เพราะประสบการณ์เป็นสิ่งที่ซื้อหามาไม่ได้ และประสบการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเรียนรู้ที่จะนำเอาไปปรับใช้กับชีวิตในอนาคต เรื่องราวหลากหลายในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ย่อมสั่งสอนสิ่งต่าง ๆ หลายหลาก เพื่อให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างเหมาะสมและมีความสุขมากขึ้น หลายอย่างที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจ สอนเราว่า หากเราทำดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังมีผลเช่นนั้น ก็ไม่ควรทุกข์อยู่กับมันมากเกินไป
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบมาให้ ขอบคุณทุก ๆ คนที่อยู่เคียงข้างกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปชมพิธีกรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ เป็นพิธีกรรมที่นำเอาพุทธและผีมาหลอมรวมกันไว้ได้อย่างลงตัว
เป็นพิธีลักษณะที่เป็นการตัดการเชื่อมต่อกันระหว่างผู้ที่ยังอยู่และผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้ว
โดยความตั้งใจเริ่มแรกที่จะไปร่วมพิธีกรรมนี้ พร้อมกับการถ่ายรูปเพื่อนำกลับมาเขียนเป็นสารคดีสั้น ๆ ส่งนิตยสาร
กลับกลายเป็นการต้องการร่วมพิธีเพื่อมองดูให้ลึกซึ้งเพียงอย่างเดียว
พิธีกรรมทั้งหลายบนโลกใบนี้ล้วนมีกุศโลบายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพื่อสร้างความศรัทธา เพื่อสร้างความสบายใจ
แม้กระทั่งพุทธเอง ซึ่งไม่มีพิธีกรรมใด ๆ เพราะมุ่งเน้นที่การหลุดพ้น ก็ยังต้องนำพิธีกรรมจากศาสนาเดิม ๆ มาหลอมรวม เพื่อให้ผู้คนที่ศรัทธาในศาสนาเดิม เข้าใจและเข้าถึงได้มากขึ้น เช่นเดียวกับทุกศาสนา ที่ย่อมต้องรับเข้าศาสนาเดิมในพื้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่ง
พิธีกรรมที่ได้มีโอกาสไปเข้าร่วมมานี้ ก็เช่นกัน เป็นการหลอมรวม พุทธ และผี โดยมีทั้งการบูชา พระพุทธเจ้า การบูชาพญาแถน การขับไล่ผีร้าย ใช้ทั้งภาษาบาลีและคำพื้นเมือง เข้ากันอย่างเหมาะจงลงตัว จนแยกคำต่าง ๆ แทบไม่ออก กุสโลบาย ในการที่ให้ทิ้งผ้าที่ใช้เมื่อเข้าพิธีกรรม เพื่อสร้างความเชื่อในส่วนของการละทิ้งความโชคร้าย เคราะห์ร้าย การลอดตะแหลว ซึ่งเปรียบเหมือนการเกิดใหม่
พิธีกรรมที่ต้องกระทำในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ มีทางน้ำไหล แสดงการเคารพต่อธรรมชาติ ต่อพุทธ ต่อผี ไม่มีอาการหยาบกระด้าง ก้าวร้าวต่อสิ่งใด ๆ
มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสบายใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าพิธีและญาติพี่น้อง
ในสายตาชาวบ้าน นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ชีวิตกลับสู่ความเป็นปกติ
ในสายตาผม นี่เป็นพิธีกรรมที่สวยงามและมีความหมายลึกซึ้ง
ในสายตานักวิชาการ นี่อาจเป็นเรื่องงมงาย
สายตาทุกคู่ มนุษย์ทุกคน มีพื้นฐานความคิด ความรู้ ความเข้าใจไม่เหมือนกัน
สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านสายตา ย่อมให้ความหมายที่แตกต่างกัน
พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้ครบถ้วนเหมาะสม
แล้วจะพบความสงบสุขในทุก ๆ สิ่ง
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศรัทธา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศรัทธา แสดงบทความทั้งหมด
วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555
พระบรมธาตุเจดีย์
เขียนโดย
Unknown
ที่
11:48
สิบกว่าปีก่อน ช่วงปี 2540 ได้เดินทางลงไปทำงานทางใต้บ่อย ๆ ซึ่งรวมไปทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
แน่นอนว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน สิ่งต่าง ๆ ย่อมแตกต่างไปจากปัจจุบัน ร้านชา กาแฟ โรตี มีมากขึ้น แต่ที่มากกว่าคือร้านเหล้าตามซอยเล็กซอยน้อย
อันเป็นผลมาจากช่วงตื่นจตุคามเมื่อหลายปีก่อน ทำให้เศรษฐกิจเมืองคอนคึกคักมาก มีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางมาที่นี่บ่อย ๆ รวมทั้งผมด้วย
เพียงแต่เหตุของการมาต่างกัน หลาย ๆ คนมาเพื่อตักตวงประโยชน์จากความเชื่อในจตุคาม และความศรัทธาในพระบรมธาตุเจดีย์
ผมมาเพราะการทำงานและเรื่องเที่ยวล้วน ๆ ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับจตุคามแต่อย่างใด ในสายตาคนนอกแบบผม การบรรทุกจตุคามมาบนรถสิบล้อเพื่อทำการปลุกเสก เป็นเรื่องที่เกินคาดคิด และน่าจะทำให้เกิดปัญหากับถนนโดยรอบและองค์พระบรมธาตุเจดีย์เอง และก็เป็นความจริงตามข่าวเมื่อไม่กี่ปีก่อน
พระบรมธาตุเจดีย์ในช่วงที่จตุคามได้รับความนิยมนั้น เป็นช่วงที่ผมทำเพียงนั่งจิบกาแฟหน้าวัด แต่ไม่เคยเข้าไปชมเลย
และในที่สุดก็เป็นไปตามหลักความจริงที่สุดของโลก เมื่อมีขึ้นก็มีลง เมื่อมีศรัทธาก็มีเสื่อมศรัทธา จตุคามก็เสื่อมความนิยมลง
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสไปทำงานที่นครศรีธรรมราชอีกครั้ง ยังคงเป็นเมืองที่มองหาชาวต่างชาติเดินชมเมืองได้น้อยมาก ทั้งที่มีสถานที่น่าสนใจมากมาย อาจเป็นเพราะความงดงามตามหาดทราย ทะเล และเกาะแก่งต่าง ๆ มาบดบังซะหมด
พระบรมธาตุเจดีย์ ในวันที่จตุคามเสื่อมความนิยม กลับดูงดงามยิ่งใหญ่
เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ความศรัทธา มองดูน่าเลื่อมใส อาจเป็นเพราะปลอดจากคนที่เข้ามาเป็นเหลือบริ้นเกาะกินกระแสศรัทธา ทำให้ผู้ที่มาต่างก็มองเห็นความเป็นพระบรมธาตุเจดีย์จริง ๆ โดยไม่มีความเป็นจตุคามมาเบียดบัง
วันที่เข้าไปชมพระบรมธาตุเจดีย์ล่าสุดเป็นวันที่กำลังได้ขึ้นบัญชีขั้นต้นสำหรับการเป็นมรดกโลก
พระบรมธาตุเจดีย์มีความเหมาะสมกับการเป็นมรดกโลกที่คนทั่วโลกชื่นชม ทั้งด้านความงดงามและประวัติศาสตร์
หากมีโอกาสก็แนะนำให้ไปชมนะครับ ช่วงหลังนี้พระบรมธาตุเจดีย์งดงามมากจริง ๆ
เมื่อปลอดจากเหลือบริ้นที่เกาะกินกระแสศรัทธา ความงดงามที่แท้จริงก็กระจ่างออกมา
คนเราหากปล่อยให้อคติบังตา ย่อมมองความเป็นจริงไม่เห็นนั่นแหละ
วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555
ไข่ต้มกับแซนวิส ในวันมาฆบูชา
เขียนโดย
Unknown
ที่
10:17
เริ่มต้นจากความคิดว่าจะทำอะไรไปทำบุญวันมาฆบูชาปีนี้ดี
วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญอย่างไรทางพุทธศาสนา คงไม่ต้องอธิบายมากมาย เพราะมีผู้รู้หลาย ๆ ท่านอธิบายกันไปมากแล้ว ก็คงสรุปได้ว่า เป็นวันที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 เหตุการณ์ คือ
พระสงฆ์ 1,250 รูปมาชุมนุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และพรงสงฆ์ทุกรูปเป็นเอหิภิกขุ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบวชให้เอง แล้วพระสงฆ์ทุกรูปยังเป็นพระอรหันต์ รวมทั้งเหตุการณ์ทั้งหมดยังเกิดขึ้นในวันเพ็ญ เดือนมาฆะ หรือเดือน 3 ด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดคงเป็นการที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมะ "โอวาทปาฏิโมกข์" ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา โดยประกอบไปด้วย จุดหมาย หลักการ และวิธีการ
จุดหมายมีเพียง 1 คือ มุ่งหน้าสู่นิพพาน
ส่วนหลักการนั้นมี 3 ข้อคือ ไม่ทำชั่ว ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์
โดยมีวิธีการคือการฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอตามมรรค 8
ได้แก่ความเห็นชอบ ดำริชอบ พูดจาชอบ ทำงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พากเพียรชอบ ระลึกชอบ และตั้งใจมั่นชอบ คำว่าชอบ ๆ นี่หมายถึงเป็นไปตามที่ถูกที่ควรนะ ไม่ใช่ทำตามอย่างที่ชอบ
เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับข้อสันนิษฐาน ของการที่พระสงฆ์มาชุมนุมกันโดยไม่ได้นัดหมยนะครับ อาจเป็นเพราะพระสงฆ์เหล่านั้นนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน ตามสมัยนั้น
ซึ่งในวันเพ็ญ เดือนมาฆะ เป็นวันที่พราหมณ์จะลอยบาปในแม่น้ำคงคาที่เรียกว่า พิธีศิวาราตรี และเป็นวันที่พราหมณ์จะทำการบูชาเทพเจ้าของตน พระสงฆ์เหล่านั้นจึงมาชุมนุมกันเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
เหมือนเมื่อเคยทำตอนที่เป็นพราหมณ์อยู่ นี่คงเป็นเหตุที่ยืนยันได้ว่า พุทธ กับ พราหมณ์ อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์แล้ว
กลับมาสู่วันมาฆบูชาปีนี้ ตกลงว่าจะทำไข่ต้ม ราดน้ำปลาพริก แล้วก็แซนวิสน้ำพริกเผาหมูหยอง ภายใต้แนวคิดที่ว่า พระคงไม่ได้ฉันไข่ต้ม กับแซนวิสบ่อย ๆ หรอก
หลายคนที่ได้ยิน มักจะบอกว่าเห็นด้วยพระไม่ค่อยได้ฉันไข่ต้มหรอก แต่ขอกระซิบหน่อยนะ พระแถวบ้านผมนี่ ได้ฉันบ่อยนะ เพราะถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็ไข่ต้มตลอดละผมน่ะ
ไปทำบุญใส่บาตรตามปกติ ไปวัดใกล้บ้านที่สามารถเดินไปได้สบาย ๆ ชาวบ้านแถวนั้นก็ไปทำบุญกันเต็มศาลา และยังคงมีวัยรุ่นน้อยเช่นเคย
ประชากรในการทำบุญจะได้แก่ คนแก่ คนวัยกลางคน คนวัยทำงาน ก่อนวัยรุ่น และเด็ก เด็กนี่ส่วนใหญ่คงโดนบังคับมาละ ส่วนวัยรุ่นก็คงเหลือที่สนใจในการทำความดีน้อยลงไปแล้วมั้ง
ก็หวังว่าพ่อแม่ คงปลูกฝังให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไปให้เข้าใจศาสนามากขึ้นนะ
ศาสนาทุกศาสนามีหลักการเหมือนกันกับหลักการของพุทธนั่นแหละ ไม่ทำชั่ว ทำความดี มีจิตใจบริสุทธิ์
หลายคนก็ตะแบงแปลงความหมายของศาสนาต่าง ๆ ไปเพื่อสนองตัณหาตัวเองทั้งนั้น
นึกแล้วก็เหนื่อยนะ
เพียงแค่ ไม่ทำชั่ว ทำความดี ทำจิตใจห้บริสุทธิ์ โลกนี้ก็งดงามขึ้นอีกเยอะแล้วครับ
ไม่เกี่ยวกับจะทำอะไรไปทำบุญตักบาตรหรอกครับ ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา
วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ขนาดโคลัมบัสยังโดน นับประสาอะไร....
เขียนโดย
Unknown
ที่
07:57
ช่วงนี้กำลังอ่าน "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" ของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการอยู่
ก็เช่นเคย เนื่องจากเป็นหนังสือที่เขียนมานานแล้ว ภาษาที่ใช้จึงไม่คุ้น ทำให้ผมต้องใช้เวลาในการอ่านมากซักหน่อย
แต่ก็ยังคงเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ได้เหมือนเดิม อย่างที่ผมเคยบอกไว้ หนังสือดีคือหนังสือที่เราอ่าน อ่านแล้วคิด คิดแล้วเข้าใจ
ที่อ่านไม่ได้อยากอ่านเพื่อจะสร้างกุศโลบายอะไร เพื่อให้ตัวผมยิ่งใหญ่ เพราะไม่เคยอยากยิ่งใหญ่ ไม่เคยทะเยอทะยาน
แต่ที่อ่านก็เพื่อทำความเข้าใจ และหาความรู้จากคนรุ่นก่อน ผมศึกษาอดีต เพื่อเข้าใจปัจจุบัน แล้วก็วางแผนในอนาคต..
การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้เข้าใจความคิดและความรู้ต่าง ๆ เยอะขึ้นนะ ยกตัวอย่างเรื่องอเมริกา โคลัมบัสเป็นคนค้นพบทวีปนี้ แต่ทำไมทวีปนี้ไม่ได้ชื่อว่า โคลัมบัส
นั่นเพราะ โคลัมบัส เป็นผู้ค้นพบก็จริง แต่ไม่ได้ประกาศออกไป เลยถูกคนอย่างนายอเมริโก เวสปุจจี เอาไปประกาศซะ ว่าเป็นผู้ค้นพบ แล้วก็ตั้งชื่อว่าอเมริกา
หลังจากนั้นอีกตั้งนาน กว่าโลกจะยอมรับว่า ทวีปอเมริกา ถูกค้นพบโดยโคลัมบัส ไม่ใช่ อเมริโก...
รู้สึกยังไงครับ ทวีปอเมริกา ถูกค้นพบมาสองร้อยกว่าปีแล้ว กระทั่งปัจจุบัน คนเราก็ยังคงมีคนนิสัยอย่างนายอเมริโกอยู่ด้วยตลอดมา
ก็ดีนะ เพราะเวลาที่เจอกับอาการคล้าย ๆ แบบนี้ เวลาที่เราทำอะไร แล้วโดนคนอื่นเอาไปใช้ เอาไปอ้าง ก็คิดเพิ่มได้อีกนะ ว่า ขนาดโคลัมบัส ยังโดนเลย นับประสาอะไร...
เมื่อก่อนวันอาฬาหบูชา ไปทำบุญที่วัด ที่ผมเคยบวช เจ้าอาวาสบ้านผมเคารพนับถือกัน เพิ่งจะมรณภาพ ก่อนหน้านั้นก็เคยมีการแจกบัตรสนเท่ห์ จนหลวงพี่ที่คอยดูแลวัดมาตลอดเป็นสิบปี
ช่วยอดีตเจ้าอาวาสพัฒนาวัด จนเป็นแหล่งเรียนรู้ทางพุทธศาสนาดี ๆ ต้องลาสิกขาออกไป ตั้งแต่ตอนนั้นศรัทธาที่อยู่กับวัดนี้ ก็เริ่มสั่นคลอนละ พอเจ้าอาวาสมรณภาพ การประกาศแต่งตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่
ก็เป็นพระที่ชาวบ้านว่ากันว่าเป็นองค์ที่เขียนบัตรสนเท่ห์ เพิ่งเข้ามาจำวัดได้ไม่กี่ปี ก็เป็นเจ้าอาวาสแล้ว หลวงน้า หลวงตา หลวงพี่ เก่า ๆ ที่ดูแลวัดมาตลอด ไม่ได้แต่งตั้ง แต่ไม่ได้ขัดขวางอะไร
ลองถามหลวงน้าดู ท่านตอบมาดีมาก "เขาอยากเป็น ก็ให้เขาเป็นไป เราอยู่อย่างบริสุทธิ์อย่างนี้ดีแล้ว" เป็นคำตอบที่ชัดเจนมาก เพราะหากพระยังหลงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เป็นสิ่งไม่แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ๆ แม้แต่ตัวเราเองนะ ทำไมจึงต้องขวนขวาย แสวงหาขนาดนั้น
วันนั้นที่ไปทำบุญมีคนมาทำบุญประมาณสิบครอบครัว น้อยที่สุดตั้งแต่ผมมาทำบุญที่วัดนี้ทั้งที่เป็นวันหยุด วันอาทิตย์ อาจเป็นเพราะช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษา หรืออาจเป็นเพราะศรัทธาลงลงก็ได้
ศรัทธาในวัดลดลง แต่ศรัทธาในพุทธศาสนา ยังคงเดิม บ้านผมเลยตกลงว่าจะมาทำบุญที่วัดใกล้บ้านหน่อย เดินไปได้ โดยปกติ ก้ไปทำบุญที่วัดนี้บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก แต่หลังจากนี้คงเป็นวัดทำบุญหลักละ
ก็สะดวกดี วัดที่ทำบุญบ่อย ๆ ห่างบ้านไปประมาณ กิโลกว่า ๆ แต่วัดใกล้บ้านนี่ แค่สามร้อยเมตร.. สะดวกสำหรับแม่ด้วย วัดพระที่ไม่ตรงวัดหยุด จะได้ไปทำบุญสะดวกขึ้น
แต่โดยปกติ ที่ตักบาตรทุกเช้า ก็ตักบาตรกับวัดนี้นะ ดังนั้นก็เหมือนทำบุญที่เดิม เพิ่มขึ้นนั่นเอง..
พอวันอาฬาหบูชา ก็มาทำบุญที่วัดนี้กัน คนเยอะมากกว่าทุกครั้งที่เคยมาทำบุญ.. ด้วยความที่ไม่คุ้นเคย ก็ทำอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง ไว้ปรับปรุงในคราวหน้าละกันนะ
สิ่งต่าง ๆ ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจ ในช่วงเวลาที่ผ่านไป
แม้ความคิด ความเชื่อก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่คนเราจะเปลี่ยนแปลงไปทางดีขึ้นหรือเลวลงก็เท่านั้น
เอาไว้อ่าน "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" จบแล้ว จะมาเล่าให้ฟัง
อาจจะทำให้ผมมองโลกได้กว้างขึ้น อาจจะทำให้ผมเข้าเข้ามนุษย์มากขึ้น อาจจะทำให้ผมมีความคิดดี ๆ เพิ่มขึ้น
แล้วมาลองดูกันว่าจะพัฒนาความคิดของเราได้ไหม?
ก็เช่นเคย เนื่องจากเป็นหนังสือที่เขียนมานานแล้ว ภาษาที่ใช้จึงไม่คุ้น ทำให้ผมต้องใช้เวลาในการอ่านมากซักหน่อย
แต่ก็ยังคงเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ได้เหมือนเดิม อย่างที่ผมเคยบอกไว้ หนังสือดีคือหนังสือที่เราอ่าน อ่านแล้วคิด คิดแล้วเข้าใจ
ที่อ่านไม่ได้อยากอ่านเพื่อจะสร้างกุศโลบายอะไร เพื่อให้ตัวผมยิ่งใหญ่ เพราะไม่เคยอยากยิ่งใหญ่ ไม่เคยทะเยอทะยาน
แต่ที่อ่านก็เพื่อทำความเข้าใจ และหาความรู้จากคนรุ่นก่อน ผมศึกษาอดีต เพื่อเข้าใจปัจจุบัน แล้วก็วางแผนในอนาคต..
การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้เข้าใจความคิดและความรู้ต่าง ๆ เยอะขึ้นนะ ยกตัวอย่างเรื่องอเมริกา โคลัมบัสเป็นคนค้นพบทวีปนี้ แต่ทำไมทวีปนี้ไม่ได้ชื่อว่า โคลัมบัส
นั่นเพราะ โคลัมบัส เป็นผู้ค้นพบก็จริง แต่ไม่ได้ประกาศออกไป เลยถูกคนอย่างนายอเมริโก เวสปุจจี เอาไปประกาศซะ ว่าเป็นผู้ค้นพบ แล้วก็ตั้งชื่อว่าอเมริกา
หลังจากนั้นอีกตั้งนาน กว่าโลกจะยอมรับว่า ทวีปอเมริกา ถูกค้นพบโดยโคลัมบัส ไม่ใช่ อเมริโก...
รู้สึกยังไงครับ ทวีปอเมริกา ถูกค้นพบมาสองร้อยกว่าปีแล้ว กระทั่งปัจจุบัน คนเราก็ยังคงมีคนนิสัยอย่างนายอเมริโกอยู่ด้วยตลอดมา
ก็ดีนะ เพราะเวลาที่เจอกับอาการคล้าย ๆ แบบนี้ เวลาที่เราทำอะไร แล้วโดนคนอื่นเอาไปใช้ เอาไปอ้าง ก็คิดเพิ่มได้อีกนะ ว่า ขนาดโคลัมบัส ยังโดนเลย นับประสาอะไร...
เมื่อก่อนวันอาฬาหบูชา ไปทำบุญที่วัด ที่ผมเคยบวช เจ้าอาวาสบ้านผมเคารพนับถือกัน เพิ่งจะมรณภาพ ก่อนหน้านั้นก็เคยมีการแจกบัตรสนเท่ห์ จนหลวงพี่ที่คอยดูแลวัดมาตลอดเป็นสิบปี
ช่วยอดีตเจ้าอาวาสพัฒนาวัด จนเป็นแหล่งเรียนรู้ทางพุทธศาสนาดี ๆ ต้องลาสิกขาออกไป ตั้งแต่ตอนนั้นศรัทธาที่อยู่กับวัดนี้ ก็เริ่มสั่นคลอนละ พอเจ้าอาวาสมรณภาพ การประกาศแต่งตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่
ก็เป็นพระที่ชาวบ้านว่ากันว่าเป็นองค์ที่เขียนบัตรสนเท่ห์ เพิ่งเข้ามาจำวัดได้ไม่กี่ปี ก็เป็นเจ้าอาวาสแล้ว หลวงน้า หลวงตา หลวงพี่ เก่า ๆ ที่ดูแลวัดมาตลอด ไม่ได้แต่งตั้ง แต่ไม่ได้ขัดขวางอะไร
ลองถามหลวงน้าดู ท่านตอบมาดีมาก "เขาอยากเป็น ก็ให้เขาเป็นไป เราอยู่อย่างบริสุทธิ์อย่างนี้ดีแล้ว" เป็นคำตอบที่ชัดเจนมาก เพราะหากพระยังหลงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เป็นสิ่งไม่แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ๆ แม้แต่ตัวเราเองนะ ทำไมจึงต้องขวนขวาย แสวงหาขนาดนั้น
วันนั้นที่ไปทำบุญมีคนมาทำบุญประมาณสิบครอบครัว น้อยที่สุดตั้งแต่ผมมาทำบุญที่วัดนี้ทั้งที่เป็นวันหยุด วันอาทิตย์ อาจเป็นเพราะช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษา หรืออาจเป็นเพราะศรัทธาลงลงก็ได้
ศรัทธาในวัดลดลง แต่ศรัทธาในพุทธศาสนา ยังคงเดิม บ้านผมเลยตกลงว่าจะมาทำบุญที่วัดใกล้บ้านหน่อย เดินไปได้ โดยปกติ ก้ไปทำบุญที่วัดนี้บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก แต่หลังจากนี้คงเป็นวัดทำบุญหลักละ
ก็สะดวกดี วัดที่ทำบุญบ่อย ๆ ห่างบ้านไปประมาณ กิโลกว่า ๆ แต่วัดใกล้บ้านนี่ แค่สามร้อยเมตร.. สะดวกสำหรับแม่ด้วย วัดพระที่ไม่ตรงวัดหยุด จะได้ไปทำบุญสะดวกขึ้น
แต่โดยปกติ ที่ตักบาตรทุกเช้า ก็ตักบาตรกับวัดนี้นะ ดังนั้นก็เหมือนทำบุญที่เดิม เพิ่มขึ้นนั่นเอง..
พอวันอาฬาหบูชา ก็มาทำบุญที่วัดนี้กัน คนเยอะมากกว่าทุกครั้งที่เคยมาทำบุญ.. ด้วยความที่ไม่คุ้นเคย ก็ทำอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง ไว้ปรับปรุงในคราวหน้าละกันนะ
สิ่งต่าง ๆ ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจ ในช่วงเวลาที่ผ่านไป
แม้ความคิด ความเชื่อก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่คนเราจะเปลี่ยนแปลงไปทางดีขึ้นหรือเลวลงก็เท่านั้น
เอาไว้อ่าน "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" จบแล้ว จะมาเล่าให้ฟัง
อาจจะทำให้ผมมองโลกได้กว้างขึ้น อาจจะทำให้ผมเข้าเข้ามนุษย์มากขึ้น อาจจะทำให้ผมมีความคิดดี ๆ เพิ่มขึ้น
แล้วมาลองดูกันว่าจะพัฒนาความคิดของเราได้ไหม?
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
หลักการใช้ชีวิต 3 ข้อหลัก ๆ
เขียนโดย
Unknown
ที่
07:14
ตึกราม บ้านช่อง พัง สร้างใหม่
ร่างกาย บอบช้ำ ล้ำ สร้างได้
จิตใจ มั่นคง ไว้ คงอยู่
กอบกู้ ทุกสิ่ง นั่น ต้องใช้ ปัญญา
สิ่งเลวร้ายอะไร ผ่านแล้วก็ให้มันผ่านไป ร่วมมือร่วมใจสร้างขึ้มมาใหม่ได้เสมอ
เพียงเอาอคติออกจากใจ มองสิ่งต่าง ๆ ด้วยความจริง และเริ่มออกเดินกันใหม่...
เพียงตั่งมั่นไว้ในสิ่งที่เราทุกคนเรียนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แค่ 5 ข้อ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แล้วนะครับ
อย่าหลุดออกจากศีล 5
ทำทุกอย่างอย่างมีสติ
ใช้ปัญญาไตร่ตรองทุกอย่าง..
ตั้งตนมั่นอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วเดินตามทางนั้น..
ร่างกาย บอบช้ำ ล้ำ สร้างได้
จิตใจ มั่นคง ไว้ คงอยู่
กอบกู้ ทุกสิ่ง นั่น ต้องใช้ ปัญญา
สิ่งเลวร้ายอะไร ผ่านแล้วก็ให้มันผ่านไป ร่วมมือร่วมใจสร้างขึ้มมาใหม่ได้เสมอ
เพียงเอาอคติออกจากใจ มองสิ่งต่าง ๆ ด้วยความจริง และเริ่มออกเดินกันใหม่...
เพียงตั่งมั่นไว้ในสิ่งที่เราทุกคนเรียนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แค่ 5 ข้อ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แล้วนะครับ
อย่าหลุดออกจากศีล 5
ทำทุกอย่างอย่างมีสติ
ใช้ปัญญาไตร่ตรองทุกอย่าง..
ตั้งตนมั่นอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วเดินตามทางนั้น..
วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553
ชีวิตใหม่
เขียนโดย
Unknown
ที่
07:54
อยากนำเสนอ...
ความพยายามของการมีชีวิตอยู่...
หลังจากที่ปล่อยให้ไข่สองใบแรกฟักออกมาก่อน
เมื่อวานนี้ในที่สุด ไข่ใบสุดท้ายก็ฟักออกมา เจ้านกตัวนี้ คงพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมาก
จะเอาใจช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยจนโตนะ เพราะโลกนี้มันเลวร้ายขึ้นทุกวัน
ข่าวความเสียหายที่สีลมเมื่อคืนนี้... ทำให้รู้สึกเจ็บปวด...
และความเสื่อมศรัทธาต่อมนุษย์ของผมเพิ่มขึ้นอีก....
และมันยืนยันได้แล้วว่าทำไมผมจึงถ่ายรูปสัตว์, ป่า, หรือลำน้ำ ได้ดีและตัวผมเองรู้สึกดีกับภาพเหล่านั้น
แต่ไม่เคยถ่ายรูปผู้คนแล้วรู้สึกว่าสวยงามเลย...
วันนี้คงไม่มีความคิดดี ๆ ความรู้สึกดี ๆ ออกมาให้อ่านกันนะครับ
สมองมึนช้า... จิตใจบอบช้ำ.. และจิตวิญญาณเจ็บปวด
ขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกท่าน....
ขอประมาณผู้กระทำการครั้งนี้อีกครั้ง และขอร้อง! อย่าโยนความรับผิดชอบให้ผู้อื่น ๆ...
เวลาโดนจับได้ก็บอกไม่ใช่พวกตัวเอง ตัวเองไม่รู้ พวกคุณหลอกตัวเองจนเชื่อว่าเป็นจริงไปซะแล้ว
แต่ที่พวกคุณทำเลว ๆ ไว้นั้น มีคนรู้เยอะแยะนะครับ กรรมชั่วที่พวกคุณทำมันตามทันคุณเร็ว ๆ นี้แน่นอน
ประเทศอื่น ๆ เอาเหตุการณ์บ้านเรา เป็น ตัวอย่าง ที่จะไม่เอาอย่าง... อิสราเอล เคนย่า เกาหลี และอื่นๆ
ประเทศชาติ เสียหายและบอบช้ำอย่างหนักแล้ว พวกคุณจะรับผิดชอบกันยังไง
ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง...พวกท่านยังเป็นที่ภาคภูมิใจสำหรับผมและเพื่อน ๆ เสมอครับ
สำหรับผู้ที่เหนื่อยหน่าย ท้อใจ หมดกำลังใจ ให้ดูเจ้านกที่เพิ่งออกจากไข่ตัวนี้นะครับ
พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปนะครับทุก ๆ ท่าน ถึงแม้โลกนี้จะน่าเกลียดมากขึ้นอีกก็ตาม...
ความพยายามของการมีชีวิตอยู่...
หลังจากที่ปล่อยให้ไข่สองใบแรกฟักออกมาก่อน
เมื่อวานนี้ในที่สุด ไข่ใบสุดท้ายก็ฟักออกมา เจ้านกตัวนี้ คงพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมาก
จะเอาใจช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยจนโตนะ เพราะโลกนี้มันเลวร้ายขึ้นทุกวัน
ข่าวความเสียหายที่สีลมเมื่อคืนนี้... ทำให้รู้สึกเจ็บปวด...
และความเสื่อมศรัทธาต่อมนุษย์ของผมเพิ่มขึ้นอีก....
และมันยืนยันได้แล้วว่าทำไมผมจึงถ่ายรูปสัตว์, ป่า, หรือลำน้ำ ได้ดีและตัวผมเองรู้สึกดีกับภาพเหล่านั้น
แต่ไม่เคยถ่ายรูปผู้คนแล้วรู้สึกว่าสวยงามเลย...
วันนี้คงไม่มีความคิดดี ๆ ความรู้สึกดี ๆ ออกมาให้อ่านกันนะครับ
สมองมึนช้า... จิตใจบอบช้ำ.. และจิตวิญญาณเจ็บปวด
ขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกท่าน....
ขอประมาณผู้กระทำการครั้งนี้อีกครั้ง และขอร้อง! อย่าโยนความรับผิดชอบให้ผู้อื่น ๆ...
เวลาโดนจับได้ก็บอกไม่ใช่พวกตัวเอง ตัวเองไม่รู้ พวกคุณหลอกตัวเองจนเชื่อว่าเป็นจริงไปซะแล้ว
แต่ที่พวกคุณทำเลว ๆ ไว้นั้น มีคนรู้เยอะแยะนะครับ กรรมชั่วที่พวกคุณทำมันตามทันคุณเร็ว ๆ นี้แน่นอน
ประเทศอื่น ๆ เอาเหตุการณ์บ้านเรา เป็น ตัวอย่าง ที่จะไม่เอาอย่าง... อิสราเอล เคนย่า เกาหลี และอื่นๆ
ประเทศชาติ เสียหายและบอบช้ำอย่างหนักแล้ว พวกคุณจะรับผิดชอบกันยังไง
ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง...พวกท่านยังเป็นที่ภาคภูมิใจสำหรับผมและเพื่อน ๆ เสมอครับ
สำหรับผู้ที่เหนื่อยหน่าย ท้อใจ หมดกำลังใจ ให้ดูเจ้านกที่เพิ่งออกจากไข่ตัวนี้นะครับ
พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปนะครับทุก ๆ ท่าน ถึงแม้โลกนี้จะน่าเกลียดมากขึ้นอีกก็ตาม...
วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553
สวดมนต์? เพื่ออะไร?
เขียนโดย
Unknown
ที่
08:14
หลายวันมานี่ มีแต่เรื่องน่าวุ่นวายนะครับ อากาศก็ร้อน อย่าร้อนใจกันไปด้วยละ
ไม่ได้เขียนอะไรเลยมาหลายวันแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมางานเยอะ งานที่บริษัทฯ งานบ้าน เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง แต่ไม่ได้เขียนบล็อก แต่เรื่องที่คิด ๆ ไว้มีเยอะแยะเลยนะ ทยอย ๆ เอามาเขียนให้ละกันครับ
มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิด ๆ มาเป็นเดือนแล้ว และก็สรุปออกมาตามความคิดของผมแล้วนะครับนั่นคือ
"การสวดมนต์" ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่ปลูกบ้านเสร็จ ผมก็ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ โดยหลัก ๆ ก็ทุกวันศุกร์ แล้วก็วันพระ ก็สวดเหมือนที่คนส่วนใหญ่เขาสวดกัน ทั่ว ๆ ไป อย่างชินบัญชร แล้ววันพระก็เพิ่มยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เข้าไปอีก ใช้เวลาก็ประมาณเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมงต่อครั้งนะ แต่ถ้าเป็นวันพระก็เพิ่มเวลาไปอีก
เราสวดมนต์เพื่ออะไร? สวดแล้วก็ไม่เข้าใจความหมาย ดูคล้าย ๆ นกแก้ว นกขุนทอง ที่พูดได้แต่ไม่รู้ความหมาย
ดังนั้นผมจึงพยายามทำคววามเข้าใจและหาคำแปลของบทสวดมนต์ต่างๆ มาอ่านเพื่อให้รู้ขึ้นมาบ้าง
อย่างบทสวดชินบัญชร ที่มีความหมายของบทสวดประมาณว่าขอเชิญพระอรหันต์หลาย ๆ องค์ มาประทับอยู่ตามทิศต่างๆ รอบตัวเรา ในเมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ได้เข้าสู่นิพพานไปแล้ว ทำไมเราจึงยังอัญเชิญท่านมาได้อีก และเมื่อท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ ย่อมหมายความว่า ท่านย่อมหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าท่านจะทำกรรมดีใด ๆ ย่อมไม่มีผลต่อตัวท่านอีก
พุทธศาสนาสอนให้คนเราอยู่ในศีล สมาธิ และปัญญา โดยให้ความสำคัญกับปัญญา มากที่สุด ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยสอนให้รู้จักใช้การพิจารณาถึงต้นเหตุของการเกิดทุกข์ แล้วก็พยายามดับมันเสีย
แล้วการสวดมนต์เกี่ยวอย่างไรกับหลักการของพุทธศาสนา?
พระสงฆ์ มีหน้าที่ในการเผยแพร่คำสอนของพุทธศาสนา โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์
พระก็สวดมนต์ให้คนทั่วไปฟัง แต่คนที่ฟังเข้าใจความหมายไหม? แล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน
แล้วตัวพระผู้สวดเข้าใจความหมายและเป้าหมายของบทสวดนั้น ๆ หรือไม่? แล้วจะมีประโยชน์อะไร
ทำไมไม่ค่อยมีวัด หรือพระ ที่จะใช้บทสวดที่แปลเป็นภาษาไทยมาแล้ว คนที่ฟังจะได้ฟังรู้เรื่องและหัดคิดกันได้บ้าง
ผมว่าพุทธศาสนาในประเทศของเรา ดำเนินการสอนแบบผิด ๆ อยู่ ผู้คนที่บอกว่าเป็นพุทธ จึงเป็นเพียงคำพูด ไม่ใช่การดำรงตน
ถ้าคนไทยเป็นพุทธจริง เข้าใจคำสอนจริง จะมีเหตุการณ์ของความแตกแยกเหมือนช่วงนี้หรือ?
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา หรือไม่มีตัวตน ก็จะไม่เห็นแก่ตัว เพราะแม้แต่ตัวเราก็ไม่มีตัวตน
เมื่อใช้ปัญญา พิจารณาในการใช้ชีวิต ย่อมมองเห็นว่าใครที่มีเป้าหมายอย่างไรในคำพูดนั้น ๆ
ที่ไม่น่าเชื่อก็คือหลาย ๆ คน พูดโกหกมาก จนตัวเองเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
ผมจึงสรุปเรื่องของการสวดมนต์ ว่ายังคงสวดต่อไปนะ เพราะผมไม่เคยขออะไรจากการสวดมนต์ ไหว้พระ และผมรู้ความหมายของบทสวดที่ผมสวดอยู่บ้าง และเช่นเดียวกับที่แขวนพระ
ผมสวดมนต์ไหว้พระ เพื่อระลึกอยู่เสมอว่าผมเป็นพุทธ ต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ดำรงตนอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา
เหมือนที่ผมบอกรักกับคนรักผมทุกวัน เพราะเมื่อผมยังบอกได้ย่อมหมายความว่าผมยังคงรัก ด้วยผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้
หากใช้ชีวิตโดยอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา โลกนี้คงสงบ และเป็นสุขขึ้นอีกเยอะ
อย่าใช้ชีวิตอยู่โดยการหลอกตัวเองและเห็นแก่ตัวกันเลยครับ
ไม่ได้เขียนอะไรเลยมาหลายวันแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมางานเยอะ งานที่บริษัทฯ งานบ้าน เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง แต่ไม่ได้เขียนบล็อก แต่เรื่องที่คิด ๆ ไว้มีเยอะแยะเลยนะ ทยอย ๆ เอามาเขียนให้ละกันครับ
มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิด ๆ มาเป็นเดือนแล้ว และก็สรุปออกมาตามความคิดของผมแล้วนะครับนั่นคือ
"การสวดมนต์" ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่ปลูกบ้านเสร็จ ผมก็ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ โดยหลัก ๆ ก็ทุกวันศุกร์ แล้วก็วันพระ ก็สวดเหมือนที่คนส่วนใหญ่เขาสวดกัน ทั่ว ๆ ไป อย่างชินบัญชร แล้ววันพระก็เพิ่มยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เข้าไปอีก ใช้เวลาก็ประมาณเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมงต่อครั้งนะ แต่ถ้าเป็นวันพระก็เพิ่มเวลาไปอีก
เราสวดมนต์เพื่ออะไร? สวดแล้วก็ไม่เข้าใจความหมาย ดูคล้าย ๆ นกแก้ว นกขุนทอง ที่พูดได้แต่ไม่รู้ความหมาย
ดังนั้นผมจึงพยายามทำคววามเข้าใจและหาคำแปลของบทสวดมนต์ต่างๆ มาอ่านเพื่อให้รู้ขึ้นมาบ้าง
อย่างบทสวดชินบัญชร ที่มีความหมายของบทสวดประมาณว่าขอเชิญพระอรหันต์หลาย ๆ องค์ มาประทับอยู่ตามทิศต่างๆ รอบตัวเรา ในเมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ได้เข้าสู่นิพพานไปแล้ว ทำไมเราจึงยังอัญเชิญท่านมาได้อีก และเมื่อท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ ย่อมหมายความว่า ท่านย่อมหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าท่านจะทำกรรมดีใด ๆ ย่อมไม่มีผลต่อตัวท่านอีก
พุทธศาสนาสอนให้คนเราอยู่ในศีล สมาธิ และปัญญา โดยให้ความสำคัญกับปัญญา มากที่สุด ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยสอนให้รู้จักใช้การพิจารณาถึงต้นเหตุของการเกิดทุกข์ แล้วก็พยายามดับมันเสีย
แล้วการสวดมนต์เกี่ยวอย่างไรกับหลักการของพุทธศาสนา?
พระสงฆ์ มีหน้าที่ในการเผยแพร่คำสอนของพุทธศาสนา โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์
พระก็สวดมนต์ให้คนทั่วไปฟัง แต่คนที่ฟังเข้าใจความหมายไหม? แล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน
แล้วตัวพระผู้สวดเข้าใจความหมายและเป้าหมายของบทสวดนั้น ๆ หรือไม่? แล้วจะมีประโยชน์อะไร
ทำไมไม่ค่อยมีวัด หรือพระ ที่จะใช้บทสวดที่แปลเป็นภาษาไทยมาแล้ว คนที่ฟังจะได้ฟังรู้เรื่องและหัดคิดกันได้บ้าง
ผมว่าพุทธศาสนาในประเทศของเรา ดำเนินการสอนแบบผิด ๆ อยู่ ผู้คนที่บอกว่าเป็นพุทธ จึงเป็นเพียงคำพูด ไม่ใช่การดำรงตน
ถ้าคนไทยเป็นพุทธจริง เข้าใจคำสอนจริง จะมีเหตุการณ์ของความแตกแยกเหมือนช่วงนี้หรือ?
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา หรือไม่มีตัวตน ก็จะไม่เห็นแก่ตัว เพราะแม้แต่ตัวเราก็ไม่มีตัวตน
เมื่อใช้ปัญญา พิจารณาในการใช้ชีวิต ย่อมมองเห็นว่าใครที่มีเป้าหมายอย่างไรในคำพูดนั้น ๆ
ที่ไม่น่าเชื่อก็คือหลาย ๆ คน พูดโกหกมาก จนตัวเองเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
ผมจึงสรุปเรื่องของการสวดมนต์ ว่ายังคงสวดต่อไปนะ เพราะผมไม่เคยขออะไรจากการสวดมนต์ ไหว้พระ และผมรู้ความหมายของบทสวดที่ผมสวดอยู่บ้าง และเช่นเดียวกับที่แขวนพระ
ผมสวดมนต์ไหว้พระ เพื่อระลึกอยู่เสมอว่าผมเป็นพุทธ ต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ดำรงตนอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา
เหมือนที่ผมบอกรักกับคนรักผมทุกวัน เพราะเมื่อผมยังบอกได้ย่อมหมายความว่าผมยังคงรัก ด้วยผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้
หากใช้ชีวิตโดยอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา โลกนี้คงสงบ และเป็นสุขขึ้นอีกเยอะ
อย่าใช้ชีวิตอยู่โดยการหลอกตัวเองและเห็นแก่ตัวกันเลยครับ
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552
ศรัทธาสั่นคลอน ตัวตนสั่นไหว...
เขียนโดย
Unknown
ที่
09:56
เคยมีความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเองไหมครับ
หรือว่าคุณยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง?
การที่เราจะรู้จักตัวตนของตนเองนั้น หากไม่ไปเปิดอ่านเรื่องเหล่านี้ในหนังสือจิตวิทยาหรือปรัชญาต่าง ๆ อาจจะมีคำตอบให้กับพวกคุณกันมากมาย ส่วนในความคิดของผม ตัวตนของเรานั้นเป็นส่วนที่จะบอกว่าเราคือใครและเป็นอย่างไร ก็เท่านั้น...
เราคือใครไม่ใช่หมายถึงชื่อเสียงเรียงนาม หรือตำแหน่งการงาน แต่เป็นส่วนที่บอกกับตัวเองว่าเราคือคนที่อยู่ส่วนไหนของสังคม ของโลก ของจักรวาลนี้
และเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้หมายถึงยากดีมีจน หรือหน้าตาในสังคม แต่เป็นการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าเราอยู่ในส่วนที่ดีหรือเลว....และมีความเชื่อมั่นหรือศรัทธาต่อสิ่งใด
หลายคนอาจไม่สามารถระบุตัวตนของตัวเองตามความหมายของผมได้ เนื่องจากยังไม่รู้จักตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ เพียงพยายามที่จะรู้จักตัวเองเท่านั้น ก็สามารถระบุตัวตนของตัวเองได้แล้ว...
ตัวตนของผมคงจะสามารถระบุได้ว่า เป็นคนที่ดีในระดับหนึ่ง เนื่องจากเคยผ่านจุดที่เป็นคนไม่ดีมาแล้ว และมีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเอง จึงสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นปัจจุบันได้ โดยที่มีความเชื่อและความศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับความจริงความถูกต้องทั้งหลาย การไม่โกหก การเข้าใกล้ธรรมชาติ การไม่เอารัดเอาเปรียบ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การประนีประนอม
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมักจะเจอกับบททดสอบที่เกี่ยวข้องกับศรัทธาและความเชื่อของตัวเองอยู่เสมอ..
หลาย ๆ ครั้งก็มีการสั่นคลอนบางซึ่งทุกครั้งก็มักทำให้เกิดอาการท้อแท้และรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ซักพักนึง แต่ก็สามารถผ่านไปได้ทุกครั้ง หากมองย้อนดูในบล็อกนี้ ก็จะเห็นนะว่ามีอยู่ซักครั้งสองครั้งที่มีการบันทึกอยู่ถึงการสั่นคลอนของศรัทธาของผม
สัปดาห์ที่แล้วก็เกิดอาการนี้อีก เป็นเรื่องของการที่ผมเห็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม การเอารัดเอาเปรียบ และมีการพูดออกไป การขอคำอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ย้อนกลับมากลับเป็นคำว่าผมมีอคติ..
อคติทำให้ตาบอดข้างหนึ่ง คนที่มีอคติเวลาที่ทำอะไร มักจะมองได้ไม่ทั่วถึง
ในการทำงานนั้นผมไม่มีอคติมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเอง หลายปีแล้ว...
จากคำตอบที่ได้ว่าผมมีอคติ โดยเป็นคำตอบที่ไม่ได้ถึงตัวผมโดยตรงแต่เป็นการบอกกับคนอื่น เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งว่าอคติมักทำให้ตาบอดข้างหนึ่งทำให้มองไม่เห็นว่าคนของตนนั้นเอาเปรียบและฉ้อฉลอย่างไร..
แต่จากการแสดงความเห็นนี้ ก็สามารถสั่นคลอนศรัทธาของผมที่เชื่อในความจริงความถูกต้อง..
หากคนเราทำอะไรที่ถูกต้อง มีการแสดงออก แสดงความคิดเห็น สอบถามข้อเท็จจริง แล้วเกิดการตอบสนองโดยการมองว่าเป็นคนอคติ แล้วจะมีคนที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องได้อย่างไร? โลกนี้จะคงอยู่ได้อย่างไร? ตัวตนของผมจะคงอยู่ได้อย่างไร?
ในปลายสัปดาห์จึงมีอาการเหมือนกับไม่รู้จะยืนที่ไหน นั่งที่ไหน อยู่ที่ไหน พูดอะไรดี? ที่จะรู้สึกว่ายังมีตัวตนอยู่ในโลก... นอกจากบ้าน กับแฟน, พ่อแม่พี่น้อง... ผู้ที่พอจะเข้าใจตัวตนของผมบ้าง
ไม่ได้เครียด ไม่ได้โกรธ ไม่ได้หงุดหงิด เพียงต้องการจะคงตัวตนของตัวเองไว้...
ตอนนี้ตัดสินใจแล้วว่าคงไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับส่วนตรงที่มีปัญหาส่วนนี้อีก ปล่อยให้อยู่ในส่วนที่พวกเขาต้องการอยู่กันต่อไป ไม่ว่าส่วนไหนที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง หากเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง คงไม่พูดซ้ำอีกแล้ว ขอปล่อยให้สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ดีกว่า ไม่ฉุดรั้งจนเกินพอดีอีกต่อไปแล้ว... เพื่อการดำรงอยู่ของตัวตนของผม
เหมือนเห็นแก่ตัว แต่หนึ่งความเห็น หนึ่งการกระทำ หากไม่มีคนเห็น มันยากที่จะเปลี่ยนแปลงโลก
แล้วตัวตนของผมก็มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มอีกแล้ว... มีความสุขกับตัวเองมากขึ้น ปล่อยวางในส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ของคนอื่นลง....
ศรัทธาสั่นคลอน ตัวตนก็สั่นไหว.. หากศรัทธาเสื่อมสลาย ตัวตนจะดำรงอยู่ได้อย่างไร?..
หลังจากข้ามขาแห่งอุปสรรคในจิตใจอีกลูกหนึง
ตอนนี้ศรัทธาและตัวตนของผมก็กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว..
หรือว่าคุณยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง?
การที่เราจะรู้จักตัวตนของตนเองนั้น หากไม่ไปเปิดอ่านเรื่องเหล่านี้ในหนังสือจิตวิทยาหรือปรัชญาต่าง ๆ อาจจะมีคำตอบให้กับพวกคุณกันมากมาย ส่วนในความคิดของผม ตัวตนของเรานั้นเป็นส่วนที่จะบอกว่าเราคือใครและเป็นอย่างไร ก็เท่านั้น...
เราคือใครไม่ใช่หมายถึงชื่อเสียงเรียงนาม หรือตำแหน่งการงาน แต่เป็นส่วนที่บอกกับตัวเองว่าเราคือคนที่อยู่ส่วนไหนของสังคม ของโลก ของจักรวาลนี้
และเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้หมายถึงยากดีมีจน หรือหน้าตาในสังคม แต่เป็นการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าเราอยู่ในส่วนที่ดีหรือเลว....และมีความเชื่อมั่นหรือศรัทธาต่อสิ่งใด
หลายคนอาจไม่สามารถระบุตัวตนของตัวเองตามความหมายของผมได้ เนื่องจากยังไม่รู้จักตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ เพียงพยายามที่จะรู้จักตัวเองเท่านั้น ก็สามารถระบุตัวตนของตัวเองได้แล้ว...
ตัวตนของผมคงจะสามารถระบุได้ว่า เป็นคนที่ดีในระดับหนึ่ง เนื่องจากเคยผ่านจุดที่เป็นคนไม่ดีมาแล้ว และมีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเอง จึงสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นปัจจุบันได้ โดยที่มีความเชื่อและความศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับความจริงความถูกต้องทั้งหลาย การไม่โกหก การเข้าใกล้ธรรมชาติ การไม่เอารัดเอาเปรียบ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การประนีประนอม
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมักจะเจอกับบททดสอบที่เกี่ยวข้องกับศรัทธาและความเชื่อของตัวเองอยู่เสมอ..
หลาย ๆ ครั้งก็มีการสั่นคลอนบางซึ่งทุกครั้งก็มักทำให้เกิดอาการท้อแท้และรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ซักพักนึง แต่ก็สามารถผ่านไปได้ทุกครั้ง หากมองย้อนดูในบล็อกนี้ ก็จะเห็นนะว่ามีอยู่ซักครั้งสองครั้งที่มีการบันทึกอยู่ถึงการสั่นคลอนของศรัทธาของผม
สัปดาห์ที่แล้วก็เกิดอาการนี้อีก เป็นเรื่องของการที่ผมเห็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม การเอารัดเอาเปรียบ และมีการพูดออกไป การขอคำอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ย้อนกลับมากลับเป็นคำว่าผมมีอคติ..
อคติทำให้ตาบอดข้างหนึ่ง คนที่มีอคติเวลาที่ทำอะไร มักจะมองได้ไม่ทั่วถึง
ในการทำงานนั้นผมไม่มีอคติมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเอง หลายปีแล้ว...
จากคำตอบที่ได้ว่าผมมีอคติ โดยเป็นคำตอบที่ไม่ได้ถึงตัวผมโดยตรงแต่เป็นการบอกกับคนอื่น เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งว่าอคติมักทำให้ตาบอดข้างหนึ่งทำให้มองไม่เห็นว่าคนของตนนั้นเอาเปรียบและฉ้อฉลอย่างไร..
แต่จากการแสดงความเห็นนี้ ก็สามารถสั่นคลอนศรัทธาของผมที่เชื่อในความจริงความถูกต้อง..
หากคนเราทำอะไรที่ถูกต้อง มีการแสดงออก แสดงความคิดเห็น สอบถามข้อเท็จจริง แล้วเกิดการตอบสนองโดยการมองว่าเป็นคนอคติ แล้วจะมีคนที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องได้อย่างไร? โลกนี้จะคงอยู่ได้อย่างไร? ตัวตนของผมจะคงอยู่ได้อย่างไร?
ในปลายสัปดาห์จึงมีอาการเหมือนกับไม่รู้จะยืนที่ไหน นั่งที่ไหน อยู่ที่ไหน พูดอะไรดี? ที่จะรู้สึกว่ายังมีตัวตนอยู่ในโลก... นอกจากบ้าน กับแฟน, พ่อแม่พี่น้อง... ผู้ที่พอจะเข้าใจตัวตนของผมบ้าง
ไม่ได้เครียด ไม่ได้โกรธ ไม่ได้หงุดหงิด เพียงต้องการจะคงตัวตนของตัวเองไว้...
ตอนนี้ตัดสินใจแล้วว่าคงไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับส่วนตรงที่มีปัญหาส่วนนี้อีก ปล่อยให้อยู่ในส่วนที่พวกเขาต้องการอยู่กันต่อไป ไม่ว่าส่วนไหนที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง หากเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง คงไม่พูดซ้ำอีกแล้ว ขอปล่อยให้สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ดีกว่า ไม่ฉุดรั้งจนเกินพอดีอีกต่อไปแล้ว... เพื่อการดำรงอยู่ของตัวตนของผม
เหมือนเห็นแก่ตัว แต่หนึ่งความเห็น หนึ่งการกระทำ หากไม่มีคนเห็น มันยากที่จะเปลี่ยนแปลงโลก
แล้วตัวตนของผมก็มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มอีกแล้ว... มีความสุขกับตัวเองมากขึ้น ปล่อยวางในส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ของคนอื่นลง....
ศรัทธาสั่นคลอน ตัวตนก็สั่นไหว.. หากศรัทธาเสื่อมสลาย ตัวตนจะดำรงอยู่ได้อย่างไร?..
หลังจากข้ามขาแห่งอุปสรรคในจิตใจอีกลูกหนึง
ตอนนี้ศรัทธาและตัวตนของผมก็กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว..
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)