือสิ่งที่อยู่คู่กับสถานที่นั้น ๆ มายาวนาน การได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่เที่ยวนั้น ๆ ให้มากที่สุด โดยไม่ให้เกิดความเสียหาย การมองดู รู้เห็นว่าสังคมแถวนั้นเป็นอย่างไร อาหารเป็นอย่างไร และเมื่อกลับบ้านมีความประทับใจอย่างไรบ้าง การไปเที่ยวครั้งนี้สำหรับผมจึงเป็นเพียงการเดินผ่านและแวะนอนเท่านั้นเอง...
คนเรามีพื้นฐานและความสนใจไม่เหมือนกันย่อมรู้สึกแตกแยกออกจากกันเป็นธรรมดา
วันนี้เรามาต่อกันเรื่องของการอย่าได้เชื่อถือ ให้หัวข้อที่ 3 นะครับ
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง
ข้อนี้ก็ง่าย ๆ สั้น ๆ เวลาที่ได้ยินเรื่องใด ๆ ก็แล้วแต่ ที่คนเขาพูดกันและบอกว่าจริง อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องมีการพิจารณาและพิสูจน์ เพื่อให้เห็นความจริงแท้ก่อน เพียงแต่ข้อนี้เป็นเรื่องที่เราจะพบได้มากมายในสังคมปัจจุบัน เนื่องจากสังคมออนไลน์ที่แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทุกคนที่มีอีเมลล์ คงต้องได้รับจดหมาย ที่มีลักษณะของการบอกเล่าความรู้ ซึ่งอาจจะยังไม่มีการพิสูจน์ว่าจริง พออ่านเสร็จก็รีบส่งต่อไปให้กับคนอื่น ๆ ต่อไปอีก ทำให้แพร่กระจายออกไปเรื่อย ๆ โดยเชื่อว่าจริง และหลาย ๆ คนปฏิบัติตาม ลองถามตัวเองดูว่าทำไมเราต้องเชื่อในทุกสิ่งที่คนเขาเล่าต่อกันมาหรือ ทำไมไม่เริ่มจากเชื่อในตัวเองก่อน
ผมคิดว่าเหตุผลที่คนเราเชื่อเสียงเล่าลือจากคนอื่นง่าย ๆ นั้น เพราะพื้นฐานของมนุษย์นั้นมีจิตใจดีและไม่คิดจะหลอกลวงใครอยู่แล้ว ทำให้ตกเป็นทาสของความคิดผู้อื่นได้ง่าย ๆ
และเชื่อในเรื่องต่าง ๆ ง่ายเกินไป ประกอบกับไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ค้ำยันในจิตใจตัวเอง จึงคิดว่าเสียงจากผู้อื่นถูกต้อง และสำคัญเสมอ ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นว่าใกล้เคียงกับสภาพจิตใจของคนเหล่านี้ก็คือ ลูกปูที่อยู่ในคลอง พอน้ำไหล พบกอสวะ ก็ว่ากอสวะดี อาศัยอยู่ได้ พบลูกมะพร้าวแห้งลอยอยู่ ก็ว่าลูกมะพร้าวดี พบขอนไม้ลอยอยู่ ก็ว่าขอนไม้ดี แต่ตัวลูกปูนี้ยังไม่เคยได้ไปถึงตลิ่ง จึงไม่รู้ว่า ยังมีสิ่งที่มั่นคงกว่าอีกมากมายนัก เหมือนกับคนเรา เมื่อเจอข้อมูลหรือข้อความที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาแล้วว่าจริงก็เชื่อ เพราะตัวยังไม่มีความจริงแท้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวอยู่ในจิตใจ
ลองพิจารณาดูดี ๆ นะครับ ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มีการเล่าต่อ ๆ กันมา ไม่ว่าจะทางคำพูด หนังสือ หรือ ข้อความในอีเมลล์ ล้วนมีทั้งสิ่งที่จริงและไม่จริง
พิจารณาหาความจริงในข้อมูลเหล่านั้น มันก็ยังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับตัวเราเองได้เหมือนกัน
ในเมื่อโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดถูกที่สุด สิ่งใดผิดที่สุด ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเองว่าจะพิจารณาอย่างไร
ส่วนตัวผมก็ยังเป็นลูกปูที่ลอยไปเกาะกอสวะบ้าง เกาะลูกมะพร้าวบ้าง เกาะขอนไม้บ้าง
แต่ส่วนมากแล้วจะเกาะอยู่ที่ตลิ่งอยากเห็นลูกปูตัวอื่น ๆ มาเกาะให้มาก ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะไม่เกาะอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ ..
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า (2)
เขียนโดย
Unknown
ที่
13:19
เมื่อวานเพิ่งรู้เรื่องของการคดโกง และฉ้อฉล จากคนที่นับถือกันมา ทำให้รู้สึกแปลก ๆ
อย่างนึงคือความรู้สึกศรัทธาในตัวเพื่อนมนุษย์ของผม ซึ่งธรรมดาก็น้อยอยู่แล้ว มันก็ลดลงไปอีก
เอาไว้จะมาเขียนบอกเล่าให้ฟัง ไว้เตือนสติกันในวันหน้านะครับ
วันนี้ก็มาต่อกัน เรื่อง การอย่าเชื่อ ในข้อต่อมาละกัน
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตาม ๆ กันมา
ข้อนี้ก็คงต้องดูเรื่องประเพณีละมั้ง หรือมีใครคิดอย่างอื่นบ้าง
เวลาเดินทางหลายครั้งที่เห็นคนอื่น ๆ ยกมือไหว้ข้างทาง ทำให้ผมสงสัยว่าไหว้อะไร ถ้าไม่รู้ว่าไหว้อะไร ผมก็ไม่เคยไหว้ตาม ๆ เขาซะทีนะ ลองคิดดูซิ เพราะเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แกะ ที่เวลาตัวอื่น ๆ หันซ้าย ก็หันซ้ายกันทั้งหมด หรือหันขวา ก็ขวากันทั้งหมด
ทำให้เกิดคำว่า "แกะดำ" ที่หมายถึงความแตกต่างไปจากพวก ผมก็อาจเป็นแกะดำตัวหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนตัดสิน
ถ้าหากเราทำตาม ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่สนใจที่จะสอบถามถึงเหตุผล และสาเหตุของการกระทำนั้น ๆ เราคงไม่ต่างกับแกะ ที่ไม่ยอมพิจารณาถึงเหตุผลในการกระทำได้นะ
ทำให้เกิดคำว่า "แกะดำ" ที่หมายถึงความแตกต่างไปจากพวก ผมก็อาจเป็นแกะดำตัวหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนตัดสิน
ถ้าหากเราทำตาม ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่สนใจที่จะสอบถามถึงเหตุผล และสาเหตุของการกระทำนั้น ๆ เราคงไม่ต่างกับแกะ ที่ไม่ยอมพิจารณาถึงเหตุผลในการกระทำได้นะ
ประเพณีบางอย่างคนเราก็ทำตาม ๆ กันไปอย่างนั้น โดยไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่แท้จริง
อย่างที่เคยเขียนไว้แล้วว่าสมัยโบราณ การสั่งสอนต้องอาศัยกุศโลบายเพื่อให้คนกระทำความดี
ประเพณีต่าง ๆ ก็เช่นกัน ทุกประเพณีมีเหตุผลและเป้าหมายในตัวเอง และเป็นเป้าหมายที่มุ่งสู่ความดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะส่งเสริมความสามัคคี, ความกตัญญู, ความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือการให้ความเคารพแก่ธรรมชาติ
ประเพณีต่าง ๆ ก็เช่นกัน ทุกประเพณีมีเหตุผลและเป้าหมายในตัวเอง และเป็นเป้าหมายที่มุ่งสู่ความดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะส่งเสริมความสามัคคี, ความกตัญญู, ความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือการให้ความเคารพแก่ธรรมชาติ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เขาทำต่อ ๆ กันมา เราก็ต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงก่อนเชื่อและทำตามนะ
ประเพณีที่ดีต้องทำด้วยความเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงครับครับ ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว ไม่ใช่สร้างประเพณีขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยว
อย่างการตีกันระหว่างช่างกล เพียงรุ่นพี่บอกว่าต้องเกลียดกันเท่านั้นหรือ?
การรุมโทรมผู้หญิง เพียงเพื่อน ๆ ชวนและบอกกันว่าสนุกเท่านั้น?
การขโมย การโกงกิน เพียงมีผู้มาบอกว่าทำแล้วได้เงินดีเท่านั้น?
ตัวอย่างแย่ ๆ มีมากมายในสังคมครับ
ตัวอย่างดี ๆ ก็หลากหลายเช่นกัน
ผมไม่ยอมเป็นแกะหรอกไม่ว่าจะเป็นแกะขาวหรือแกะดำ เพราะผมเป็นมนุษย์ และคิดเป็น
มนุษย์ไม่ได้สูงส่งกว่าแกะหรือสัตว์ตัวอื่น ๆ
คุณคุณ...อยากเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนกันละครับ
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า (1)
เขียนโดย
Unknown
ที่
13:08
ช่วงนี้งานเยอะมาก จากที่ได้ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะตั้งใจทำงาน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาทันที
ทั้งนี้เพราะไม่ยอมปล่อยให้งานใด ๆ ผ่านมือไปโดยไม่พิจารณาเลย ทำให้รู้สึกว่าทำงานอย่างเต็มที่เหมือนเมื่อก่อน
ไม่ใช่เพราะอยากได้ตำแหน่งหรือลาภยศสรรเสริญ เพียงพยายามทำอาชีพ ให้เป็นสัมมาอาชีพ ที่ประกอบไปด้วยความขยันหมั่นเพียร และความซื่อสัตย์สุจริตอย่างแท้จริง
แต่ยังมีเวลาและโอกาสที่จะให้กับสังคมบ้าง และแน่นอนครอบครัวยังมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ..
ทั้งนี้เพราะไม่ยอมปล่อยให้งานใด ๆ ผ่านมือไปโดยไม่พิจารณาเลย ทำให้รู้สึกว่าทำงานอย่างเต็มที่เหมือนเมื่อก่อน
ไม่ใช่เพราะอยากได้ตำแหน่งหรือลาภยศสรรเสริญ เพียงพยายามทำอาชีพ ให้เป็นสัมมาอาชีพ ที่ประกอบไปด้วยความขยันหมั่นเพียร และความซื่อสัตย์สุจริตอย่างแท้จริง
แต่ยังมีเวลาและโอกาสที่จะให้กับสังคมบ้าง และแน่นอนครอบครัวยังมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ..
ช่วงนี้มีหลายคนหันไปอ่านและเชื่อถือเกี่ยวกับฤกษ์ยาม เวลาดี นาทีทอง กันมาก และมาปรึกษาที่ผมด้วย ทั้งที่ผมไม่ใช่คนที่เชื่อถือเรื่องพวกนี้เลย
เมื่อเรานับถือศาสนาพุทธ เราควรเข้าใจพุทธศาสนา และคำสอนของพราะพุทธเจ้าก่อนว่ามุ่งหมายไปที่สิ่งใด
สิ่งใดควรเชื่อและสิ่งใดไม่ควรเชื่อ
เมื่อเรานับถือศาสนาพุทธ เราควรเข้าใจพุทธศาสนา และคำสอนของพราะพุทธเจ้าก่อนว่ามุ่งหมายไปที่สิ่งใด
สิ่งใดควรเชื่อและสิ่งใดไม่ควรเชื่อ
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บอกต่อ ๆ กันมา
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตาม ๆ กันมา
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตาม ๆ กันมา
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันมีอ้างไว้ในตำรา
อย่าได้เชื่อถือ โดยการเดาของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคาดคะเนของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคิดตามเหตุผลส่วนตัวของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเข้ากันได้กับความเชื่อของตน หรือมีอยู่ประจำใจ
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า ผู้พูดหรือผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่พอจะเชื่อถือได้
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า ท่านผู้กล่าวสอนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา
อย่าได้เชื่อถือ โดยการเดาของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคาดคะเนของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคิดตามเหตุผลส่วนตัวของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเข้ากันได้กับความเชื่อของตน หรือมีอยู่ประจำใจ
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า ผู้พูดหรือผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่พอจะเชื่อถือได้
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า ท่านผู้กล่าวสอนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา
คำพูดพวกนี้เป็นคำสอนที่มาจากพระพุทธเจ้า และนำมาสั่งสอนโดยท่านพุทธทาสภิกขุ
ความหมายของคำสอนชุดนี้เป็นอย่างไร ผมอยากจะลองมาพิจารณา และแลกเปลี่ยนกับทุกท่านที่ติดตามอ่านข้อเขียนของผมกันนะครับ
ความหมายของคำสอนชุดนี้เป็นอย่างไร ผมอยากจะลองมาพิจารณา และแลกเปลี่ยนกับทุกท่านที่ติดตามอ่านข้อเขียนของผมกันนะครับ
ข้อแรก อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บอกต่อ ๆ กันมา
ความหมายของข้อนี้เราคงรู้กันดี ไม่ใช่ห้ามไม่ให้เชื่อ แต่ให้พิจารณาถึงเหตุและผลของความเชื่อนั้น ๆ ก่อนเสมอ
อย่างล่าสุด ที่มีข่าวว่า มีเบอร์โทรศัพท์มรณะ ที่พอเรียกเข้ามาที่เครื่อง จะแสดงผลหน้าจอเป็นตัวหนังสือสีแดง และผู้ที่รับโทรศัพท์นั้นจะตาย
แค่ได้ฟังก็ไม่ต้องพิจารณาต่อแล้วว่าจริงหรือไม่จริง ผมได้ยินเรื่องนี้จากคนที่เชื่อ ทั้งที่ทำงานอยู่กับระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ น่าแปลกที่ความรู้เกี่ยวกับงานไม่สามารถช่วยให้เขาเข้าใจได้ว่าเป็นความเชื่อที่ไม่สามารถเชื่อถือได้
หากเราพิจารณาถึงหลักการและเหตุผลในทุก ๆ ความเชื่อ ด้วยสติปัญญา และความรู้ของเรา รวมไปทั้งความรู้ที่สามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายในปัจจุบัน
เราอาจจะแยกความเชื่อที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาได้ว่าสิ่งใดควรเชื่อ และสิ่งใดไม่ควรเชื่อ โดยเราคงต้องคำนึงถึงสถานการณ์ในอดีตที่คนเรายังไม่มีความรู้มากมายอย่างปัจจุบันนี้ด้วย
เพราะในสมัยก่อนการจะสอนหรือบังคับให้คนรู้หรือทำอะไรให้ถูกต้อง ไม่สามารถอธิบายด้วยความจริงได้ เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์สาเหตุ แต่สามารถหาวิธีป้องกันได้บ้าง เพราะวิทยาศาสตร์ในสมัยก่อนยังไม่เจริญเหมือนในสมัยนี้
จึงต้องใช้วิธีการอุปมา เพื่อให้เข้าใจง่าย และทำตามง่าย ดังนั้นเมื่อเราพิจารณาในความเชื่อเดิมใด ๆ ก็ต้องคำนึงถึง จุดประสงค์ของความเชื่อนั้น ๆ ด้วยเสมอ
เพราะปัจจุบันถึงจะมีอะไรต่อมิอะไรทันสมัยเกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่สวนทางกันคือจิตใจของมนุษย์ ที่ตกต่ำลงตลอดเวลา
ดังนั้นสิ่งที่บอกต่อๆ กันมานั้น มีทั้งสิ่งที่เป็นจริง และสิ่งที่ไม่เป็นจริง มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเรา ที่จะเลือกเพื่อบอกเล่าต่อไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไปหรือไม่
ศาสนามีความมุ่งหวังที่จะทำให้จิตใจมนุษย์สูงขึ้น แต่มันยากเหลือเกินหากคนเรายังมุ่งไปสู่ความสุขทางกายอย่างหาที่สุดไม่ได้
คุณจะเชื่ออย่างที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาอย่างงมงาย หรือเลือกจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว อยู่ที่คุณตัดสินครับ
อนาคตของคนรุ่นต่อไปก็เช่นกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)