วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลำปาง-เชียงใหม่ ในวันฝนพรำ

ได้ไปเที่ยวบ้างก็ดีนะ ตามประสาคนที่เคยเดินทางเกือบ 6 เดือนต่อปี.. พอมาอยู่ติดที่มาเป็นปี เลยต้องมีความรู้สึกอยากออกไปท่องโลกบ้างนะ
คราวนี้เลยไปลำปางกับเชียงใหม่ซัก 3 วัน ไม่มีการวางแผนก่อนว่าจะไปไหนบ้าง แค่จองที่พักกับตั๋วรถไว้.. ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าจะไปไหนบ้าง
ตอนไปก็นั่งรถไปบริษัทฯ นึง โยกไป โยกมา หลับไม่ค่อยลงเลย พอถึงลำปาง นั่งรถเหลืองเข้าเวียง คนละซาว(ยี่สิบ)บาท รถเตี้ยไปหน่อยก็เลยต้องเจ็บหัวหลายทีหน่อย เข้าเวียงได้ ไกด์ส่วนตัว เด็กถิ่น ก็พาหลงซะตั้งแต่แรก พาไปเที่ยวตลาดออมสิน แต่เขาย้ายไปอีกถนนแล้ว
เลยเดินหาข้าวเช้ากินกัน ได้กินข้าวมันไก่ประตูชัย ประเดิมข้าวเช้ามื้อแรกที่ลำปาง แล้วก็แวะไปไหว้ศาลหลักเมืองลำปาง หลักเมืองจังหวัดเดียวที่มีสามเสาในศาลเดียวเลย 
ไหว้เสร็จก็สมใจเลย เจอร้านนั่งกินกาแฟตอนเช้า นั่งรอรถพี่มารับไกด์เข้าเยี่ยมบ้าน พอเย็นก็กลับเข้าเมืองเข้าที่พักเป็นเกสท์เฮาส์ ใกล้ ๆ ถนนคนเดินที่กำลังดัง กาดกองต้า
อารัมภางค์ที่พักที่ราคาสมเหตุสมผล และสวยจริง ๆ ไว้คงต้องแวะไปอีกละ เข้าที่พัก ฝนตก ออกมากินข้าวต้มบาทเดียว แล้วเดินเที่ยวแถว ๆ นั้น ถนนตลาดเก่า ไปถึงสพานรัษฎาภิเศก (เขาเขียนสะพาน ว่า สพาน จริง ๆ นะ) แล้วมาเดินถนนคนเดินกาดกองต้า ท่ามกลางฝนปรอย ๆ พร้อมกับร้านที่ตั้งตั้งไม่กี่ร้าน เลยไม่คึกคักเท่าที่ควรละมั้ง แวะร้านป้าป๋อง กินข้าวซอย กับน้ำเงี้ยวกันซะหน่อย เดินดู ๆ แล้วก็กลับเข้าที่พัก
เช้ามาก็เดินออกมาข้ามสพานรัษฎาภิเศก ไปตลาดเช้า แต่ไม่มีกาแฟกิน เลยกลับไปกินที่ตลาดแรกที่มาถึงลำปางอีกที แวะเที่ยววัดเกาะ แถวกาดกองต้า ที่ไกด์ท้องถิ่นบอกว่า ถึงน้ำจะท่วมลำปางแค่ไหน วัดนี้ก็ไม่จมเหมือนกับจะลอยขึ้นได้ เรื่องนี้ก็คงต้องรอการพิสูจน์กันต่อไป
กลับเข้าที่พัก เก็บของ ไปเที่ยววัดศรีชุม วัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สวยงาม แต่เสียดายเรื่องความสะอาดนะ พื้นไม้บนวิหารเหนียวเชียว แล้วก็เสียดายที่กุฏิเก่าโดนไฟไหม้ไปเมื่อต้นปี การจัดการของวัดอาจจำเป็นต้องมีการช่วยเหลือจากท้องถิ่นมากกว่านี้ละมั้ง
จากวัดศรีชุม มาต่อที่วัดศรีรองเมือง วัดพม่าอีกแห่ง ที่สวยไม่แพ้วัดศรีชุม แต่สะอาดสะอานกว่า แวะกินกาแฟที่แถวแยกหอนาฬิกา แล้วก็ไปต่อที่เชียงใหม่กันเลย
ที่พักในเชียงใหม่ก็ บ้านอ้ายหล้า ใกล้สันติธรรม อยู่หลัง กาด (ตลาด)ธารินทร์ สวยและถูก แต่อาจเดินทางเองลำบากนิดนึงเลยยืมมอเตอร์ไซค์พี่เขามาใช้ก่อน
ด้วยความที่ไม่มีแผนมาก่อน เลยไปเริ่มต้นที่วัดโลกโมฬี ที่เคยแต่ผ่าน ไม่เคยเข้าไปซะที เมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่ผิดหวังเป็นวัดที่สวยงามจริง ๆ ต่อด้วยวัดพระสิงห์ไหว้พระเสร็จเดินมาตามถนนคนเดิน เข้าวัดพันเต้า แล้วก็ต่อด้วยวัดเจดีย์หลวง
วัดพระสิงห์ เข้ามาหลายครั้งแล้ว ก็ยังประทับใจอยู่เหมือนเดิม ส่วนวัดพันเต้า เข้าครั้งแรก สวยงาม วัดเจดีย์หลวง เคยมาแต่ช่วงทานขันดอก ตอนกลางคืนแต่คราวนี้มาตอนสว่าง เดินซะรอบเลย เจดีย์หลวง (ใหญ่) จริง ๆ
นึกภาพตอนที่ยังไม่ถล่มแล้วคงสวยงามและยิ่งใหญ่มากแน่ ๆ จากวัดเจดีย์หลวง กลับเข้าที่พัก ฝนตกหลัก รอฝนซ่า ก็ออกมาเที่ยวถนนคนเดิน ท่ามกลางสายฝน (อีกแล้ว) เน้นการกินเป็นหลัก เดินจนสี่ทุ่ม ถึงกลับได้..
ให้ทิป ลุงยามไปซาวบาท แกเช็ดเบาะรถให้ตลอด เช้ามาฝนยังไม่หยุด ออกไปกินโจ๊กสมเพชร แล้วก็ไปไหว้ครูบาศรีวิชัย ที่ตีนดอยสุเทพ ต่อด้วย วัดสวนดอก วัดสวย ๆ ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว เป็นวัดที่เก็บสถูป ของเจ้าทางเหนือไว้ด้วยนะ
แวะไป กาดต้นพยอม ซื้อปลาดุก ไปปล่อยที่บ่อน้ำวัดอุโมงค์ วัดที่สงบ งาม ธรรมชาติ อันเป็นวัดเก่าแก่ แล้วท่านพุทธทาส กับท่านปัญญา มาริเริ่มไว้ ชอบวัดนี้ที่สุด...
จากวัด ก็กลับเข้าที่พัก เก็บข้าวของเอาไปฝากที่ห้องพี่.. เอารถต่อไปแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น วังสิงห์คำ อร่อยดีนะ แล้วก็ไปต่อที่วัดเกตุ วัดเก่าแก่ ที่สวยอีกแบบหนึ่ง เป็นศิลปะล้านนาผสมจีนนะ แถมด้วยพิพิธภัณฑ์ของวัด ได้คุยกับลุงที่ดูแลอยู่
พร้อมกับคำพูดที่ว่า "คนสมัยนี้เห็นแต่มูลค่าแล้ว เขาไม่เห็นคุณค่ากัน" ก็สะท้อนใจกันไป ... จากวัดเกตุ ก็ไปนวดตัวซะหน่อย ที่หน้าวัดบวกครกน้อย ที่ประจำที่ไปเชียงใหม่เมื่อไหร่ ต้องแวะ
แล้วก็กลับออกมากินกาแฟกับเค้กอร่อย ๆ ที่ร้าน Love at First Bite พร้อมกับฝนตกหนักและน้ำท่วมตอนกลับ เอารถไปคืน เก็บกระเป๋า แล้วก็ขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ รถขากลับรู้สึกว่าดีกว่าขาขึ้นนะ ก็มันคนละบริษัทฯ กันนี่ จะเหมือนกันได้ยังไง
ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ..
ทั้งหมดนี่เป็นแค่บันทึกการเดินทางครั้งหนึ่ง แต่เป็นการเดินทางที่ประทับใจ
โดยปกติ ในการทำงานหรือการเดินทางไปไหน ผมมักเป็นคนที่คิดแผนไว้ สองสามขั้นเสมอ มีแผนรองรับ แผนเเพื่อเรื่องที่คาดไม่ถึงเสมอ..

ได้เดินทางกับคนรักแบบที่คิดไว้เสมอ ๆ ไม่ต้องมีแผนมากมาย ปล่อยไปตามโอกาส ถึงจะพบกับฝนตกเกือบตลอดเวลา ก็ไม่ได้เสียความรู้สึกในการเที่ยว เพราะไม่มีแผนอะไรและมีคนที่รักอยู่ด้วย ต้องกลัวอะไรอีกละ ไม่มีแผนก็ไม่ผิดหวัง สนุกสนานได้ตามอัตภาพ

บันทึกครั้งนี้สอนว่า คนเราสนุกได้เสมอ ถ้าใจเรามีความสุขนะ 

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วุฒิฯ สำคัญจริง?

เผลอนิดเดียวจะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ฤดูร้อนปีนี้เหมือนจะมีอยู่ไม่กี่วัน ที่ร้อนจริง ๆ นอกนั้นเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝน อากาศนี้มันแปรปรวนกันใหญ่
คงต้องดูกันต่อไปว่าฟดูฝนจะเป็นยังไงบ้าง.. ผลจากซึนามิและแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีผลทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก แล้วยังทำให้เกาะญี่ปุ่นจมลงเกือบหนึ่งเมตร
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังกระจายไปทั่วโลก ก็คงต้องดูกันต่อไปละนะ

เมื่อวานมีข่าวเกี่ยวกับพระอีกแล้ว อย่างว่าเมื่อมีคนนับหน้าถือตา หากหลงระเริงไปกับมันก็อาจทำให้เดินหลงทางได้.. ทั้งเณรฟ้องพระ แล้วให้บังเอิญว่าพระมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกใบประกาศณียบัตรปลอม
ทำให้เกิดความสงสัยในความคิดของตัวเองในส่วนของการเรียนอีกแล้ว การเรียนสูง ๆ สำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ? สำคัญขนาดยอมโกง ยอมโกหก เพื่อให้ได้มาเลยเหรอ?
ส่วนตัวที่เคยสัมผัสการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีมาบ้าง เมื่อเข้าไปลองศึกษาดูกลับกลายเป็นรู้สึกไม่ชอบสังคมของผู้ที่เข้าไปเรียน ลองเปลี่ยนที่ใหม่ก็รู้สึกเหมือนกัน
ทัศนคติของผู้ที่เรียนคืออะไร.. โดยตัวผมเอง ผมเรียนเพราะความอยากรู้ ทำให้ต้องเปลี่ยนที่เรียนหลายครั้ง เพราะเมื่อเข้าไปเรียนแล้วรู้สึกว่าไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม
จนลงตัวที่ที่เรียนจบ เมื่อก้าวไปอีกก้าว นอกจากเรื่องความรู้ที่คาดหวังจากการเรียนแล้ว.. ทัศนคติของผู้ที่เข้ามาเรียนส่วนใหญ่ยังเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับผมอย่างมาก
เรียนเพื่ออะไร? เอาวุฒิไปทำงาน, เอาวุฒิไปเป็นอาจารย์, เอาวุฒิไปเพิ่มเบี้ยเลี้ยง, ว่าง ๆ ยังไม่อยากทำงาน,  อยากเข้าทำงานแล้วระดับสูง ๆ เลย ฯลฯ ไม่มีใครซักคนที่รู้สึกว่ามาเรียนเพื่อเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์
ด้วยทัศนคติแบบนี้ ค่านิยมแบบนี้ เลยทำให้บ้านเมืองเราเจริญช้ากว่าที่อื่นละมั้ง เพราะมีคนตำแหน่งสูง ๆ ที่จบสูง ๆ แต่ทำงานไม่เป็น หรือไม่ก้ไม่รู้จักในงานที่ทำดี แต่คิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าต้องปรับปรุงอย่างไร, มีอาจารย์ที่สอนไปวัน ๆ เพื่อกินชั่วโมงสอน,
อาจารย์ที่สอนแบบนกแก้วนกขุนทอง ท่องจำมาจากตำราอื่น ๆ โดยไม่พิจารณา, ฯลฯ แล้วบ้านเมืองเราจะเจริญไปได้อย่างไร
วุฒิการศึกษาสำคัญถึงขนาดที่ยอมโกง เพื่อซื้อวุฒิการศึกษาเพื่อกรุยทางของตัวเองไปสู่การทำงาน หรือการยยอมรับทางสังคม ขนาดวุฒิการศึกษาของตัวเองยังเอามาโดยวิธีการธรรมดาไม่ได้ ต้องซื้อเอามา แล้วคนแบบนี้จะทำประโยชน์ต่อสังคมจริง ๆ ได้อย่างไร?
ผมรู้จักผู้ที่เรียนสูง ๆ จบสูง ๆ หลายคน ที่ไร้ความสามารถ หรือมีบ้างแต่น้อย และโดยส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเก่งกว่า สูงกว่าผู้อื่นเสมอ แต่เมื่อลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ มักจะประสบความล้มเหลว แล้วอธิบายว่าเป็นเพราะปัจจัยภายนอก
อาจารย์หลาย ๆ ท่านที่อธิบายเรื่องเศรษฐกิจ ก็ไม่เคยทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จเลย อาจารย์ทางงเทคโนโลยีหลายท่านก็มีเพียงชื่อแต่ยังไม่เคยค้นคว้าจริง ๆ จัง ๆ จนตอบโจทย์ของเทคโนโลยีนั้น ๆ ได้เลย
ทัศนคติต่าง ๆ อาจเป็นผลมาจากการอบรมสั่งสอน หรือการมีปมใด ๆ บ้างอย่างในจิตใจ ทำให้ต้องหาเรื่องอื่น ๆ เพื่อมาปิดปมของตัวเอง
ด้วยสิ่งที่พบมาด้วยตัวเองทำให้ผมมีความรู้สึกว่าไม่อยากไปสัมผัสสังคมแบบนั้น เลยใช้วิธีอ่านหนังสือเอาเอง.. ไว้เขามีการสอบเทียบเมื่อไหร่ คงได้ไปลองละนะ
ทังหมดทั้งมวลที่เขียนมาแค่อยากจะบอกว่าเมื่อศึกษาอะไร ให้หวังที่ความรู้ที่จะได้รับนะครับ อย่าหวังแต่วุฒิการศึกษา
ใครที่ทำดีอยู่แล้วก็แสดงความยินดีด้วย ส่วนใครที่ยังมีทัสนคติแบบที่ผมเขียนก็ลองคิดดูใหม่ก็ได้นะ

การศึกษาทำให้คนมีความรู้มากขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้คนดีขึ้น หากคนนั้น ๆ ไม่วิเคราะห์ พิจารณา ถึงสังคม สิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบข้างอย่างไม่มีอคติ
แล้วการศึกษาสูง ๆ ก็ใช่ว่าจะทำให้คน ๆ นั้นมีความรู้สูงไปด้วย..
อย่าเป็นผู้มีการศึกษาสูง แต่มีจิตใจต่ำ ๆ กันนักเลยนะ โลกนี้จะได้น่าอยู่มากขึ้น