แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความสุข แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความสุข แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

สวนลุมพีนี สวัสดีจ้า


อากาศเย็น ๆ ทั้งที่เป็นหน้าร้อน ก็ให้ความรู้สึกเหมือนปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่เลยนะ ได้แต่หวังว่าจะไม่หนักหนาเหมือนครั้งก่อน

ช่วงนี้เช้า ๆ ไปวิ่งอยู่ที่สวนลุมพีนี สวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางกรุง ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
บรรยากาศดี วิ่งไปชมนก ชมไม้ ดูอีกาเดินบนสนามหญ้าเพื่อหาอาหาร หรือตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่ ๆ เดินตามขอบสระ หรือไม่ก็ว่ายน้ำอยู่
พูดถึงตัวเงินตัวทองนี่ ใครจะว่ายังไงผมไม่รู้แต่สำหรับผม มันเป็นสัตว์ที่สวยดี โดยเฉพาะ เวลาที่มันว่ายน้ำ ผมว่ามันว่ายน้ำได้สวยงามทีเดียวนะ
รวมถึงประโยชน์จากการที่มันเป็นสัตว์กินซาก เลยช่วยธรรมชาติในการกำจัดซากสิ่งมีชีวิตที่เกินกว่าความพอดีอีกด้วย
สัตว์ทุกตัวมีประโยชน์กับธรรมชาติและระบบนิเวศทั้งนั้น แล้วคนเรานี่มีประโยชน์กับธรรมชาติตรงไหนนะ

อีกอย่างที่มาวิ่งแล้วได้พบเจอก็คือการแสดงความรัก สวนลุมเป็นสถานที่ที่คนที่ไม่เชื่อหรือผิดหวังในความรักควรจะมาเดินดูเป็นอย่างยิ่ง
ภาพที่ลูกชายประคองแม่แก่ ๆ นั่งลงบนรถเข็น ก่อนจะสวมหมวกให้ แล้วเข็นไปคุยไป ภาพคุณตาเดินจูงมือคุณยาย พลางหยิบขนมในถุงป้อนให้
ภาพคู่รักหนุ่มสาว เดินทอดน่องด้วยกันไปเรื่อย ๆ ภาพคุณลุงคุณป้านั่งจิบกาแฟบนสนามหญ้าริมสระ ภาพกลุ่มคนมีอายุรวมตัวกันรำมวยจีน หรือไม่ก็รำกระบี่ รำพัด
ภาพของคู่รักชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง เดินหรือวิ่งไปเป็นคู่ ๆ ภาพอีกา ตัวเงินตัวทอง และสัตว์อื่น ๆ จีบกัน
วิ่งไปมองไปก็ย้อนคิดได้ถึงความรักในหลายแง่มุมนะ ทุกแง่มุมล้วนสวยงามในมุมของมันเสมอ

มีสาระซักนิดนะ ประวัติของสวนลุมพีนี
สวนลุมพีนีเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของไทยเรา ก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่7 ตั้งอยู่บนถนนพระราม4 ล้อมรอบด้วยถนนวิทยุ ถนนราชดำริ และซอยสารสิน
อยู่ใกล้ ๆ กับโรงพยาบาลจุฬาฯ และสถานที่รถไฟใต้ดินสีลมและลุมพีนี ชื่อลุมพีนี ห็ตั้งตามชื่อสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ประเทศเนปาลนะครับ
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ยังเคยถูกใช้เป้นที่ตั้งของค่ายทหารญี่ปุ่นอีกด้วยนะ

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สวัสดีบึงแก่นนคร


อันเนื่องมาจากการไปทำงานต่างจังหวัด คราวนี้มาขอนแก่น อยากลองเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต สำหรับการมาทำงานต่างจังหวัดดูบ้าง
พอไปถึงเลยออกไปวิ่งรอบบึงแก่นนคร จุดประสงค์หลักคือต้องการเอาชนะใจตัวเอง ที่มันไม่ได้วิ่งมาเป็นปีแล้ว ดูซิว่าจิตใจยังแข็งแกร่งพอที่จะส่งแรงไปให้กับร่างกายได้ไหม?
เดินจากที่พัก ไปจนถึงบึงแก่นนคร แล้วจึงวิ่ง ๆ เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ ครบรอบบึงแล้วเดินกลับที่พัก ด้วยระยะทางรอบบึงประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ทำให้มองเห็นอะไรได้หลายอย่าง ทั้งที่มาขอนแก่นเป็นสิบครั้ง มาที่บึงแก่นนครตามหลายครั้ง แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
ระหว่างที่วิ่งมองไปรอบตัวก็พบเห็นกับหลายสิ่งหลายอย่าง คนมาวิ่งออกกำลังกาย มาเดี่ยว มาคู่ บางคนจูงหมามาเดินเล่น บ้างขี่จักรยาน บ้างมานั่งพักผ่อน บ้างก็มีของกินมานั่งกินกันด้วย
หลายคนก็เดินไปเรื่อย ๆ มีทุกวัย ทั้งเดิน วัยรุ่น หนุ่มสาว และสูงอายุ คนเหล่านี้ เมื่อหมดหน้าที่ในชีวิตประจำวันก็คงมาที่บึงแก่นนครนี่แหละ
เพื่อผ่อนคลาย เพื่อออกกำลัง เพื่อมาเดินชมนกชมไม้ เพื่อมาเดินชมสาว ๆ แต่สิ่งที่เหมือน ๆ กันก็คือ ชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ไม่กดดัน ไม่เครียด

เป็นการออกวิ่งในสถานที่แปลกใหม่ ที่มีความสุขมาก เพราะเพียงเห็นคนมีความสุข หรือเมื่ออยู่ในกลุ่มคนที่มีความสุข ตัวเราเองก็มีความสุขไปด้วยแล้ว
เมื่อกลับมาสำรวจตัวเอง ก็พบว่าจิตใจยังแข็งแกร่ง พอที่จะส่งแรงไปให้ร่างกายทำจนครบตามความตั้งใจได้ แม้ว่าผลลัพธ์จะทำให้แข้งขาตึงไปหมด
แต่ทั้งร่างกายและจิตใจก็แข็งแรงขึ้นตามไปด้วย ไม่มีการเจริญเติบโตใด ที่ไม่แลกมาด้วยความเจ็บปวดหรอก

โลกเรานี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ลองทำ หรือพบเห็น หากไม่เริ่มและเมื่อไหร่จะเจอะเจอ
สวัสดีบึงแก่นนคร

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ว่าด้วยหนังสือ


วันนี้ได้ไปเดินร้านหนังสือ หาซื้อหนังสือสำหรับเรื่องเฉพาะทางเรื่องหนึ่ง ทำไมต้องไปเดินดูร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้า? ทำไมร้านหนังสือไม่มาทำหน้าร้านของตัวเองไปเลย?

เป็นแค่คำถามลอย ๆ นะ เพราะคำตอบน่าจะเป็นในห้างสรรพสินค้า มีหลายสิ่งหลายอย่างทำให้มีคนหลากหลายเข้ามา จึงมีโอกาสมากกว่าออกไปตั้งร้านเฉพาะร้านหนังสือ แต่ถ้ามีสถานที่เฉพาะร้านหนังสือไปเลย หลาย ๆ ร้าน ก็น่าจะเป็นแหล่งที่จะดึงดูดคนไปได้นะ ทำยังไงให้คนที่คิดจะซื้อหนังสือ ต้องนึกถึงสถานทีอย่างที่ว่านี้เป็นแห่งแรก ถ้าทำได้ชีวิตคงมีความสุข

ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าในร้านหนังสือ 3 ร้าน เพื่อจะพบว่าหนังสือคอมพิวเตอร์ประเภทที่เขียนบนปกว่าขายดีที่สุด เป็นหนังสือที่เหมือนเอาเด็กมาเขียนเพื่อให้เด็กอ่าน หนังสือคอมพิวเตอร์เยอะจริง ๆ แต่ที่ดีหรือเหมาะสม ผมว่าน้อยถึงน้อยมากนะ สรุปว่าไม่ได้หนังสือเรื่องที่ต้องการ เดินมาอีกหน่อยหนังสือการใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นนั้นรุ่นนี้อย่างถึงแก่น ชีวิตการใช้โทรศัพท์มันต้องยากขนาดอ่านหนังสือเลยเหรอ?

ยังไงก็ไม่ได้หนังสือที่ต้องการละ เดินหาหนังสือที่อยากอ่านดีกว่า "คนไทยทิ้งแผ่นดิน" ไม่น่าเชื่อว่าทั้ง 3 ร้านไม่มีหนังสือเล่มนี้อีก สงสัยคงต้องไปหามือสองซะละมั้ง

เอาน่ะงั้นเดินหาวรรณกรรมไทยมาอ่านบ้าง เดินไปที่ชั้นหนังสือมองไปมองมาก็ไม่มีน่าสนใจ ลองเปิดอ่าน ๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไร นักเขียนใหม่ก็เยอะขึ้น นักเขียนเก่าก็เขียนน้อยลง แต่เห็นหนังสือของคุณนิ้วกลมอยู่หลายเล่มหลายเรื่องหลายปก ก็น่าสนใจนะแต่ยังไม่เคยอ่านของนักเขียนคนนี้เลย เอาไว้ก่อนละกัน หนังสือส่วนใหญ่เป็นนิยายหน้าปกรูปการ์ตูนสวย ๆ เยอะมาก จนลายตา แต่เป็นหนังสือที่อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลยข้ามไปก่อน

หนังสือแนะนำที่จัดวางไว้ก็ไม่น่าจะน่าสนใจหรือขายดีขนาดนั้น เลยไม่แน่ใจว่าที่แนะนำหนังสือที่ชั้นน่ะ จัดวางตามที่สายส่งให้ราคาดีรึเปล่า เดินไปเดินมาเมื่อยก็เมื่อยหิวก็หิว ก่อนออกจากร้านเลยซื้อเชอร์ล็อกโฮล์มส์ทั้งชุดแทน ยังไงก็เล็งไว้ว่าจะอ่านตั้งนานแล้ว เลยซื้อกลับมาเลยละกัน

สรุปว่าเวลา 2 ชั่วโมงกว่าที่ใช้ไปวันนี้ทำให้รู้จักโลกเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
หนังสือที่เยอะมากเป็นหนังสือเรื่องของความสุขและศาสนา ซึ่งหมายความว่าคนเราปัจจุบันไม่มีความสุขกันเยอะ ทำให้หนังสือแบบนี้มีมากตามไปด้วย
แต่ไม่รู้ว่าที่ซื้อ ๆ กันไปน่ะ เอาไปอ่านรึเปล่า หรือ อ่านแล้วคิดรึเปล่า คิดแล้วก็ทำรึเปล่า หนังสือลักษณะนี้ถึงมากขั้นเรื่อย ๆ ที่ชั้นหนังสือ

ความสุขมันก็ไม่น่าจะหายากขนาดนั้นนะ คนเรานี่มองกันไกลตัวไปรึเปล่านะ 
ความสุขมันก็อยู่รอบ ๆ ตัวเราเองนี่แหละ
ว่าแล้วก็เตรียมตัวเข้าไปสู่โลกของโคนัน ดอยล์ดีกว่า

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

โอกาส และ ความสุขใจ


อาทิตย์ก่อนได้ไปเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน..
คราวนี้ไปธุระใช้เวลาไม่นานนัก แต่พอมีเวลาจะไปเที่ยวเองบ้าง เลยตั้งใจไว้ว่าจะไปในที่ ๆ ไม่เคยไปเลยในเชียงใหม่..
คิดนานมาก เหมือนจะหมดความคิดเรื่องการเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ไปแล้ว
วันแรกกลายเป็นการไปกินข้าวต้มเลือดหมู หน้าโรงพยาบาลแมคคอมิก ไปลำพูน ทำธุระ กลับมาหางดง แล้วเข้าเมืองไปกินข้าวซอยเสมอใจ เหมือนเป็นนักท่องเที่ยวจริง ๆ เลย
ตกเย็นได้มีโอกาสไปร่วมงาน Chiangmai Fest' ครั้งที่ 2 ที่มีการเอาศิลปินต่างประเทศที่เขียนภาพ Street 3D มาร่วมเขียนกันด้วย เป็นงานที่น่าสนใจนะ แล้วก็เหมาะกับเชียงใหม่ซะจริง ๆ








อีกวันเลยเปลี่ยนดีกว่า หาที่กินมันซะเลย ตั้งใจไปหาร้านที่ไม่เคยกิน กินบ้าง
เริ่มจากเรือนซาลาเปา ติดถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เลยแยกศาลเด็กไปหน่อย ร้านน่ารัก ซาลาเปาหลาย ๆ ไส้ อร่อยดีนะ
แล้วก็แวะไปกินกาแฟวาวี แถวกาดคำเที่ยง ที่ว่าจะลองกินที่เชียงใหม่นานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส กาแฟรสชาดดี บรรยากาศก็ดี
เอาซาลาเปา ไปนั่งกินกับกาแฟ สบายใจไป
เลยไปซื้อของฝากที่กาดรวมโชค แล้วก็กลับเข้าเมืองไปซื้อชาที่กาดหลวง
เป็นการมาเชียงใหม่ที่สนุกดี สนุกกับการเปลี่ยนวิธีการเดินทาง เปลี่ยนร้านที่กิน เปลี่ยนสถานที่ ที่ไป

และยังคงมีความคิดเดิม ๆ อยู่ ในเรื่องโอกาส ไม่ว่าจะไป เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน หรือจังหวัดอื่น ๆ  สิ่งหนึ่งที่สามารถเห็นได้ง่าย ๆ ทั่วไปคือ ร้านที่เปิดด้วยแนวความคิดของตัวเอง
ไม่ได้เป็นแฟรนไซน์ มาจากคนอื่น เหมือนกับว่าภาคเหนือเป็นเมืองแห่งโอกาสของคนที่มีความคิดและความพยายามนะ ซึ่งในกรุงเทพฯ ทำได้ยาก เนื่องจากเรื่องพื้นที่ และเวลาของคน
ศิลปิน ศิลปะ ของทำมือ สินค้าพื้นเมือง ฯลฯ มากมายหลาบหลาก ที่สามารถนำเสนอเพื่อให้ผู้ที่สนใจ เลือกที่จะผันตัวมาเป็นลูกค้าได้
ความสุขใจจากการที่เห็นคนอื่น ๆ ชอบสิ่งที่เราทำเอง เป็นความรู้สึกที่เต็มอิ่มในจิตใจดีนะ นี่พูดในฐานะคนที่เคยทำอย่างนี้มาก่อน

ไว้จะหาโอกาสไปเปิดร้านงานทำมือที่เชียงใหม่บ้างดีกว่า คงดีกว่าคราวที่ทำในกรุงเทพฯ

แค่เห็นสิ่งของทำมือมาวางขาย ก็สุขใจที่เห็นคนเรายังมีความคิด ความพยายามแล้ว..
และถ้ามีโอกาสสนับสนุนพวกเขาบ้าง ก็คงมีกำลังใจสร้างของจริงออกมาจากจินตนาการเรื่อย ๆ นะ

เรื่องนี้เรื่อยเปื่อยมาก สงสัยอากาศจะร้อนจัด...
แต่ยังไง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ก็ร้อนพอ ๆ กัน

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

ครูนาฬิกา

เมื่อ 3 ปีก่อนได้นาฬิกาโบราณ แบบลูกตุ้ม ทำงานด้วยระบบลาน มาเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่
มันเดินได้คืนเดียวแล้วก็เดิน ๆ หยุด ๆ มาตลอดเลยตัดใจ ไม่ใช้เอาแขวนทิ้งไว้อย่างเดียว
เมื่อวันศุกร์ได้นาฬิกาแขวนแบบ 2 หน้ามา เลยเอาไปแขวนไว้ใกล้ ๆ แล้วก็มีการปรับภูมิทัศน์ในบ้านกันนิดหน่อย
เลยเอาเจ้านาฬิกาโบราณเรือนนี้มาแขวนไว้ซะหน้าโทรทัศน์
แล้วก็ตั้งใจไว้ว่าจะซ่อมให้ใช้งานได้
เมื่อวานพยายามหาข้อมูล ตรวจสอบกลไก ทำความสะอาด ลองซ่อมดู
ปรากฎว่าเดินได้ 11 ชั่วโมง
ด้วยความมั่นใจวันนี้เลยพยายามทำตั้งแต่เช้า เพื่อจะให้มันดีขึ้น
ผลสุดท้ายจบลงด้วย เดินได้ไม่เกิน 5 นาที จอด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ความรู้และประสบการณ์สำคัญเสมอ
แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือ ความตั้งใจจริงและการกล้าที่จะเริ่มต้น

นาฬิกาเรือนนี้ ถึงจะใช้ไม่ได้ตอนนี้ แต่มันจะอยู่เป็นครูกับแรงบันดาลใจให้ผมไปอีกนานเลย

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฝนพรำ


เช้านี้เริ่มต้นด้วย สภาพอากาศ ฝนตกพรำ ๆ ซัก 20 นาที.. แต่ดันเป็น 20 นาที ตอนที่อยู่นอกบ้านนะซิ
ปกติแล้ว ผมชอบฝนตก ฝนพร่ำ ๆ นี่ยิ่งชอบ ชอบตากฝน ผมว่ามันเย็นดี เหมือนกับว่าเราสัมผัสกับธรรมชาติจริง ๆ ผ่านร่างกายของเราเองโดยตรง
พอฝนหยุด อากาศก็เหมือนจะร้อนกว่าเดิม ดีแล้วที่เป็นไปตามฤดูกาล แสดงว่าความแปรปรวนน้อยลงกว่าปีก่อนนะ
ก่อนฝนตก ก็รดน้ำกล้วยไม้ ต้นไม้ตามปกติ มานึกได้ว่าไม่ได้เข้าไปรดน้ำในสวนนานแล้ว ตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่นั่นแหละ
ใจจริงแล้วก็ไม่ค่อยอยากเข้าไปพบเจอสภาพที่หดหู่ อย่างการที่ต้องเห็นต้นไม้ยืนต้นตายนะ ก็ได้แต่เข้าไปทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ยังไม่เคยเข้าไปเพื่อรดน้ำอีกเลย
เอาไว้สัปดาห์หน้าค่อยเข้าไปแล้วกัน

สภาพที่หดหู่ มักจะสร้างผลกระทบทางจิตใจให้กับคนเราได้เป็นอย่างดีเสมอ ถ้าเราเห็นแต่ภาพเศร้า ๆ น่าสงสาร จิตใจเราก็จะหดหู่ สมองเราก็จะไม่แจ่มใส ความคิดก็จะไม่เป็นไปในทางบวก เพราะยังงั้นผมเลยค่อนข้างจะหลีกเลี่ยงกับสภาพการณ์แบบนั้นในลักษณะที่พบเจอติดต่อกันนาน ๆ เพื่อรักษาสภาพจิตใจตัวเองให้บวกอยู่เสมอ
แต่เกิดมาอยู่ในสังคมย่อมไม่พ้นจะต้องเจอสภาพที่จิตใจหดหู่อยู่บ้าง เพียงแต่จะจมอยู่กับมันนานแค่ไหน
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมก็เจอ สัปดาห์ก่อนโน่นก็เจอ สัปดาห์ก่อนของก่อนโน่นก็เจอ เรียกได้ว่าก็เจอสภาพการณ์ลักษณะนี้ตลอดนั่นแหละ
เจอขอทานอาชีพ ก็หดหู่ เจอรถชนกันก็หดหู่ เจอหมาเจ็บก็หดหู่ เจอคนที่ไม่จริงใจก็หดหู่ ฯลฯ

แต่ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเร็ว ๆ เพื่อให้หลุดจากสภาพหดหู่เร็วที่สุดนะ แล้วจะทำอย่างไรนั้นก็อยู่ที่ตัวว่าจะฝึกจิตใจและความคิดของตัวเองอย่างไร
เมื่อเจอสภาพแบบนั้น ก็ต้องย้ายตัวเองออกมาแล้วมองกลับเข้าไปด้วยมุมมองใหม่ ๆ
ทำเรื่องราวที่ชอบ ย้ายสถานที่ หลาย ๆ อย่างที่ทำแล้วเราทำแล้ว หลุดจากสภาพนั้นได้ อย่าไปคิดหรือจมอยู่กับมันก็พอ

ปล่อยให้ความทุกข์ผ่านไปเร็ว ๆ จิตใจก็ดีเองแหละ
ถ้าฝนตกลงมาอีกรอบ ก็จะไปตากฝนอีกที ให้ฝนมันชะอะไรที่หมองมัวอยู่ในความคิดและจิตใจออกไปให้หมด
ก็คนมันชอบ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

กาแฟบด สดจากธรรมชาติ ชงช้าแต่ว่าอร่อยนะ

เดือนปีผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแป๊บเดียว ผ่านปีใหม่มาสองเดือน เข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว ผ่านเดือนผ่านปีมาอีกปีหนึ่ง หากรู้จักเรียนรู้หาประสบการณ์ ก็โตขึ้นอีกปีหนึ่ง หรือมากกว่านั้น
หากปล่อยให้วันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะไม่ได้โตขึ้นเลย.. การเติบโตไม่ได้หมายถึงอายุนะ แต่หมายถึงความเป็นบุคคลน่ะ การที่จะเติบโตขึ้นมาไม่ได้หมายถึงอายุที่มากขึ้นอย่างเดียว แต่หมายถึงจิตใจ ความรู้ อารมณ์ และอื่น ๆ
เดือนที่ผ่านมาตั้งใจไว้ว่าจะไม่เขียนอะไรเลย แล้วหลังจากนั้นจะเขียนให้มากขึ้นกว่าเดิม ถือว่าเป็นการหยุดความคิดของตัวเองเล็กน้อยนะ
หลายเรื่องหลายราวผ่านเข้ามาในหนึ่งเดือน หลากหลายอารมณ์ หลายรูปแบบ และวิธีการ.. ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งรู้สึกแปลกแยก..
สองเดือนที่ผ่านมามีเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวผมและมีความเกี่ยวโยงกันอย่างแปลกประหลาด
เป็นเรื่องงานที่มีการย้อนยุค ย้อนเวลา ที่เข้าร่วมถึงสามงาน งานของที่ทำงาน งานของเพื่อนในบอร์ด และงานของสถาบันการเรียนรู้แห่งชาติ
ทั้งสามงานมุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องราวที่ย้อนกลับไปในอดีต มีการแต่งตัวย้อนยุค ย้อนเวลา
ช่วงเวลานี้ เราโหยหาอดีตกันมากขึ้นหรือเปล่า อาจเป็นเพราะสถานการณ์ อากาศ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ
ในอดีตที่คนเรายังไม่รีบร้อนเท่านี้.. ยังไม่เห็นแก่ตัวเท่านี้.. ยังไม่โกงกินกันขนาดนี้ ยังไม่มีการแบ่งฝ่าย การเอารัดเอาเปรียบ การหลอกลวง ซึ่งไม่เท่าสมัยนี้
ทั้งที่ในปัจจุบันมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่สิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้ ก็เป็นการเสริมสร้างความต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นด้วย ทำให้คนเราใจร้อนขึ้น หงุดหงิดง่ายขึ้น เพราะไม่ได้อะไรเร็วตามที่ตัวเองต้องการ เมื่อดำรงชีวิตอยู่ในความรวดเร็วตลอดเวลา ย่อมมองไปข้างหลังแล้วไม่เห็นคนอื่น หรือแม้แต่ตัวตนของตัวเอง
และย่อมเป็นไปได้ถึงการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ได้ในความเร็วนั้น ๆ และเร็วยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก. ไหลไปตามกระแสสังคมสมัยใหม่ที่เชี่ยวกราก..
ยิ่งมองไปรอบ ๆ ก็ยิ่งเห็นว่าตัวเองขวางโลก ขวางคลอง แต่อาจจะเป็นเรื่องที่คนหลาย ๆ คนเริ่มหันมารู้สึกก็ได้ ว่าอยากจะช้าลงบ้าง
งานสามงานที่บอกไว้ แสดงให้เห็นถึงความโหยหาอดีตและไม่พอใจปัจจุบันอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่รู้จะเริ่มที่ไหน จึงเริ่มจากเปลือกนอกก่อน เพียงลอกคราบปัจจุบัน แล้วหาคราบเก่า ๆ เอามาใส่ ก็สุขใจได้ชั่วครั้งชั่วคราว
เราสามารถจะมีความสุขได้ยาวนานกว่านั้นนะ.. ลองปรับเปลี่ยนความคิดความรู้สึกภายในซะก่อน แล้วจะรุ้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น
ลองทำอะไรแบบธรรมดา ไม่เร่งรีบดูบ้างนะ เดินเร็ว ๆ ก็มองไม่เห็นดอกไม้ข้างถนน เดินให้ช้าลง คงเห็นความงามมากขึ้น
หลายคนบอกคงบอกว่าเดินเร็วขึ้น ก็ถึงจุดหมายเร็วขึ้น
แต่การถึงจุดหมายนั้น หมายถึงจุดหมายที่เมื่อถึงแล้วไม่ต้องหาจุดหมายต่อไปหรือไม่ ถ้ายังต้องหาจุดหมายต่อไปเรื่อย ๆ ชีวิตก็ยังเร่งรีบอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ
ทั้งที่จุดหมายนั้นอาจจะมีไม่กี่จุดที่จำเป็นต่อชีวิตเรา แต่คนเราก็มักจะหาจุดหมายใหม่ ๆ ต่อไปเสมอ ๆ
ถ้าเราช้าลงบ้าง ไปถึงจุดหมายช้าลง แต่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ข้าง ๆ รอบ ๆ ได้มากมาย ชีวิตอาจจะมีค่ามากขึ้นก็ได้นะ

วันก่อนเห็นกล้องไลก้า ขายมือสอง ในราคาที่เอื้อมถึงได้ ความอยากได้ก็มีนะ แต่ไม่ได้รีบร้อน..
วันนี้เขาขายไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกเสียดาย  ที่ไม่ซื้อในวันนั้น ไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบาก ค่อย ๆ เก็บไป วันหนึ่งคงได้เอง..

เหนื่อยมีบ้าง ท้อมีบ้าง แต่มักเป็นเมื่อต้องติดต่อหรือทำงานร่วมกับคนที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว หรือเอารัดเอาเปรียบ... แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึกนั้น ๆ อยู่นานจนกัดกินจิตใจของตัวเองนะ
ทุกวันนี้มีความสุขดี ไม่ต้องแสวงหา หรือตามใคร ปล่อยผ่านบางสิ่ง และ รักษาบางอย่าง

กาแฟกึ่งสำเร็จรูปชงเร็วก็จริง แต่กาแฟบดที่ชงช้ากว่า ก็มาจากธรรมชาติล้วน ๆ และรสชาดดีกว่ามากนะ
เดินให้ช้าลง ชีวิตสุขมากขึ้น

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

แค่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน.

วันนี้ได้ไปบริจาดเกล็ดเลือดมา เลยตามมาด้วยอาการง่วง ๆ ไม่ค่อยปกติ.. ทำงานได้ช้ากว่าเดิมนิดหน่อย ประกอบกับอยู่ในช่วงอาการเบื่อ ๆ เลยพาลไม่อยากทำงานปกติไปซะอย่างนั้น
เอาน่ะใครที่รู้จักผมแล้วเห็นผมไม่ค่อยปกติช่วงนี้ก็อย่าถือสาหาความกันเลยละกัน กำลังปรับอารมณ์อยู่น่ะ
 
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมามีแผนที่จะทำอะไร ๆ ที่บ้านหลายอย่าง ทั้งการทำชั้นวางของเพื่อเก็บอุปกรณ์ใต้บันได ทำประตูกั้นบันไดใหม่ ไว้กันเจ้าสองมะแผลงฤิทธิ์ ขึ้นบ้าน
แล้วก็ตัดแต่งการะเวกที่ออกแผ่เต็มให้ออกจากซากมะม่วง ใจจริงไม่อยากตัดกิ่งมันเยอะอย่างนี้หรอกนะ แต่เกรงว่ามันจะรั้งเอาต้นมะม่วงที่ยืนต้นตายน่ะล้ม เลยจำเป็น
ประกอบกับเวลาที่พุ่มการะเวกนี้อยู่มืด ๆ เจ้าสองมะ มักจะไปเห่า แล้วก็ตะกุย ๆ ตรงใต้ต้นประจำเลย ไม่แน่ใจว่ามันเห็นอะไร เลยเอาออกซะก่อนดีกว่า
ประกอบชั้น กับทำประตู ใช้เวลาเต็ม ๆ วันเสาร์ เช้า ยันมืด วันอาทิตย์ค่อยทำต้นไม้ เสร็จก็ปรากฎว่าหมดแรงกันไปเลย ไม่ได้ใช้แรงจนหมดตัวมานานแล้ว...
ตอนนี้ก็กำลังคิดว่าสุดสัปดาห์นี้จะทำอะไรดีอยู่...
ตอนที่ทำชั้นเพื่อจัดของที่อยู่ใต้บันไดใหม่ พอรื้อของออกก็เจอปลวก เยอะแยะไปหมด ปลวกมันก็ทำมาหากินของมันไปตามธรรมชาติน่ะนะ มันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก
แต่บังเอิญว่ามันเข้ามาทำให้ที่พักอาศัยของเราจะมีปัญหาเอาน่ะซิ ว่ากันถึงเรื่องปลวกนี่ ก็เป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ได้ร้อยเปอร์เซนต์หรอกนะ
ตอนแรกที่ทำบ้านก่อนจะทำพื้นก็ราดน้ำยาฆ่าปลวกที่เป็นสมุนไพรไว้  ผ่านมาไม่กี่เดือนปลวกก็เข้ามาจัดการประตูตู้ซิงค์ในครัวชั้นล่างซะแล้ว..
พอบ้านพี่ชายจ้างบริษัทกำจัดปลวกมาดูแล มีการอัดน้ำยาลงดิน ก็กลายเป็นว่าปลวกออกมาจัดการซะต้นมะม่วงตายเลย.. ถึงจะมีบริการมาตรวจและฉีดเพิ่มทุกเดือน ปลวกก็ยังมีอยู่รอบบ้าน
อาจเป็นเพราะบ้านผมมีส่วนที่เป็นพื้นดินเยอะ ปลวกเลยมีที่อยู่เยอะ ล่าสุดก็ลองไปเอาไส้เดือนฝอย ที่กรมวิชาการเกษตร วิจัยแล้วว่าจัดการปลวกได้มาลองดู คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะได้ผลเป็นยังไง
ไม่ได้คาดหวังว่าปลวกจะหมดไปจากดินที่บ้านหรอกนะ แค่ให้พวกมันอยู่เป็นที่เป็นทางก็พอ อย่ามาวุ่นวายกับต้นไม้ กับบ้านของผมก็ละกัน
ถ้าพูดว่าปลวกมารุกรานบ้านของเราก็ไม่ถูกนัก เพราะเราอาจเป็นฝ่ายไปปลูกบ้านทับที่อยู่ของพวกมันต่างหาก
ก็คงได้แต่พยายามตรวจสอบ ป้องกัน และแก้ไขเป็นครั้งคราวไปนะ เพราะหากใช้สารเคมีเพื่อกำจัดปลวกตลอดเวลา สารเคมีมันก็จะย้อนมากำจัดเราเองอยู่ดี ผมเลยเลือกที่จะใช้พวกสมุนไพรหรือธรรมชาติ
ส่งผลช้าแต่ปลอดภัยกว่า.. แนะนำใครที่อยากลองกำจัดปลวกอย่างปลอดภัย ลองใช้สมุนไพรสกัด หรือไม่ก็ไส้เดือนฝอยดูครับ หาซื้อได้ที่ กรมวิชาการเกษตรครับ
จริง ๆ แล้วมนุษย์อย่างเรา ๆ นี่แหละที่ไปรุกรานสัตว์อื่น ๆ นะ เข้ามาตัดทำลายป่า เพื่อเอาพื้นที่มาปลูกสร้างบ้าน ทำลายบ้านผู้อื่น เพื่อเอามาสร้างบ้านของตัวเอง
แล้วก็พยายามจะอ้างว่าสัตว์อื่นต่างหากที่มารุกราน... อย่างคนที่ทำไร่ แล้วมีสัตว์ป่ามารบกวน อาจเป็นเพราะก่อนหน้าที่คนจะเข้าไปทำไร่ ที่ตรงนั้นเป็นบ้านของสัตว์นั้น ๆ อยู่ก็ได้นะครับ
 
เพราะวันนี้เป็นวันที่ 1 กันยายน ครบรอบ 20 ปีที่คุณสืบ นาคะเสถียร เสียชีวิต คุณสืบ เป็นมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ผมศรัทธาและเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผม
อยากให้พวกมนุษย์คิดกันใหม่นะ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่าเอาตัวเองไว้ตรงกลาง
รู้จักการอยู่อาศัยแบบพึ่งพากัน รู้จักการอยู่ร่วมกัน เพื่อให้โลกของเราดีขึ้น
มนุษย์ก็เป็นสัตว์ ปลวกก็เป็นสัตว์ เจ้าสองมะ ก็เป็นสัตว์
หากมนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับสัตว์อื่น ๆ ตัวมนุษย์เองนั่นแหละที่จะรู้สึกว่าทุกข์น้อยลง..
 
อย่าหาวิธีที่จะมีความสุขเลยนะ หาวิธีที่จะลดความทุกข์ลงดีกว่า
แค่มองโลกให้กว้าง ๆ พยายามเข้าใจผู้อื่น และสัตว์อื่น เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน อย่าเอาความหวังไปวางไว้ที่คนอื่น
แล้วก็อย่าเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง แค่นี้ชีวิตก็ทุกข็น้อยลงแล้ว...

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฤดูฝน

ฝนตกทุกวัน เมื่อวานก็ฝนตก วันก่อนก็ฝนตก...
ผมเป็นคนที่ชอบฤดูฝน เพราะเป็นฤดูที่มีแต่ความชุ่มฉ่ำ ต้นไม้ก็เติบโต เขียวขจี
ถึงจะทำให้เกิดความลำบากในการเดินทางบ้าง แต่ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผมเลย
เพราะผมชอบตากฝน ชอบที่จะถูกน้ำฝนเย็น ๆ มากระทบกับร่างกาย ให้ความรู้สึกที่ดีเป็นพิเศษ มีความสุข ถ้าเดินทางคนเดียว ถ้าหากฝนตก ผมก็แค่เก็บของที่จะเปียกแล้วเสียหายให้เรียบร้อย แล้วก็เดินทางต่อไปได้ อย่างสบายใจ
เพียงแต่เวลานี้ ถ้าเดินทางไปไหน โดยมีคนที่ผมรักเดินทางไปด้วย คงต้องลดความชอบลง แล้วเปลี่ยนเป็นความห่วงใยแทน

เมื่อวานพอกลับถึงบ้านระหว่างที่ฝนพร่ำ ๆ กำลังดี อารมณ์ดี เข้าบ้าน ก็เจอกับซากต้นเฟิร์นก้านดำ ของผมที่เจาสองมะ ลากมาจัดการซะ
ก็เช่นเคย ไม่ได้โกรธอะไร ก็แค่เก็บ ๆ แล้วก็หวังไว้ว่าเหง้าของมันจะงอกขึ้นมาใหม่ได้นะ เจ้าสองมะ นะเจ้าสองมะ

เพราะเป็นฤดูฝนเลยต้องใส่ใจกล้วยไม้ที่บ้านซะหน่อย สำหรับใครที่ปลูกกล้วยไม้ เลี้ยงกล้วยไม้ ใช่ว่ากล้วยไม้จะชอบเปียก ๆ นะครับ
กล้วยไม้ชอบชื้น ๆ แต่ไม่ชอบแฉะ ๆ ดังนั้นฤดูฝนนี่ต้องคอยดูแลกันหน่อย รวมทั้งส่วนที่ปลูกไว้ในร่มของผม ก็เป็นช่วงที่จะเพิ่มความชื้น
ด้วยการรดน้ำเพิ่ม เพื่อให้รากเจริญซะหน่อย ให้ต้นสมบูรณ์ ๆ เข้าไว้ พอเข้าฤดูหนาวค่อยลดการให้น้ำ เพื่อกระตุ้นให้ออกดอกในฤดูร้อนพอดี
ปีก่อนไม่ได้ดูแลเต็มที่นัก ฤดูร้อนที่ผ่านมาเลยได้เห้นดอกน้อยไปหน่อย แต่ปีหน้านี่แหละ... คอยดูกันต่อไป
กล้วยไม้บางต้นก็ออกดอกง่าย ๆ ทั้งปี บางต้นก็ต้องดูแลเอาใจใส่เต็มที่ปีหนึ่งออกมาให้ดูกันซักครั้งหนึ่งนะ
แต่ทุกต้นก็เอาใจใส่เต็มที่เหมือน ๆ กัน ก่อนที่จะปลูกบ้าน ผมมีกล้วยไม้อยู่เกือบแปดสิบสายพันธุ์ เฉพาะพวกรองเท้านารีก็มีสิบกว่าชนิดเข้าไปแล้ว
ตอนนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก รองเท้านารีเหลือต้นเดียว  ชนิดเดียว เพราะล่าสุด เจ้าสองมะ ก็จัดการอีกต้นอีกพันธุ์ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง
สงสัยจะกลัวว่าผมจะต้องแบ่งสมองมาจำสายพันธุ์ของกล้วยไม้ที่บ้านมากเกินไป ตอนนี้ที่บ้านเหลือซักสิบกว่าสายพันธุ์ละมั้ง
ช่วงนี้เริ่มจัดการเวลาได้ดีขึ้นอีกหน่อย เลยว่าจะเริ่มสะสม เริ่มกลับมาเลี้ยงใหม่ ความสุขอีกอย่างของผม

ความสุขมีอยู่ทั่วไปรอบ ๆ ตัวเรานี่แหละ ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาอย่างมากมาย แค่ทำใจให้สงบ ปล่อยวาง อย่าให้ความโกรธ ความหลง เข้ามาครอบงำ
ตากฝน ดูแลเจ้าสองมะ กินข้าวบ้าน เลี้ยงกล้วยไม้ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ขี่จักรยาน ดูหนัง ทำสวน ฯลฯ
ความสุขของผมมีอยู่รอบตัว โดยไม่ต้องไปแสวงหาอะไรมากมาย
ลองมองรอบตัวเองดูนะครับ ความสุขมันก็อยู่แถวนั้นแหละ

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

เพราะเห็น อย่างที่มันเป็น

พวกคุณ ๆ มองรถว่าเป็นอะไร?
ผมมองว่ารถ เป็นเพียงพาหนะ ที่จะพาให้เราไปในที่ต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น
แต่อีกหลายคนมองว่ารถเป็นฐานะ จึงพยายามที่จะใช้รถราคาแพง หรู โดยไม่ดูฐานะของตัวเอง
ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินเกินตัว อันนำไปสู่ความทุจริต ในการทำหน้าที่
ผฃปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากคนเราในโลกนี้ มักเริ่มมาจากการที่คนเรามองสิ่งที่เห็น ให้เป้นอย่างที่มันไม่ใช่ นะครับ

หากมองสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น ปัญหาต่าง ๆ คงจะน้อยลงละครับ
เพราะสิ่งต่าง ๆ ย่อมจะเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นด้วยเสมอ เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ย่อมกระทบไปสู่ สิ่งต่อไป ต่อไป เสมอครับ
มองรถให้เป็นพาหนะ มองโทรศัพท์มือถือให้เป็นเครื่องมือสื่อสาร มองอาหารให้เป็นสิ่งประทังชีวิต มองบ้านให้เป็นที่อยู่อาศัย
มองเสื้อผ้าให้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ทุกอย่างเป็นเพียงปัจจัย ให้เราอยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อแสดงฐานะครับ
ผมเคยใช้รถยนต์อยู่ช่วงหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ชอบเลย จึงขายไป แล้วกลับมาใช้มอเตอร์ไซค์
ผมใช้รถมอเตอร์ไซค์ เพราะสะดวกสบาย สำหรับการจราจรในกรุงเทพฯ แล้วผมก็ไม่ชอบขับรถยนต์ เพราะไม่ชอบรถติด
เดี๋ยวนี้ คนขับรถต่าง ๆ ก็มีน้ำใจให้แก่กันน้อยลงมาก และดูถูกคนที่ขับรถราคาถูกกว่าตัวเสมอ
ถึงแม้ผมจะขับมอเตอร์ไซค์ แต่ผมก็มีน้ำใจ ขับรถถูกกฎจราจร นะครับ อย่าคิดว่าคนขับรถมอเตอร์ไซค์จะ ด้อยกว่าคนขับรถยนต์ครับ
ในแง่ความเป็นคนนั้น คนทุกคนเท่ากัน จะเหลื่อมล้ำกันก็ที่ความดีของแต่ละคน
คนเราควรให้เคารพคนอื่นที่การกระทำ จากความดี จากการวางตัวที่เหมาะสม จากความมีน้ำใจ ไม่ใช่เงินทองครับ

เกริ่นมาซะยาว ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องเจ้านกกางเขนที่บ้าน ในรูปครับ โตขึ้น ขนที่ปีกเริ่มงอกแล้ว
เมื่อวานฝนตกหนัก เลยเกรงว่ามันจะเดือดร้อนกันรึเปล่า แต่ไม่ได้กังวลมากมาย เพราะสัตว์โลก ย่อมรู้จักปรับตัว และธรรมชาติจะเป็นผู้เลือกผู้ที่ปรับตัวได้
สรุปแล้ว มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ดูสงบดี เช้านี้พ่อกับแม่มัน ก็ออกหาอาหารตามปกติ ส่วนเจ้าสามตัวนี่ก็ยังหลับ
วันเสาร์ อาทิตย์ นี่เห็นพ่อ แม่ มันบินเข้า บินออกเอาแมลง เอาหนอน เอาอาหาร มาป้อนทั้งวัน
เห็นแล้วก็สะท้อนใจนะ สัตว์ทุกชนิดในโลกพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ พยายามที่จะเลี้ยงลูกของมันให้เติบโต เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป
มีสัตว์เพียงชนิดเดียวในโลกที่ บางส่วนไม่รักษาชีวิตของตนเองให้ดี และอีกบางส่วนยังไม่รับผิดชอบต่อลูกของตนอีกด้วย
นี่ยังไม่รวมการที่สัตว์จำพวกนี่ สามารถฆ่ากันตาย ด้วยเหตุเพียงความคิดเห็นแตกต่าง คงไม่ต้องบอกนะครับว่าสัตว์ชนิดไหน?

อย่าเอาเหตุการณ์ภายนอกมาสร้างความขุ่นมัวในใจเรา
มองสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็น
ชีวิตจะมีความสุข สงบมากขึ้น
เพราะเข้าใจถึงความเป็นของมันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ชีวิตอิสระ กับมะระมะลิ

หายหน้าหายตาไปเป็นสัปดาห์ เพราะเล่นเกมครับ เป็นเกมที่น่าสนใจมาก แล้วจะมาเล่าให้ฟังกันอีกทีนะ
เมื่อวานนี้วันเสาร์ ช่วงเช้า เข้าไปช่วยแม่เก็บมะม่วงในสวน ก็เป็นเรื่องปกตินะ ถ้ามีเวลาว่าง ก็ช่วยงานในสวนตามปกติ แต่ที่พิเศษกว่าก็คือ คราวนี้พาเจ้ามะลิกับมะระเข้าไปด้วย.. เป็นครั้งแรกที่พาเข้าไปในสวนนะ แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พาออกนอกบ้านนะ ทุกครั้งที่พาออก หรือได้ออกนอกบ้าน ก็จะร่าเริงเป็นพิเศษอยู่แล้ว คราวนี้พาพาเข้าสวน พอปลดสายจูงเท่านั้นแหละ คุณนึกออกไหม ว่าพวกมันจะทำิอะไรเป็นอย่างแรก
หนูมะลิกระโดลงท้องร่อง แล้วเจ้ามะระก็โดดตาม ว่ายน้ำข้ามร่องสวน ไปมา อย่างร่าเริง จนตัวมีแต่โคลนแล้วก็แหน.. ผมก็ได้แต่หัวเราะ แล้วก็ไปขึ้นต้นมะม่วง เก็บมะม่วงให้แม่ แม่จะเอาไปขายน่ะ... ระหว่างที่เก็บ คุณเกดแม่เจ้าสองมะ ก็มาช่วยเก็บที่ผมสอยจากข้างบนต้นแล้วส่งลงมาข้างล่าง ท่ามกลางเสียงกระโดดน้ำ เสียงเห่าเวลาไปเจอตัวอะไรแปลก ๆ ส่วนบนต้นอย่างผม ก็จะได้ยินเสียงแม่เจ้าสองมะ คอยตะโกนเรียก เพราะความเป็นห่วง.. จนเก็บมะม่วงจนพอแล้ว พาเจ้าสองมะกลับ ก็ต้องอาบน้ำเจ้าสอง มะทันที เพราะทนไม่ไหวกับโคลนแล้วก็แหนที่ติดเต็มตัว... ก็ตัวมันจากขาว ๆ กลายเป็นดำไปน่ะ..คิดดู

เห็นเจ้าสองมะร่าเริงมากขนาดนั้น ก็ย้อนมาดูคนเรานะ การที่คนเราต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบต่าง ๆ ก็เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นมีความสงบสุข และเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วสงสัยไหม ว่าทำไมคนเราจึงต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์จำนวนมาก แต่สัตว์ไม่ต้อง.. ในความคิดผมเป็นเพราะคนเรานั้นมีความคิดจิตใจที่ซับซ้อนลึกซึ้งกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป และในความคิดลึกซึ้งที่มีอย่างมากมายของสัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์นั้น.. มีทั้งความคิดที่สร้างสิ่งที่สร้างสรรค์ อย่างหนังสือ วรรณกรรม ศาสนา ยารักษาโลก ความรัก ฯลฯ แต่ก็ยังมีความคิดที่ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ อย่างอาวุธ ยาเสพติด การเอารัดเอาเปรียบ การฆาตกรรม สงคราม ฯลฯ พวกนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องมีการสร้างกฎขึ้นมาเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระเบียบ และสงบสุข แล้วถ้าเราคิดต่อไปอีก... บางประเทศมีกฎเกณฑ์สำหรับการอยู่ร่วมกัน ไม่กี่ข้อ แต่ในประเทศเรามีเป็นร้อยข้อ.. เพราะอะไร การที่อยู่ร่วมกันโดยอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อ หมายความว่า ความคิดในด้านร้ายในจิตใจน้อย หรือความเห็นแก่ตัวต่ำ นั่นละมั้ง แล้วประเทศเราละ?
เมื่อเราอยู่ใต้กฎเกณฑ์ แล้วรู้สึกว่าไม่มีความสุขมาก ๆ คงต้องย้อนมองว่า เพราะเรามีความเห็นแก่ตัวสูงเกินไปหรือไม่? เราพร้อมที่จะอยู่ใต้กฎเกณฑ์นั้น ๆ หรือไม่? หากเรายังอยากอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นั้น ๆ แต่ยังลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้ไม่มาก ทำให้เกิดความทุกข์ ลองดูตัวอย่างเจ้าสองมะนะครับ ลองให้อิสระักับตัวเองบ้าง ให้ความสุขกับตัวเองอย่างเต็มที่ ซักช่วงหนึ่ง เพื่อความสุขครับ แต่ต้องไม่ใช่ภายใต้สถานที่ที่มีกฎเกณฑ์นั้น ๆ อย่างเจ้าสองมะ คือเข้าไปในสวน อย่างของคนเรา อาจเป็นการเปลี่ยนสถานที่ ไปเที่ยว หรือไปในที่ ๆ เราไม่รู้จักบ้าง จิตใจก็จะได้รับการปลดปล่อย อาจจะทำให้ส่วนอื่น ๆ ของกฎเกณฑ์ที่เราเบื่อหน่ายอยู่ก็ได้นะ
แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้คือ การที่เราเปลี่ยนสถานที่ หมายความว่า เราเปลี่ยนการอยู่ภายใต้กฎอย่างหนึ่ง ไปสู่ภายใต้อีกกฎหนึ่งเสมอ ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีกฎเกณฑ์ครับ อย่างการอยู่ร่วมกันของสัตว์ ย่อมต้องมีจ่าฝูง และมีการขับไล่ลูกตัวผู้ออกนอกฝูง ทั้งนี้ เพื่อให้สายพันธุ์นั้น ๆ มีความแข็งแรงอยู่เสมอ มันอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เพื่อความอยู่รอดของสายพันธุ์ แต่คนเราข้ามสิ่งเหล่านี้มาแล้วครับ เรื่องส่วนนี้ผมมีแนวความคิดค่อนข้างเยอะ แล้วจะแยกออกมาเล่าให้ฟังต่างหาก... คนเรานั้นก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอครับ...

ถ้าหากเครียดกับการอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดิม ๆ ลองเปลี่ยนสถานที่ดูบ้าง ความคิดอาจจะพัฒนาขึ้น..
แต่อย่างลืม แม้เราจะหลีกหนีจากกฎเกณฑ์ที่เราไม่ชอบได้ แต่ก็ต้องไปอยู่ภายใต้อีกกฎเกณฑ์หนึ่งอยู่ดี
แม้แหวกกฎเกณฑ์เดิม ๆ ได้ ยังต้องพบกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ..

ทำจิตใจให้เข้าใจถึงกฎเกณฑ์ พักผ่อนซะบ้าง ลดความเห็นแก่ตัวลงอีกซักหน่อย อยู่ที่ไหนก็มีความสุขครับ

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

สุขอย่างหมา ๆ


เช้านี้ไปกดเงินจากตู้ ATM ที่ตลาดน้อย บังเอิญไปเจอเจ้าหมาตัวนี้เข้า สีสวยดีนะ ชอบหมาสีนี้ ดูกวน ๆ ดีด้วยนะ แต่ แหม! ใครนะช่างไปเขียนคิ้วให้กับมันได้ เห็นแล้วก็ตลกดี ระหว่างที่รอคิวกดเงิน เจ้าหมาคิ้วนี่มันก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ ตู้ ATM แล้วก็ค่อย ๆ หลับ อย่างสบายอารมณ์ มันคงมีความสุขของมันไปนะ เห็นแล้วก็ย้อนมามองถึงคนเรา จะมีซักกี่คนที่สามารถจะมีความสุขได้อย่างนี้ ถึงจะโดนใครเขากลั่นแกล้ง รังแก ก็ไม่ต้องโกรธหรืออารมณ์เสียมากมาย ไม่ต้องเก็บมาคิดให้เสียอารมณ์ เสียความรู้สึก เสียจิต พอง่วงก็หาที่นอน แห้ง ๆ สบาย ๆ นอนหลับอย่างเป็นสุข ไม่ต้องเกิดอาการนอนไม่หลับ เพราะมั่วแต่คิด คิดแก้แค้น คิดจะเอาคืน คิดจะแกล้งเขากลับบ้าง พอไม่เก็บเอาเรื่องที่ไม่เป็นเหตุให้ยินดีเอามาคิด ก็สามารถนอนหลับอย่างเป็นสุขได้แล้ว...

ความสุขอย่างหมา ๆ นี่หาได้ไม่ยากหรอกครับ เพียงรู้จักการให้อภัยก็ได้แล้ว

ลองถามตัวเองดูซิ ว่าอยากจะนอนหลับอย่างเป็นสุข หรือนอนไม่หลับเพราะความคิดร้ายมันคุอยู่ในใจ
ผมน่ะมีความสุขอย่างหมา ๆ อยู่แล้ว อยากมีความสุขอย่างผมไหม?

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

บ่อน้ำในใจ

เรื่องสั้น ๆ ที่จะเล่าให้ฟังก็คือ หลังจากสัปดาห์ก่อนที่ผมทำบ่อน้ำใหม่ ซึ่งก็กลายเป็นที่เล่นสนุกของเจ้าสองมะที่บ้านไป บ่อก็เลยไม่ได้สวยได้ใสอย่างที่ควรจะเป็น หลาย ๆ คนก็ให้คำแนะนำต่าง ๆ นา ๆ เช่น หารั้วมาล้อมซิ เจ้าสองมะ จะได้เข้าไปกวนไม่ได้ แน่นอนผมก็เข้าไปลำบากด้วย หรือ หาตะแกรงลวดมาคลุมอ้างซิ หรือ งั้นก็หาตะกร้อมาใส่ปากเจ้าสองมะ มันจะได้ไม่เล่นไม่กัด ขอบคุณทุกคนที่เสนอวิธีการนะครับ ถ้าถามว่าผมจะพยายามทำอะไรหรือไม่ ผมคงไม่ทำอะไรนอกจากทำให้สะอาดอยู่เสมอครับ
และสะอาดโดยที่ไม่มีใครเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นผม, เจ้าสองมะ หรือปลาในบ่อ สกปรกเป็นเพียงคราบที่อยู่ด้านนอกครับ
ผมพอใจแล้วที่มีบ่อนี้ ถึงมันจะกลายเป็นที่เล่นของเจ้าสองมะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมทุกข์ร้อนแต่ประการใด

ถึงน้ำในบ่อจะขุ่น เพียงอย่าให้บ่อน้ำในใจเราขุ่น ก็เพียงพอแล้วครับ

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เด็กดื้อ

เพิ่งอ่านเรื่อง "วาสิฏฐี" ที่เรียบเรียงโดยเสถียรโกเศศ และ นาคะประทีป จบ
เพื่อตอบคำถามตัวเองที่ว่า ทำไมจึงมีคำพูดที่ว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม"
หนังสือเล่มที่เอามาอ่านเป็นหนังสือที่เคยเป็นแบบเรียนวรรณคดีไทย ชั้น ม.3 เมื่อ 30 ปีก่อน
สมัยผมเรียน ม.3 ก็ไม่ได้เรียนแล้วนะ

ก่อนจะอ่านคิดว่าเรื่องของกามนิตและวาสิฏฐี เป็นแค่นิยามรัก ๆ ใคร่ ๆ ทั่วไป
พออ่านเล่มนี้แล้วถึงรู้ว่าเป็นเรื่องที่มีคติธรรมอยู่เต็มไปหมด ส่วนที่เป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มีอยู่น้อยเดียวเอง

โดยทั่ว ๆ ไปหนังสือเล่มนี้แสดงภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่ร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดีนะ
เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแค่ไหน เพราะมีการแปลจากต้นฉบับไปเป็นภาษาเยอรมัน แล้วแปลจากเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษ แล้วท่านเสถียรโกเศศ และ ท่านนาคะประทีป ก็แปลมาเป็นภาษาไทยอีกที

ในหนังสือบรรยยถึงการเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ระบบวรรณะ ความเป็นอยู่ของชนชั้นสูง อย่างวรรณะพราหมณ์, กษัตริย์ และแพศย์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงวรรณะที่ต่ำที่สุดคือจัณฑาล ความเชื่อเกี่ยวกับแม่น้ำคงคา นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองคุลิมาล, พระสารีบุตร, พระอานนท์ และพระพุทธเจ้าสมณโคดมศากยบุตร ซึ่งก็ทำให้เกิดความรู้กับผมเองเพิ่มขึ้นอีกมาก ใครที่ไม่เคยอ่านก็ลองหามาอ่านดูนะครับ

หลังจากที่อ่านจนจบ และทำความเข้าใจได้พักหนึ่ง ก็เลยพอจะเข้าใจได้ว่าคำว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" น่าจะมาจากการกระทำของตัวกามนิตเอง เมื่อผิดหวังจากการที่ไปเห็นวาสิฏฐีกำลังเข้าพิธีแต่งงานกับสาตาเคียรบุตร แล้วกลับมายังบ้านเมืองตนเองตั้งหน้าตั้งตาค้าขายจนร่ำรวยมหาศาล
แล้วเกิดนิสัยด่วนได้ อยากได้อะไรก็หาซื้อมาในทันที ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือสิ่งของ รวมไปทั้งเมื่อพ่อหาผู้หญิงมาให้เพื่อแต่งงานก็ยังจัดทันทีอีก คงจะสามารถถือเอาการกระทำแบบนี้เป็นที่มาของคำว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" ได้ละมั้ง

นอกจากนี้ยังมีเรื่องคำสอนที่น่าประทับใจที่พระพุทธเจ้าแสดงให้กับกามนิต ตอนที่กามนิตออกจาริกแสวงบุญ และต้องการจะเดินทางไปพบพระพุทธเจ้าเพราะได้ยินมาว่าเป็นผู้รู้แจ้ง น่าจะให้คำตอบแก่การจาริกของตนได้ แล้วบังเอิญไปพักอยู่ที่เดียวกับพระพุทธเจ้าที่บ้านของช่างปั้นหม้อในคืนหนึ่ง แล้วเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้าเอง กามนิตจึงพยายามถามเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าการแสวงหาที่สิ้นสุดคือความสุขใช่ไหม

แต่โดยคำสอนของพุทธนั้นคือการแสวงหาความหลุดพ้น ไม่ใช่หาความสุข รวมไปถึงการที่กามนิต นั่งคุยและฟังการแสดงธรรมจากพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ และคิดว่าต้องฟังจากปากของพระพุทธเจ้าเอง จนพาตัวเองไปพบจุดจบในที่สุด เรื่องที่พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างมาเพื่อสอนให้กามนิต

รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เขาแสวงหาคือเรื่องของเด็กดื้อ ซึ่งผมขอเล่าสั้น ๆ แบบสรุปใจความก็แล้วกัน
เรื่องก็คือ

เด็กคนหนึ่งเป็นทุกข์จากอาการปวดฟัน แล้วไปหาหมอ หมอก็ว่าต้องถอนออกเท่านั้น ความเจ็บปวดก็จะหายไป แต่เด็กไม่ยอมและแย้งว่าในเมื่อตนพบความทุกข์จากความเจ็บปวดแล้ว จึงอยากได้ความสุขเพื่อหยุดความทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่นี่ ว่าแล้วเด็กคนนั้นก็ไปหาคนเล่นกล ซึ่งรับปากว่าเขาสามารถให้ความสุขแล้วทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้ เมื่อเก็บเงินเด็กไปแล้ว เขาก็ทำให้เด็กเพลินมีความสุข จนลืมความเจ็บปวด แต่ไม่นานก็เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมาอีก

และในขณะที่ผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งมีอาการปวดฟันเหมือนกัน เมื่อไปหาหมอตรวจก็เสนอทางแก้ และชายผู้นั้นก็ทำ ความเจ็บปวดก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการดับทุกข์ นะครับ เมื่อเกิดทุกข์ ก็ให้ดับที่เหตุ ถ้าปวดฟัน ถอนออกก็หายปวด แต่หากยังดื้อดึงหาวิธีอื่น ๆ มาเพิ่มความสุขให้ตัวเอง โดยไม่ดับทุกข์ที่ต้นเหตุ ความทุกข์ก็จะยังวนเวียนกลับมาหาเราเสมอ เหมือนกับเด็กดื้อคนนั้น

ผมเคยบอกแล้วว่าผมในตอนนี้เป็นคนที่มีความสุข อาจเป็นเพราะผมหาทางดับทุกข์บางอย่างที่ต้นเหตุไปได้บ้าง แต่ยังไงผมก็ยังเป็น "เด็กดื้อ" ในหลาย ๆ เรื่องอยู่ดี เพียงแต่คงจะน้อยเรื่อง เลยรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่ามั้ง

แล้วพวกคุณละเป็น "เด็กดื้อ" กันมากแค่ไหน

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผมเป็นคนที่มีความสุข

หรือจะพูดให้ถูกคงต้องเรียกว่า ผมในเวลานี้ เป็นคนที่มีความสุข
ความสุขยังไงน่ะเหรอ ความสุขนั้นมันอยู่ที่ใจนะครับ หากคิดว่าเป็นความสุข มันก็เป็นความสุขแล้วละครับ
มีบ้านหลังเล็ก ๆ มีแฟนที่น่ารัก มีหมาตลก ๆ มีพ่อแม่พี่น้องที่เข้าใจ มีเพื่อน ๆ ที่รักกันดี แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
เมื่อก่อนนี้ ผมเอาเป็นคนที่ไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ในใจคิดว่ามีความสุขก็ได้นะ

ไม่เคยอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะไม่อยากผ่อนไม่อยากเป็นหนี้ แต่กินเหล้า เที่ยวเตร่ ใช้จ่ายซะ แบบว่าใจใหญ่ หนี้บัตรเครริตพุ่งกระฉูด ตรงไหนเป็นความสุขที่ไม่อยากเป็นหนี้ มันก็เป็นหนี้ เหมือนกันนั่นแหละ
เมื่อเที่ยวมาก ๆ ดื่ม มาก ๆ มันก็ทำให้ใจของเรามันเป็นไปตามนั้นด้วย โดยเห็นว่ามันเป็นความสุข ที่ได้เที่ยว ได้ดื่ม แล้วด้วยงานที่ทำต้องเดินทางบ่อย ๆ ทั่วประเทศ แล้วบางครั้งก็ต่างประเทศมันก็เลยยิ่งแล้วใหญ่ ตื่นตา ตื่นใจ ไปกับสถานที่ใหม่ ๆ เสมอ

ไม่เคยอยากมีครอบครัว เพราะทะนงตัวว่าสามารถหาแฟนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้คารมดี แต่ดวงดีเรื่องผู้หญิง ต้องบอกไว้ก่อน เดี๋ยวใครอ่านแล้วจะคิดว่าหลงตัวเอง ซึ่งเมื่อก่อนนี้ก็คงหลงตัวเองจริง ๆ นั่นแหละ เคยคบผู้หญิงทีละหลายคน คุณว่ามีความสุขไหม กับการที่ต้องไปดูหนังเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ 3 รอบ 4 รอบ กับแฟน ๆ แต่ละคน แล้วยังพาลทำให้เราเป็นคนขี้หึง ขี้ระแวงอีก เพราะว่าเราคบหลายคน แล้วคนที่คบกับเราละ เพราะเราทำเราจึงคิด เพราะเราเป็นเราจึงเห็น ก็กลายเป็นปัญหาพ่วงมาเป็นการที่ไว้ใจคนยากอีก เฮ้อ... แต่ผมก็เป็นคนที่ไม่เคยเห็นผู้หญิง เป็นสินค้านะครับ ไม่เคยไปซื้อบริการ ไม่เคยสนับสนุน แต่ไม่ได้ดูถูก หรือคบไม่ได้

วันนึงเรื่องทั้งหมดที่เคยเห็นว่า ดี ว่าสนุก ว่ามีความสุข ก็เปลี่ยนไป หมายถึงว่าวันนึงก็คิดเลยนะ แล้วก็เลยบอกกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้ายังเคลียร์หนี้บัตร ไม่หมด ก็ ไม่กินเหล้า
แล้วก็เริ่ม คิดเรื่องปลูกบ้าน โชคดีที่มีที่ดินที่พ่อแม่ให้ไว้ เลยปลูกบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ แค่ถมดิน ก็หมดเป็นแสน สองแสนแล้วนะ นั่นแน่ คนที่อ่านน่ะ อย่าคิดว่าผมรวยนะ ถ้าคิดแสดงว่าคุณคิดกันผิด ซะแล้ว ผมเป็นแค่คนธรรมดา พอมีพอกิน มีพ่อเป็นทหารชั้นประทวน กับแม่ที่เป็นชาวสวน เงินเดือนก็ปานกลาง ปลูกบ้านผ่อนกัน 30 ปีน่ะ เดินเรื่องทุกอย่างเองหมด ตั้งแต่แบบบ้าน ขออนุญาตปลูก ขออนุญาตกู้เงิน เดี๋ยวค่อยเขียนให้อ่านกันวันหลัง ปวดหัวอยู่กับการปลูกบ้าน 8 เดือน พอบ้านเสร็จ ก็รู้สึกดีขึ้นมาก ๆ แฟน, ครอบครับ, เพื่อน ๆ คอยให้กำลังใจตลอด พอบ้านเสร็จ เลยเปลี่ยนสถานะแฟนมาเป็นคู่ชีวิตซะเลย

อะไร อะไร ที่เคยทำให้ชีวิตวุ่นวาย ก็น้อยลง
วุ่นวายน้อยลง จิตใจก็สงบขึ้น มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น
มองโลกในแง่ดีมากขึ้น

เหล้านี่ กินเข้าไปเช้าก็ปวดหัว แต่ยังอยู่ในวงเหล้าได้เพราะบรรยากาศมันสนุก แต่กินน้อยลงมาก ๆ
เที่ยวกลางคืนนี่แทบไม่ไป เพราะขี้เกียจ แล้วเคยเห็นคนแก่ หรือคนจรจัด ไม่มีที่อยู่ที่เขากินกันไหม?
เห็นแล้วไม่อยากไปเที่ยวกลางคืน กินของแพงๆ เพราะเห็นความแตกต่างระหว่างโลก เฮ้อ...

ผมเป็นคนที่ชอบต้นไม้ แล้วก็ธรรมชาติมาก ทีค่บ้านปลูกกล้วยไม้ กับต้นไม้ไว้เยอะแยะ จนแฟนแซวว่าเป็นสวนพฤกษศาสตร์ ไปแล้ว พอเลี้ยงหมา หมาเด็กมันก็กัดเล่นซน ไปตามประสา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงหงุดหงิดตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ ก็แค่คิดว่า มันซนดีจริง ๆ เดี๋ยวค่อยปลูกเอาใหม่ ซึ่งคิดอย่างนี้ ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นนะ

ผมเป็นคนชอบถ่ายรูป แล้วก็ถ่ายรูปมานานแล้ว เป็นสิบ ๆ ปีละมั้ง พอโลกเปลี่ยนมาเป็นยุคดิจิตอล กล้องดิจิตอล ความอยากก็บังเกิดอีก แต่ตอนนี้คิดว่าถ้าจะเอากล้องตัวใหม่ ถ้าไม่ได้ซื้อ Leica M8 ด้วยเงินสด ไม่ซื้อ คิดแล้วก็สบายใจ แล้วอีกอย่างก็ถ่ายรูปมาเยอะ บอกกับใคร ๆ ได้แล้วว่า กระบี่มันอยู่ที่ใจ กล้องอะไรก็ได้ ถ่ายได้ทั้งนั้นแหละ แค่นี้ ก็มีความสุขแล้ว

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ มีหนังสืออยู่ 2 ตู้เต็ม ๆ ซึ่งอ่านแล้วเกือบทั้งหมด เมื่อก่อนนี้ พอเห็นหนังสือใหม่ อ่านคำนำ ถ้าถูกใจก็ซื้อเลย เดี๋ยวนี้ ค่อย ๆ อ่านคร่าว ๆ ถ้าถูกใจค่อยซื้อ ชีวิตเหมือนจะช้าลง แต่เป็นสุขมากขึ้น

มีความรู้สึกว่าช่วงนี้ ชีวิตช้าลง ทำให้มองเห็นโลกกว้างขึ้น
ความอยากได้อยากมีต่ำ จิตใจสงบ ความสุขก็มาเอง