วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เด็กดื้อ

เพิ่งอ่านเรื่อง "วาสิฏฐี" ที่เรียบเรียงโดยเสถียรโกเศศ และ นาคะประทีป จบ
เพื่อตอบคำถามตัวเองที่ว่า ทำไมจึงมีคำพูดที่ว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม"
หนังสือเล่มที่เอามาอ่านเป็นหนังสือที่เคยเป็นแบบเรียนวรรณคดีไทย ชั้น ม.3 เมื่อ 30 ปีก่อน
สมัยผมเรียน ม.3 ก็ไม่ได้เรียนแล้วนะ

ก่อนจะอ่านคิดว่าเรื่องของกามนิตและวาสิฏฐี เป็นแค่นิยามรัก ๆ ใคร่ ๆ ทั่วไป
พออ่านเล่มนี้แล้วถึงรู้ว่าเป็นเรื่องที่มีคติธรรมอยู่เต็มไปหมด ส่วนที่เป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มีอยู่น้อยเดียวเอง

โดยทั่ว ๆ ไปหนังสือเล่มนี้แสดงภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่ร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดีนะ
เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแค่ไหน เพราะมีการแปลจากต้นฉบับไปเป็นภาษาเยอรมัน แล้วแปลจากเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษ แล้วท่านเสถียรโกเศศ และ ท่านนาคะประทีป ก็แปลมาเป็นภาษาไทยอีกที

ในหนังสือบรรยยถึงการเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ระบบวรรณะ ความเป็นอยู่ของชนชั้นสูง อย่างวรรณะพราหมณ์, กษัตริย์ และแพศย์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงวรรณะที่ต่ำที่สุดคือจัณฑาล ความเชื่อเกี่ยวกับแม่น้ำคงคา นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองคุลิมาล, พระสารีบุตร, พระอานนท์ และพระพุทธเจ้าสมณโคดมศากยบุตร ซึ่งก็ทำให้เกิดความรู้กับผมเองเพิ่มขึ้นอีกมาก ใครที่ไม่เคยอ่านก็ลองหามาอ่านดูนะครับ

หลังจากที่อ่านจนจบ และทำความเข้าใจได้พักหนึ่ง ก็เลยพอจะเข้าใจได้ว่าคำว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" น่าจะมาจากการกระทำของตัวกามนิตเอง เมื่อผิดหวังจากการที่ไปเห็นวาสิฏฐีกำลังเข้าพิธีแต่งงานกับสาตาเคียรบุตร แล้วกลับมายังบ้านเมืองตนเองตั้งหน้าตั้งตาค้าขายจนร่ำรวยมหาศาล
แล้วเกิดนิสัยด่วนได้ อยากได้อะไรก็หาซื้อมาในทันที ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือสิ่งของ รวมไปทั้งเมื่อพ่อหาผู้หญิงมาให้เพื่อแต่งงานก็ยังจัดทันทีอีก คงจะสามารถถือเอาการกระทำแบบนี้เป็นที่มาของคำว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" ได้ละมั้ง

นอกจากนี้ยังมีเรื่องคำสอนที่น่าประทับใจที่พระพุทธเจ้าแสดงให้กับกามนิต ตอนที่กามนิตออกจาริกแสวงบุญ และต้องการจะเดินทางไปพบพระพุทธเจ้าเพราะได้ยินมาว่าเป็นผู้รู้แจ้ง น่าจะให้คำตอบแก่การจาริกของตนได้ แล้วบังเอิญไปพักอยู่ที่เดียวกับพระพุทธเจ้าที่บ้านของช่างปั้นหม้อในคืนหนึ่ง แล้วเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้าเอง กามนิตจึงพยายามถามเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าการแสวงหาที่สิ้นสุดคือความสุขใช่ไหม

แต่โดยคำสอนของพุทธนั้นคือการแสวงหาความหลุดพ้น ไม่ใช่หาความสุข รวมไปถึงการที่กามนิต นั่งคุยและฟังการแสดงธรรมจากพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ และคิดว่าต้องฟังจากปากของพระพุทธเจ้าเอง จนพาตัวเองไปพบจุดจบในที่สุด เรื่องที่พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างมาเพื่อสอนให้กามนิต

รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เขาแสวงหาคือเรื่องของเด็กดื้อ ซึ่งผมขอเล่าสั้น ๆ แบบสรุปใจความก็แล้วกัน
เรื่องก็คือ

เด็กคนหนึ่งเป็นทุกข์จากอาการปวดฟัน แล้วไปหาหมอ หมอก็ว่าต้องถอนออกเท่านั้น ความเจ็บปวดก็จะหายไป แต่เด็กไม่ยอมและแย้งว่าในเมื่อตนพบความทุกข์จากความเจ็บปวดแล้ว จึงอยากได้ความสุขเพื่อหยุดความทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่นี่ ว่าแล้วเด็กคนนั้นก็ไปหาคนเล่นกล ซึ่งรับปากว่าเขาสามารถให้ความสุขแล้วทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้ เมื่อเก็บเงินเด็กไปแล้ว เขาก็ทำให้เด็กเพลินมีความสุข จนลืมความเจ็บปวด แต่ไม่นานก็เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมาอีก

และในขณะที่ผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งมีอาการปวดฟันเหมือนกัน เมื่อไปหาหมอตรวจก็เสนอทางแก้ และชายผู้นั้นก็ทำ ความเจ็บปวดก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการดับทุกข์ นะครับ เมื่อเกิดทุกข์ ก็ให้ดับที่เหตุ ถ้าปวดฟัน ถอนออกก็หายปวด แต่หากยังดื้อดึงหาวิธีอื่น ๆ มาเพิ่มความสุขให้ตัวเอง โดยไม่ดับทุกข์ที่ต้นเหตุ ความทุกข์ก็จะยังวนเวียนกลับมาหาเราเสมอ เหมือนกับเด็กดื้อคนนั้น

ผมเคยบอกแล้วว่าผมในตอนนี้เป็นคนที่มีความสุข อาจเป็นเพราะผมหาทางดับทุกข์บางอย่างที่ต้นเหตุไปได้บ้าง แต่ยังไงผมก็ยังเป็น "เด็กดื้อ" ในหลาย ๆ เรื่องอยู่ดี เพียงแต่คงจะน้อยเรื่อง เลยรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่ามั้ง

แล้วพวกคุณละเป็น "เด็กดื้อ" กันมากแค่ไหน

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จินตนาการสำคัญกว่าความรู้..

ชีวิตผมมีแต่คำถาม คงเป็นเพราะผมยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะตอบคำถามให้กับตัวเองได้ละมั้ง.
แล้วความรู้คืออะไรละ แล้วพวกคุณเชื่อว่ามีคนที่เป็นพหูสูตร หรือคนที่มีความรู้หลากหลายด้านจริงไหม?
ความรู้ คือการที่คนเราจะเข้าใจในเรื่องอะไรซักเรื่องแล้วนำออกมาใช้ประโยชน์ได้ หรือเป็นแค่ข้อมูลที่กระแสไฟฟ้าในสมองบันทึกลงไปในเซลสมอง
แล้วกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอีกครั้ง เพื่อนำออกมาใช้
ถ้าเป็นอย่างนั้น หมายความว่าคนที่ถูกนับถือว่ามีความรู้มากกว่าคนอื่น คือผู้ที่มีเซลสมองมากกว่าคนอื่นใช่ไหม?
ถ้าอย่างนั้นคนที่อาจจะระบุได้ว่าเป็นพหูสูตร ก็ต้องมีเซลสมองมากขึ้นไปอีกงั้นหรือ?
แล้วที่ไอสไตน์บอกว่า
"Imagination is more important than knowledge"
"จินตการสำคัญกว่าความรู้" เป็นเรื่องจริงหรือ
ไม่ใช่ว่าคนที่มีเซลสมองมากกว่าจะคิดอะไรได้มากกว่าคนอื่น ๆ หรือ?
แล้วจินตนาการคืออะไรละ? คือกระบานการสร้างภาพของสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อย่างนั้นหรือ?
สำหรับผมแล้วจินตการคือสิ่งที่สมองสร้างขึ้นเพื่อพยายามให้คนเราหลุดพ้นจากความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน
เหมือนกับคนบ้าที่ไม่อยู่ในโลกแห่งความจริงอีก แต่เข้าไปอยู่ในจินตนาการของตัวเองตลอดเวลานั่นเอง
และคนธรรมดา เมื่อมีจินตนาการ แล้วไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั่นตลอดเวลา ต่างกันเพียงแค่นี้เอง
ส่วนตัวผมนั่น คิดว่า ไอสไตน์ พูดถูก การทำงานหรือการใช้ชีวิตของผม อาศัยจินตนาการเป็นหลัก
การวางแผนงานล่วงหน้า, การอธิบายข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้, การถ่ายรูป, การปลูกต้นไม้
ทุกอย่างในชีวิตผมใช้จินตนาการนำหน้าเสมอ แล้วค่อยหาความรู้มารองรับเพื่อให้จินตการนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้
จินตการบางอย่างก็สำเร็จ บางอย่างก็ไม่ เนื่องจากความรู้ไม่เพียงพอ หรือคิดจินตนาการล่วงหน้ามากเกินไป
เกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ด้วยขุมความรู้และเทคโนโลยีปัจจุบัน
ปัญหาอยู่ตรงนี้
การนำเสนองานหลาย ๆ อย่างที่เป็นจินตนาการ อาจไม่ได้รับความเห็นชอบ ในเวลานี้ แต่อย่าหยุดที่จะคิด
เพราะหลายครั้ง ที่งานที่ผมคิดไว้ย้อนหลังไป หลาย ๆ ปี ได้รับการยอมรับและนำมาใช้งานในปัจจุบัน
ถ้าคนเราไม่มีจินตนาการ จะสามารถพัฒนาความรู้ได้หรือ นักวิทยาศาสตร์ คิดได้เองก่อนหรือ ว่ามีทฤษฎีนั้น ทฤษฎีนี้อยู่จริง
ต้องจินตนาการก่อนทั้งนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วค่อยหาวิธีพิสูจน์ว่าจริงทีหลัง และหากพิสูจน์ไม่ได้ ก็จะบอกว่าสิ่งนั้น ๆ ไม่มีอยู่จริง
อันนี้เป็นข้อด้อยของวิทยาศาสตร์เลยนะ เพราะการที่พิสูจน์ไม่ได้ว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่มีอยู่จริง อาจเป็นเพราะองค์ความรู้และเทคโนโลยียังไม่เพียงพอก็เป็นได้
ผมเชื่อว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่ความรู้จำเป็นต้องศึกษาตลอดเวลา เพื่อทำให้จินตนาการเป็นจริงได้
ถ้ามีแต่จินตนาการแต่ไม่ทำให้เป็นจริง ก็คล้าย ๆ คนบ้าที่อยู่เพียงในจินตนาการของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ทำจินตนาการของตัวให้เป็นจริง เพื่อให้จับต้องได้

หากมีจินตนาการก็มีความหวัง
หากมีความรู้ก็ทำให้สมหวังได้

ขอให้ทุกคนอุดมไปด้วยจินตนาการ, หมั่นเสาะหาความรู้ และพยายามทำจินตนาการของตัวเองให้เป็นจริงนะครับ โลกนี้จะได้มีสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาครับ

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ใบไม้ใบเก่าบนต้นไม้ใหญ่

หากเปรียบว่าต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่ผู้ที่อยู่ใต้ต้น
ลูกไม้ที่ตกลงมาเพื่อจะเติบโตต่อไปก็ย่อมต้องอาศัยร่มเงานั้น ๆ เพื่อปกป้องจากแสงแดดที่จะแผดเผา ตอนยังเล็ก ๆ เริ่มเติบโต
ถ้าลูกไม้ที่ตกลงมาสู่ดินไม่ได้ร่มเงาจากร่มใบของต้นไม้ใหญ่ ก็อาจไม่งอกงาม เติบโต หรือเติบโตโดยไม่สมบูรณ์
ไม่มีลูกไม้ไหนที่เติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ โดยไม่มีร่มเงาของใบไม้ อาจเป็นร่มเงานที่มาจากต้นที่ให้กำเนิดตน หรือต้นอื่น ๆ ที่พร้อมจะให้ร่มเงาได้
แต่ไม่มีสิ่งใดหนีเวลาพ้น วันนึงใบไม้ที่เคยเป็นร่มเงาให้ลูกไม้เติบโตก็ร่วงลง...
เวลาให้หลายสิ่งหลายอย่างกับชีวิตของเรา แล้วมันก็พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปด้วย
ณ วันนี้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ก็ร่วงลงไปอีกใบหนึ่ง ปล่อยให้เหลือเพียงต้นไม้ และลูกไม้ที่เติบโตเกือบจะเต็มที่แล้ว..
ใบไม้ที่ร่วงลง ใช่จะไปไหน เพียงกลับลงไปรวมสู่ที่ ๆ กำเนิด เป็นการกลับไปสู่บ้านเก่าที่คุ้นเคย...

ลูกไม้ที่กลายเป็นไม้ใหญ่ ณ วันนี้คงต้องเติบโตต่อไม้ โดยไร้ร่มเงาจากใบไม้นั่น
และขยายกิ่งก้าน แตกออกออกใบเป็นร่มเงา กลับคือให้แก่ต้นใหญ่ใหญ่ต้นเก่าที่ไร้ใบบ้าง...
แล้วยังต้องเตรียมเป็นร่มเงาให้แก่ลูกไม้ต่าง ๆ ต่อไป..

ใบไม้ใบเก่าร่วงลงอีกใบแล้ว...
เวลาเป็นทั้งผู้ให้และผู้ทำลาย..
ดูแลตนไม้แก่ ๆ ทั้งต้นและใบให้ดี ๆ อย่าปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินไป...
และยังคงต้องเติบโตต่อไป...

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความกลัว

เคยกลัวอะไรกันไหม? ผมเชื่อว่าทุกคนคงต้องมีอะไรที่กลัวกันอยู่ทั้งนั้น..
เพียงแต่จะแสดงความกลัวนั้น ๆ ออกมาหรือไม่เท่านั้นเอง
สะกดความกลัวได้จะกลายเป็นความกล้า แต่หากปล่อยออกมาทั้งหมด ความกลัวจะทำให้คุณกลายเป็นคนขลาด

แต่ถ้าไม่มีความกลัวเลยคุณก็กลายเป็นผู้ที่ไม่ควรคบหาด้วย คุณอยากเป็นคนแบบไหนกันนะ...
เมื่อวันเสาร์ พึ่งรู้ว่าเจ้ามะระ ลูกชายตัวแสบก็มีความกลัวเหมือนกัน กลัวเสียงพลุดัง ๆ
ตอนแรกที่มีเสียงพลุก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ถึงพยายามเปิดมุ้งลวดจะเข้ามาหาในบ้านตลอด
ออกไปตี อีกสักพักก็มาอีกแล้ว ผิดปกติ เลยสังเกตว่าคงเป็นเสียงพลุนี่เอง
เลยออกไปหา เจ้ามะระก็รีบไปนั่งตักแม่มันทันที ซึ่งธรรมดา อาการแบบนี้ หนูมะลิจะชอบใช้เพื่ออ้อนแม่เขา ส่วนเจ้ามะระไม่เคยนั่งตัก

พอนั่งตักเสร็จก็เอาหัวซุกเข้าให้ก่อน พอพลุดัง ๆ อีก ก็วิ่งมากาผม นั่งตักแล้วก็เอาหัวซุก
เขาคงกลัวมากจริง ๆ ส่วนหนูมะลิ เฉย ๆ มองผมท มองแม่เขาที คงสงสัย ว่ามะระเป็นอะไรมั่ง
แล้วก็พยายามเล่นด้วย... ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย...
คงเป็นหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีก ว่าถ้าช่วงที่มีเสียงพลุ ในเทศกาลต่าง ๆ คงต้องอยู่บ้านซะแล้ว....

ในส่วนความกลัวของตัวผมเองนั้น คงไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมนะ งู, ผี หรืออะไรที่คนอื่น ๆ เขากลัวกัน ก็ไม่ได้รู้สึกถึงขนาดจะกลัว
แค่ไม่อยากเจอเฉย ๆ นะ ความกลัวของผมคงเป็นเรื่องของศีลธรรมละมั่ง กลัวบาป กลัวผลกรรม ที่จะย้อนกลับมา

อาจเป็นข้อดีที่ผมมีความกลัวอยู่นะ เพราะมันทำให้ผมไม่อยากและไม่ชอบที่จะทำชั่ว ทำเลว อะไร ถึงแม้จะมีโอกาสก็ตาม

เมื่อสังเกตความกลัวจะเห็นหลาย ๆ อย่างที่มีประโยชน์

กลัวตาย ทำให้พยายามมีชีวิตอยู่
กลัวจน ทำให้พยายามทำงาน
กลัวอด ทำให้ขยันทำกิน
กลัวบาป ทำให้อยู่ในศีลในธรรม
กลัวกรรม ทำให้ระมัดระวังการกระทำของตัว
กลัวชั่ว ทำให้ทำความดี
กลัวผี ก็ไม่อยากทำอะไรที่ผีไม่ชอบ ซึ่งมักเป็นเรื่องขัดศีลธรรม อย่างไม่อย่างตัดไม้ เพราะกลัวเจ้าป่าจะลงโทษ

แล้วคุณละมีความกลัวแบบไหนอยู่ในใจ?

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ธันวาคม ๒๕๕๒

ธันวาคม อีกแล้ว...


ใกล้จะหมดไปอีกปีแล้วซิ ปีนี้เป็นปีที่เวลาวิ่งไปเร็วมาก ๆ อีกปีนึงแล้วนะ
คงต้องทบทวนว่าในปีที่ผ่านมา มีอะไรที่ทำไปแล้วเสียใจบ้าง หรือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำบ้าง
แล้วก็วางแผนว่า จะลด ละ เลิก อะไรบ้างในปีหน้า...

พอผมมาทบทวนสิ่งที่ผ่านมาในปีนี้ ก็พบว่าอาจมีบ้างที่ทำงานไม่เต็มร้อย ปีหน้าก็คงต้องตั้งใจให้มากกว่านี้แหละนะ
อาจมีคำพูดที่มำให้คนอื่นไม่สบายใจบ้าง แต่คงไม่ผิดเท่าไหร่ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องพูด บางครั้งความจริง ก็อาจทำให้คนอื่นเสียใจ หรือ ตัวเราเองเสียใจได้นะ
แล้วก็การที่ไม่ได้พาแฟนไปเที่ยวที่ไหนเลยอย่างที่ตั้งใจกันไว้ อย่างวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นก็คุยกันว่าจะไปเที่ยวกัน ก็มาติดทำหมันเจ้ามะระ ต้องอยู่ดูแลมันซะอีก

ในปีที่ผ่านมา คงมีเรื่องรบกวนจิตใจ แค่สามเรื่องนี้แหละมั้ง

ยังคงไม่คดโกงใคร, ไม่เอาเปรียบคนอื่น, ช่วยเหลือคนทั่วไปตามโอกาสอำนวย, แทบจะไม่พูดโกหก, ไม่ซื้อของละเมิดลิขสิทธิ์, ไม่แตะแอลกอฮอล์เลย...

ถือว่าเรื่องที่ตั้งใจไว้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีนะ

เป้าหมายของปีหน้าคงเป็นการลดการพูดคำหยาบ แล้วก็การดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้นละมั่ง
เพราะยังไงก็รู้สึกว่าพยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่หนักอกหนักใจของคนอื่นอยู่ และคงทำต่อไปนะ
อืม... คงไม่มีอะไรให้เขียนมากนัก แค่คิดว่า เวลามันยังวิ่งเร็วอยู่นะ

จะทำอะไรก็รีบทำซะ ถึงเวลาจะมีอยู่เหลือเฟือ แต่มันก็มีวันหมดอายุนะ
ทำดีกับตัวเอง ทำดีกับคนในครอบครัว ทำดีกับเพื่อน ทำดีกับคนรอบข้าง ทำดีกับสังคม
แค่นี้ก็ไม่รู้สึกว่าเวลาวิ่งเร็วเกินว่าที่เราต้องการแล้วละ

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใช้ชีวิตคู่หรืออยู่ร่วมกัน

เมื่อมนุษย์ เป็นสัตว์สังคม ย่อมไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้
คำกล่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่ คำตอบสำหรับผมคือจริง
ถึงผมจะถูกมองว่าเป็นคนสันโดษ (แปลว่า ความยินดี ความพึงพอใจ ในสิ่งที่มี การรู้จักพอเพียง นะครับ) ซึ่งเพื่อน ๆ จะมองว่าผมชอบอยู่คนเดียว ไม่สุงสิง หรือไปร่วมงานเลี้ยงบ่อยครั้งนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมว่าคนทุกคนล้วนต้องการอยู่กับผู้อื่นเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ลักษณะใดก็ลักษณะหนึ่ง ผมชอบที่จะอยู่บ้านกับแฟน หรืออยู่กับเพื่อน โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการพูดคุยก็ได้ ผมสามารถอยู่อย่างเงียบ ๆ ได้ เป็นเวลาหลายชั่วโมง ในกรณีที่อยู่ร่วมกับคนอื่น แต่หากเป็นการอยู่คนเดียว เวลาเพียงไม่นาน ก็อาจจะฮัมเพลงออกมาก็ได้ นี่คงเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า คนเราต้องอยู่ร่วมกัน หากกำหนดให้ชัดเจนขึ้น การที่คนเราต้องอยู่ร่วมกัน ประกอบกับความรัก ความต้องการ จึงเกิดเป็นการแต่งงานขึ้น และหลังจากนั้นจึงใช้คำว่า ใช้ชีวิตคู่ ทำไมไม่ใช่คำว่าอยู่ร่วมกัน อาจเพราะเป็นเรื่องที่เจาะลึกลงไปอีกว่า เป็นเงื่อนไขเฉพาะ เพียงสองคนที่ใช้ชีวิตคู่เท่านั้นที่จะใช้ได้ ไม่ใช่เงื่อนไขที่สามารถใช้ได้กับทุกคนที่เราอยู่ร่วมกันได้ ทำให้การใช้ชีวิตคู่ เป็นสิ่งที่พิเศษกว่าการอยู่ร่วมกันเฉย ๆ

สำหรับผม การใช้ชีวิตคู่เป็นเรื่องที่มีความหมาย และสำคัญมาก โดยเฉพาะกับคนที่มีพื้นที่ส่วนตัวกว้าง ๆ และโลกส่วนตัวสูง ๆ อย่างผม อย่าเพิ่งงง ว่าพื้นที่ส่วนตัวคืออะไร คุณเคยรู้สึกอย่างนี้ไหม? ตอนที่ยืนอยู่เฉย ๆ เมื่อมีคนมายืนใกล้คุณเท่าไหร่ จึงจะเริ่มรู้สึกอึดอัด นั่นแหละพื้นที่ส่วนตัวของคุณ มันจะบ่งชี้ได้ว่าคุณมีพื้นที่ส่วนตัวกว้างเท่าไหร่ และมันจะเป็นวงกลมล้อมตัวคุณเสมอ ... สำหรับผมแล้วค่อนข้างกว้างมากนะ อย่างในลิฟต์กว้าง ๆ ขนาด 15-20 คนนี่ ถ้ามีคนอยู่ด้วยในลิฟต์ซักคนหรือสองคนก็อึดอัดแล้ว แต่ใช้งานคนเดียวได้ไม่มีปัญหา แล้วผมยังไม่ชอบให้ใครถูกตัว หรือไปถูกตัวใครด้วย เพราะมันจะทำให้ผมรู้สึกอึดอัด เมื่อเป็นอย่างนี้ การใช้ชีวิตคู่และการอยู่ร่วมกันของผม จึงเป็นเรื่องที่ผมต้องปรับปรุงตัวค่อนข้างมาก เพื่อให้พื้นที่ส่วนตัวของผมแคบลงสำหรับคนที่อยู่ด้วย... ก็ทำได้นะ
นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขอีกมากมายที่ทำให้การใช้ชีวิตคู่ค่อนข้างยากกว่าการอยู่ร่วมกับคนอื่น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่คนที่จะใช้ชีวิตคู่ต้องทำใจยอมรับ และทำตามให้ได้นะ หากไม่เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเอง แล้ว การใช้ชีวิตคู่จะต่างกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นยังไง แล้วการใช้ชีวิตคู่คงไปไม่รอดหรอกนะ

เมื่อเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ ก็ปรับตัวให้เข้ากับโลกอย่างที่มันเป็นซะก็สิ้นเรื่องนะ ง่ายจะตายไป
การใช้ชีวิตคู่ย่อมยากกว่าการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นเสมอ

แต่คงจะง่ายขขึ้นหากเราเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตคู่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปถึงการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้นไปด้วย

ถึงตอนนี้ การใช้ชีวิตคู่ของผม เป็นสิ่งที่ผมไม่หนักใจอีกต่อไปแล้วครับ

และหากถามว่าเมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว เราจะกลายเป็นอะไร?

ตัวตนของเรา จะยังเป็นตัวตนของเราไม่เปล่ยนแปลงครับ

เจ้ามะระกับหมอสุรัชต์

สัปดาห์ก่อนพา มะระ เจ้าลูกชายจอมกวน ไปทำหมัน กับคุณหมอสุรัชต์ เช่นเคย แต่คราวนี้ไม่ได้ไปคนเดียวแล้ว

แม่เจ้ามะระ ก็อุตส่าห์หยุดงานมาด้วย ตอนแรกกะว่าจะพาไปทำหมัน ตอนวันพุธ บ่าย ๆ เย็น ๆ แต่คุณหมอไม่ว่าง เลยนัดอีกทีเป็นพฤหัสบดี เที่ยง
แล้วก็โทรไปเลื่อนนัดเป็นบ่ายสามโมง เพราะคิดได้ว่าต้องอดอาหารแต่เช้า 8 ชั่วโมง

พอเช้าวันพฤหัสที่ 24 พอให้กินข้าวเช้ากันแล้วก็จับเข้ากรง ท่าทางว่าเจ้ามะระจะชอบซะด้วยนะกรงนี่
แล้วก็ขึ้นไปทำงานบ้านกัน แม่เจ้ามะระก็ไม่ยอมให้ลงจากบ้านเลย กลัวเจ้ามะระ จะอยากออกมาเล่นมั้ง..
บ่ายสองกว่า ๆ ก็จูงเจ้ามะระออกไปหาคุณหมอ โดยมีแม่มันขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปด้วย จะได้รับพ่อมันกลับ

ไปถึงคุณหมอก็ให้ชั่งน้ำหนัก ยี่สิบเอ็ดกิโล!! มันตัวหนักจริง ๆ พอฉีดยาซึมแล้วก็พาเข้าห้องผ่าตัดไปทำหมัน
การทำหมันหมาตัวผู้นี่เร็วกว่าตัวเมียเยอะนะ ตอนหนูมะลิทำหมันใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่เจ้ามะระนี่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย
กำลังจะชวนแม่มันไปกินราดหน้าพอดีก็เสร็จซะแล้ว เพิ่งรู้ว่าทำหมันตัวผู้ไม่ได้ตัดไข่ออกทั้งพวง (เข้าใจผิดมาตั้งนาน)
คราวนี้แม่มันไม่ร้องไห้เหมือนตอนหนูมะลินะ เห็นบอกว่าเจ้ามะระมันไม่น่าสงสารเท่าหนูมะลิ
เลยอุ้มกันกลับบ้าน เอาเข้ากรง เจ้ามะระก็ผงกหัวขึ้นมาดูได้แล้ว!!

พอเย็น ๆ ก็รู้สึกตัวแล้ว อยากออกจากกรง แต่ยายังไม่หมด มันเลยลุกไม่ไหว หนูมะลิ ก็พายามชวนเจ้ามะระออกมาเล่นนะ แต่มันยังมึนอยู่ เลยไม่อยากเล่นมั้ง..

สี่ทุ่มกว่า ๆ ก็เอานมมาให้กิน ทั้งเจ้ามะระกับหนูมะลิ เลยกินกันเพียบ เจ้ามะระคงหิว เพราะไม่ได้กินข้าวเย็นด้วย เสร็จแล้วก็ให้นอนในกรงก่อน กลัวมันลงไปเล่นน้ำในบ่อ

เช้าวันศุกร์ ลงไปเปิดกรง เจ้ามะระแกะผ้าปิดแผลออกเรียบร้อยแล้ว ฝีมือคุณหมอสุดยอด เห็นแผลเป็นเส้นยาวนิ้วกว่า ๆ เอง ไม่มีรอยเย็บเลยนะ
วันนี้แปลก พอเผลอ ๆ เจ้ามะระจะเข้าไปนอนในกรงเอง เหมือนจะชอบ แต่ก็มีปัญหาคือมันพยายามเลียแผลอยู่ตลอดเวลาจนแม่มันกังวล...

ส่วนสถานการณ์ล่าสุด เช้าวันจันทร์นี้ เหมือนจะหายสนิท วิ่งเล่น งับ กัด เล่นแรง ๆ ได้แล้ว .... คราวนี้มันจะหนักขึ้นอีกกี่กิโลเนี่ย

ขอบคุณคุณหมอสุรัชต์อีกครั้งนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พัฒนา?

เวลานี่วิ่งเร็วดีจริง ๆ 
เดือนที่แล้ว (ต.ค.) ไม่ได้เขียนอะไรเลยนะเนี่ย
สาเหตุก็มาจากการที่ได้ซื้อเครื่องเล่นเกมมาเล่นนี่เอง
ตามที่เคยเขียนไว้นะครับ กว่าจะได้ซื้อก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว แต่ก็สำเร็จอีกเรื่องหนึ่งครับ


สัปดาห์ที่แล้วมีโอกาสไปทำงานในประเทศลาว ที่เวียงจันทร์ แล้วก็น้ำพืน ผ่านปากซัน ปากเซ
เป็นการเข้าไปหลังจากห่างไปประมาณ 4-5 ปี สำหรับเวียงจันทร์ เพราะล่าสุดที่เข้าไปคือ 3 ปีก่อน แต่เป็นที่สะหันนะเขต กับเขื่อนน้ำเถิน.. ไม่ได้ไปเวียงจันทร์


สิ่งที่ได้พบได้เห็นก็คือ "การพัฒนา
ตึกใหม่ ๆ , ร้านอาหาร, ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น! ร้านดอกไม้!! โรงแรมม่านรูด!!! รวมทั้งแหล่งเสื่อมโทรมอื่น ๆ สำหรับผมแล้ว ที่นี่พัฒนาเร็วมาก ๆ เร็วจนมีความคิดว่า ผู้คนจะรับทันหรือ? มีการรณรงค์ให้ใช้เงินกีบ "อยู่เมืองลาว ต้องใช้เงินกีบ" อนาคต คงใช้เงินไทยไม่ได้ซะแล้วละ จากที่ได้พูดคุยกับคนที่อาศัยอยู่ในเวียงจันทร์ ทั้งคนที่มีเงิน และคนธรรมดาสามัญทั่วไปอย่างผม พวกเขาก็เห็นการพัฒนาต่าง ๆ ว่าเร็วดี แต่รายได้ของคนทั่วไป ก็ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก อาชีพขับรถ อจาได้เงินเดือนเป็นเงินไทย ประมาณ 3000 บาท หรือช่างเทคนิค อาจมีรายได้ประมาณ 4000 บาท รายได้แค่นี้คงไม่เพียงพอกับการอาศัยอยู่ในเวียงจันทร์ โดยที่ต้องอาศัยอาหารนอกบ้านทุกมื้อแน่ ๆ ข้าวจี่ ปาเต้ (ขนมปังฝรั่งเศส ผ่ากลางใส่ แตงกวา หมูยอ แล้วก็ตับบด) อันเล็กก็ 50 บาทแล้ว แต่กินอิ่มนะ อิ่มมาก เพราะอันเล็กนี่ก็ยาวฟุตนึงแล้ว ราคาจาก 4-5 ปีก่อน ก็ขึ้นมาประมาณ 15-20 บาท  กาแฟร้อนแก้วละ16-20 บาท
ราคาพวกนี้เป็นราคาที่คนลาวซื้อกันจริง ๆ นะ ไม่ใช่ราคานักท่องเที่ยว เพราะคติในการเดินทางของผมคือ การที่ต้องกินอาหารท้องกิ่นที่คนท้องถิ่นเขากินกัน ถึงจะเป็นการไปถึงที่จริง ๆ ไม่ใช่การ "ถึง" ในความหมายอื่น ๆ ที่คนไทยทั่วไปเข้าใจกันนะ
พูดถึงคำว่าไป "ถึง" นี่นะ ทำไมไม่เข้าใจกันใหม่ให้มันดีขึ้น ทำไมเราไม่คิดบ้างว่า ผู้หญิง เป็นเพศแม่ที่ต้องให้เกียรตินะ ไม่ใช่สินค้า หรือพูดอย่างเต็ม ๆ ก็คือ มนุษย์ ไม่ใช่สินค้า นะ เมื่อไปถึงที่ไหน ๆ ก็หาซื้อผู้หญิง ของเมืองนั้น ๆ มานอนด้วย แล้วบอกว่าถึงแล้ว... นี่เป็นเรื่องที่ทุเรศมาก ๆ สำหรับผม การจะนอนด้วยกับใครก็ตาม จำเป็นต้องมีความรัก ความพึงพอใจ มาด้วยนะ หากไม่ใช่ ก็ไม่ต่างกับสัตว์ ที่มีเพศสัมพันธ์กันตามสัญชาตญาณ แต่มนุษย์นี่เลวกว่าอีก ใช้สิ่งสมมุติ (เงิน) แลกกับการแสดงความรัก (เซ็กส์) เป็นเรื่องที่น่าละอายมาก แล้วเราไม่คิดกันบ้านหรือว่า หากคนต่างชาติมาถามเราเรื่องเที่ยวผู้หญิง แล้วพูดคุย เยาะเย้ยหรือไม่ให้เกียรติเพศหญิงของประเทศเรา เราจะรู้สึกอย่างไร  เกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นคน, ความเป็นชาติ จะทำให้เราเงยหน้ามองคนที่พูดกับเราได้เต็มตาหรือ 


ที่เวียงจันทร์สัปดาห์นี้ ผู้คนแต่งตัวเป็นสากลขึ้น นักเรียนเริ่มมีแบบใส่กระโปรงลายสก็อต แทนผ้าซิ่นบ้างแล้ว รถมอเตอร์ไซค์, รถยนต์ วิ่งกันเต็มเมือง... ตำรวจเต็มเมือง อยู่ทุกแยก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับซีเกมส์ ต้นเดือนหน้า แต่พอเดินทางผ่านสนามกีฬา และหมู่บ้านนักกีฬา แล้วก็ศูนย์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ควรจะสร้างเสร็จแล้วกลับเป็นการเริ่มต้น ขึ้นโครงหรือ บางส่วนยังไม่ฉาบเลย มีแต่ตัวสนามกีฬาใหม่เท่านั้นละ ที่พอจะเสร็จทัน เลยเกิดความสงสัย ว่าจะทันต้นเดือนหน้าหรือเนี่ย...


ที่น้ำพืน นั่งกินอาหารก่อนเข้าไซค์งาน คนลาวเปิดช่องดาวเทียมของกลุ่มเสื้อแดง คุณจตุพร กำลังพูดอยู่บนเวที ด่ารัฐบาล และทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขา คุณณัฐวุฒิ จะรู้ไหมว่า คนลาวเขาดูไป หัวเราะไป ในความขัดแย้งของบ้านเรา ผมเคยเขียนไปแล้วว่า ผมไม่ใช่ทั้งเหลืองและแดง ไม่เห็นด้วยกับการโกง การโกหก การใส่ร้ายป้ายสี และการที่ผมอยู่ี่ตรงนั้นที่พวกเขากำลังหัวเราะเยาะคนไทยอยู่นั้น เป็นการสร้างความรู้สึกที่ทำให้อาย อายมาก จนไม่อยากกินข้าวเลยนะครับ สงสารประเทศกันบ้างเถอะ


ไซค์งานที่ผมเข้าไปเป็นโรงไฟฟ้า บ้านเราซื้อไฟฟ้า จากลาวมาปีละหลายล้านเมกกะวัตต์นะครับ พอเข้าไปตรวจงานก็ต้องทำให้รู้สึกว่าไว้ใจคนของตัวเองไม่ได้อีกต่างหาก เพราะรายงานที่ส่งไปให้ผมก่อนที่จะเดินทางมาดูเองนี่ สภาพต่างกันค่อนข้างมาก จนต้องลงมือตรวจสอบเองทั้งหมด... เหนื่อยและท้อใจขึ้นมานิดหน่อย..  เดินทาง 4 ชั่วโมงจากเวียงจันทร์ ทำงาน 3 ชั่วโมง เดินทางกลับอีก 4 ชั่วโมง.. งานไม่เสร็จ คนของเราที่รับผิดชอบ ยังไม่คุยถึงเรื่องงานเลย คุยกับคนลาวแต่เรื่องจะหาผู้หญิง ทำให้ผมรู้ว่า เวลาที่เขาเดินทางเขามาทำงานคงไม่ได้ตั้งใจทำงาน หรอก คงเป็น ทำงาน 10-20 เปอร์เซนต์ ที่เหลือเที่ยว....


บ้านเมืองของลาวกำลังพัฒนา ไปอย่างก้าวกระโดด ต่างกับบ้านเราที่ชะลอตัว เหมือนกันตรงที่เป็นการพัฒนาที่แทบไม่มีเส้นทางที่ชัดเจน และเน้นที่การพัฒนาแต่บ้านเมืองและเศรษฐกิจ โดยไม่นำพาถึงการพัฒนาจิตใจของผู้คน


คนนี่แหละที่พัฒนายากที่สุด และยังเป็นคนนี่แหละที่นำไปสู่ความเสื่อมเร็วที่สุดอีกด้วย...
สงสัยว่าผมคงจะเกิดผิดยุคผิดสมัยซะแล้ว.....

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

ศรัทธาสั่นคลอน ตัวตนสั่นไหว...

เคยมีความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเองไหมครับ
หรือว่าคุณยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง?
การที่เราจะรู้จักตัวตนของตนเองนั้น หากไม่ไปเปิดอ่านเรื่องเหล่านี้ในหนังสือจิตวิทยาหรือปรัชญาต่าง ๆ อาจจะมีคำตอบให้กับพวกคุณกันมากมาย ส่วนในความคิดของผม ตัวตนของเรานั้นเป็นส่วนที่จะบอกว่าเราคือใครและเป็นอย่างไร ก็เท่านั้น...
เราคือใครไม่ใช่หมายถึงชื่อเสียงเรียงนาม หรือตำแหน่งการงาน แต่เป็นส่วนที่บอกกับตัวเองว่าเราคือคนที่อยู่ส่วนไหนของสังคม ของโลก ของจักรวาลนี้
และเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้หมายถึงยากดีมีจน หรือหน้าตาในสังคม แต่เป็นการที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าเราอยู่ในส่วนที่ดีหรือเลว....และมีความเชื่อมั่นหรือศรัทธาต่อสิ่งใด

หลายคนอาจไม่สามารถระบุตัวตนของตัวเองตามความหมายของผมได้ เนื่องจากยังไม่รู้จักตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ เพียงพยายามที่จะรู้จักตัวเองเท่านั้น ก็สามารถระบุตัวตนของตัวเองได้แล้ว...

ตัวตนของผมคงจะสามารถระบุได้ว่า เป็นคนที่ดีในระดับหนึ่ง เนื่องจากเคยผ่านจุดที่เป็นคนไม่ดีมาแล้ว และมีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเอง จึงสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นปัจจุบันได้ โดยที่มีความเชื่อและความศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับความจริงความถูกต้องทั้งหลาย การไม่โกหก การเข้าใกล้ธรรมชาติ การไม่เอารัดเอาเปรียบ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การประนีประนอม

ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมักจะเจอกับบททดสอบที่เกี่ยวข้องกับศรัทธาและความเชื่อของตัวเองอยู่เสมอ..
หลาย ๆ ครั้งก็มีการสั่นคลอนบางซึ่งทุกครั้งก็มักทำให้เกิดอาการท้อแท้และรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ซักพักนึง แต่ก็สามารถผ่านไปได้ทุกครั้ง หากมองย้อนดูในบล็อกนี้ ก็จะเห็นนะว่ามีอยู่ซักครั้งสองครั้งที่มีการบันทึกอยู่ถึงการสั่นคลอนของศรัทธาของผม

สัปดาห์ที่แล้วก็เกิดอาการนี้อีก เป็นเรื่องของการที่ผมเห็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม การเอารัดเอาเปรียบ และมีการพูดออกไป การขอคำอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ย้อนกลับมากลับเป็นคำว่าผมมีอคติ..
อคติทำให้ตาบอดข้างหนึ่ง คนที่มีอคติเวลาที่ทำอะไร มักจะมองได้ไม่ทั่วถึง
ในการทำงานนั้นผมไม่มีอคติมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเอง หลายปีแล้ว...
จากคำตอบที่ได้ว่าผมมีอคติ โดยเป็นคำตอบที่ไม่ได้ถึงตัวผมโดยตรงแต่เป็นการบอกกับคนอื่น เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งว่าอคติมักทำให้ตาบอดข้างหนึ่งทำให้มองไม่เห็นว่าคนของตนนั้นเอาเปรียบและฉ้อฉลอย่างไร..
แต่จากการแสดงความเห็นนี้ ก็สามารถสั่นคลอนศรัทธาของผมที่เชื่อในความจริงความถูกต้อง..

หากคนเราทำอะไรที่ถูกต้อง มีการแสดงออก แสดงความคิดเห็น สอบถามข้อเท็จจริง แล้วเกิดการตอบสนองโดยการมองว่าเป็นคนอคติ แล้วจะมีคนที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องได้อย่างไร? โลกนี้จะคงอยู่ได้อย่างไร? ตัวตนของผมจะคงอยู่ได้อย่างไร?

ในปลายสัปดาห์จึงมีอาการเหมือนกับไม่รู้จะยืนที่ไหน นั่งที่ไหน อยู่ที่ไหน พูดอะไรดี? ที่จะรู้สึกว่ายังมีตัวตนอยู่ในโลก... นอกจากบ้าน กับแฟน, พ่อแม่พี่น้อง... ผู้ที่พอจะเข้าใจตัวตนของผมบ้าง
ไม่ได้เครียด ไม่ได้โกรธ ไม่ได้หงุดหงิด เพียงต้องการจะคงตัวตนของตัวเองไว้...

ตอนนี้ตัดสินใจแล้วว่าคงไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับส่วนตรงที่มีปัญหาส่วนนี้อีก ปล่อยให้อยู่ในส่วนที่พวกเขาต้องการอยู่กันต่อไป ไม่ว่าส่วนไหนที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง หากเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง คงไม่พูดซ้ำอีกแล้ว ขอปล่อยให้สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ดีกว่า ไม่ฉุดรั้งจนเกินพอดีอีกต่อไปแล้ว... เพื่อการดำรงอยู่ของตัวตนของผม
เหมือนเห็นแก่ตัว แต่หนึ่งความเห็น หนึ่งการกระทำ หากไม่มีคนเห็น มันยากที่จะเปลี่ยนแปลงโลก

แล้วตัวตนของผมก็มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มอีกแล้ว... มีความสุขกับตัวเองมากขึ้น ปล่อยวางในส่วนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ของคนอื่นลง....

ศรัทธาสั่นคลอน ตัวตนก็สั่นไหว.. หากศรัทธาเสื่อมสลาย ตัวตนจะดำรงอยู่ได้อย่างไร?..
หลังจากข้ามขาแห่งอุปสรรคในจิตใจอีกลูกหนึง
ตอนนี้ศรัทธาและตัวตนของผมก็กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว..

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ศีล 5 ? ศีลข้อ 5?

ปาณาติปาตา เวรมณี...
อทินนาทานา เวรมณี...
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี...
มุสาวาทา เวรมณี...
สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี...

ศีล 5 ข้อที่ห้ามการฆ่า, การลักขโมย, การผิดในกาม, การโกหก แล้วก็การดื่มเหล้า
คนที่เป็นนับถือพุทธทุกคนคงรู้จักกันดีนะ แล้วทั้ง 5 ข้อที่พระพุทธเจ้าท่านให้เป็นพื้นฐานนี้ ยังเป็นพื้นฐานเดียวกันในศาสนาอื่น ๆ ทั่วโลกอีกด้วย
ไม่มีศาสนาไหน สอนให้คนฆ่ากัน ไม่ว่าจะศาสนาเดียวกัน หรือต่างศาสนาก็ตาม เหมือนกับการลักขโมย การไปเป็นชู้กับผู้อื่น การพูดโกหก แล้วก็การดื่มเหล้า.. และหากคนส่วนใหญ่ในโลกนี้สามารถทำตามข้อกำหนดพื้นฐานทั้ง 5 ข้อนี้ได้ โลกเราก็คงจะสงบ มีความสุข แล้วก็พัฒนาได้อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการอยู่กับธรรมชาติได้นะ
เมื่อวานนั่งอยู่ที่บ้าน ฝนตกหนักทั้งวัน เลยไม่ได้ออกกำลังทำอะไรมาก นั่งเก็บหนังที่ยังไม่ได้ดูมาดูซะให้จบ ๆ ระหว่างนั้นก็นั่งคิดเรื่อง ศีล 5 ไปด้วยว่า ข้อไหนกันที่น่าจะสำคัญและจำเป็นที่สุด สำหรับใครที่เข้ามาอ่านครั้งแรก หรือไม่รู้จักผม ก็ขอออกตัวนิดนึงว่าผมเป็นคนที่สมองไม่เคยหยุดคิดเลยไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ยกเว้นตอนหลับ เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยฝัน ก็เลยเดาเอาว่าตอนหลับสงสัยจะไม่คิดอะไร กลับมาตอนคิดถึงศีล 5 กันต่อ พอคิดถึงว่าข้อไหนจะสำคัญที่สุด ก็จำเพาะไปได้ว่า น่าจะเป็นการห้ามดื่มเหล้านะ เพราะการดื่มเหล้า จะเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดหลาย ๆ อย่าง อันนี้ยกตัวอย่างของตัวผมเองก็แล้วกัน ผมคงสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นคนที่เห็นความแตกต่าง เนื่องจากเคยเป็นคนที่ดื่มเหล้ามาก่อน และไม่ใช่ดื่มธรรมดา ดื่มหนักด้วย จนตัดสินใจลด เมื่อ 4 ปีก่อน แล้วก็ ละ เมื่อปีที่แล้ว และปีนี้ก็เลิกไปเลย
ช่วงที่ยังดื่มเหล้าอยู่นั้น เหล้าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดหลาย ๆ อย่างในการดำเนินชีวิตของผม เมื่อดื่มเหล้า สิ่งที่จะตามมาคือสติ ความยับยั้งชั่งใจ จะลดลง ทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างอื่น ๆ อย่างไปเที่ยวต่อ ติดสาวตามที่เที่ยวที่ไป หรือไปชอบพอกับสาวที่ไปเที่ยวโต๊ะอื่น ๆ
ซึ่งหากเริ่มจากเหล้า ซึ่งเป็นการผิดศีลข้อ 5 ก็จะนำผมไปสู่การผิดศีลข้อ 3 และตามด้วยศีลข้อ 4 เพราะคงต้องโกหกแม่บ้าง แฟนบ้าง ว่าไม่ได้ดื่ม หรือ ดื่มแต่ไม่ได้เที่ยว หรือไม่ก็ทั้งดื่ม ทั้งเที่ยว แต่ไม่ได้มีสาว ๆ นะ อย่างน้อย ๆ ก็ 3 ข้อแล้วที่ต้องผิดศีลกันไป อันนี้สำหรับผมยังเป็นคนที่ยึดมั่นในการฆ่าและการขโมยอยู่ จึงไม่ได้ผิดศีลใน 2 ข้อนี้ แต่ในส่วนคนรู้จักอื่น ๆ ข้อ 2 นั้น คงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเริ่มจากการดื่ม เพราะการดื่ม การเที่ยว หรือการติดสาว คบผู้หญิงหลายคน จำเป็นต้องใช้เงินในการกระทำ เมื่อเงินเดือนไม่พอ จึงต้องยักยอกสิ่งของ หรืออุปกรณ์ของบริษัทฯ ไปขาย ซึ่งไม่ต่างจากการขโมยเลย แล้วยังมีความรู้สึกว่าไม่ผิดอีกด้วย... ประสาทด้านความสำนึกผิดชอบชั่วดี ก็ผิดเพี้ยนไปด้วยหลังการดื่ม..
หลังจากที่ผมไม่ได้ดื่มอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ศีลทั้ง 5 ข้อนั้น ผมทำได้เกือบทั้งหมดจะหย่อนบ้างก็ข้อ 1 ในส่วนที่เป็นการฆ่ามดหรือยุงบ้าง หรือข้อ4 ที่ต้องพูดโกหกเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกดีบ้าง แต่ไม่โกหกกับคนรอบข้างนะ..
เมื่อไม่ดื่มก็ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวบ่อย ๆ เมื่อไม่ไปเที่ยวบ่อย ๆ และไม่ดื่ม ก็ไม่เผลอใจให้กับสาวอื่น ทำให้ไม่ต้องโกหก หรือขยายไปถึงการยักยอก...
ดังนี้ สำหรับผม ผมมีความเชื่อที่ว่าคนทุกคนมีความดีอยู่ในตัว เหมือนที่เชื่อว่าโลกนี้ไม่มีใครโง่ มีแต่คนพยายามและไม่พยายาม
เมื่อมีความดีอยู่ในตัว ก็อยู่ที่ความพยายามแล้ว ว่าจะดีหรือไม่
การที่คนเราจะดีได้คงต้องเริ่มจากการหยุดเหล้าก่อน ความดีส่วนอื่น ๆ ก็จะขยายตัวออกมาจากตัวเองได้...
แล้วผมพิสูจน์แล้วว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยข้อพิสูจน์จากตัวเอง เมื่อคนอย่างผมทำได้ พวกคุณก็ทำได้เช่นเดียวกัน
ช่วยกันเถอะ เพื่อให้โลกของเราดีขึ้น...

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อุปสรรคและปัญหา

วันก่อนได้เข้าประชุมกับบอร์ดบริหารของบริษัทฯ เป็นครั้งที่สอง ไม่นับกรณีที่โดนสอบสวนหรือมีปัญหานะ
ก่อนจะเริ่มประชุมมีคนนึงถามขึ้นมาว่า "การประชุมครั้งนี้ใช้ภาษาอะไรคะ?" "ภาษาอังกฤษนะซิ มีญี่ปุ่นประชุมด้วยตั้ง 3 คน" อีกคนนึงก็ตอบให้เสร็จสรรพ คนเริ่มคำถามที่นั่งเก้าอี้ชิดกันกับผม ก็พูดเบา ๆ "แล้วเขาจะรู้เรื่องเหรอคะ" พร้อมกับบุ้ยใบ้มาที่ผม... เป็นคุณจะรู้สึกยังไงครับ แต่ผมรู้สึกว่า พวกเธอสองคนนั่นเป็นคนที่แคบมาก ๆ ถ้าจะมองใครแค่การแต่งตัวและตำแหน่ง ผมยอมรับว่าผมคงแต่งตัวไม่เหมาะสำหรับการประชุมบอร์ดบริหาร เพราะผมไม่ใช่ผู้บริหาร การแต่งตัวด้วยเสื้อของบริษัทฯ ใส่เสื้อคลุมเนื่องจากขับรถมอเตอร์ไซค์มา คงไม่สร้างความประทับใจเท่ากับการใส่สูทผูกไทด์หรอก แต่ผมก็แต่งตัวเหมาะสมกับการเป็นช่างเทคนิคนี่ ใช่ว่าไม่เหมาะสมเสียเมื่อไหร่ ผมว่าหลายปีหลังมานี่ผมมีพัฒนาการทางอารมณ์ดีขึ้นมากเลยนะ ไม่รู้สึกโกรธ หรือ หงุดหงิด เลย ซึ่งทำให้ผมยังประชุมได้ โดยมีสติ และความรอบคอบอยู่ ที่จริงผมก็คิดนะว่าการประชุมนี่จะใส่ชื่อผมไปทำไม เอาเฉพาะผู้บริหารก็พอ... การประชุมนัดบ่ายสามโมง คนที่มีตำแหน่งใหญ่สุดในห้องกับเล็กสุดในห้องเท่านั้น ที่ตรงเวลา ที่เหลืออีก 6-7 คน เข้าสายตลอด.... ปล่อยไปนั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว...

พอกลับบ้านไปนั่งคุยบ้านแม่ คุณลูกชาย เด็กชายมะระ ก็ก่อเรื่องไปคาบรองเท้าเพื่อสุขภาพของพี่สาวมากัดซะเละ ทำให้รู้สึกเบื่อ ๆ แม่มะลิก็เหมือนกัน แต่หมาก็ยังเป็นหมานะ มันทำไปตามสัญชาตญาณ นี่แหละเป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างจากสัตว์ การควบคุมอารมณ์ การยับยั้งชั่งใจ การรู้จักผิดชอบชั่วดี นี่แหละทำให้คิดไปถึงพวกที่ ปล้น ฆ่า ข่มขืน แล้วก็พวกทำเรื่องร้าย ๆ ทั้งหลาย ว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติได้... ผมก็เจรจาค่าเสียหายกับพี่สาวไป
ปัญหาอยู่ที่เช้าวันอาทิตย์ ตื่นมาพบว่าเจ้าลูกชายตัวดี ไปเอารองเท้าพี่สาวอีกคู่นึงมากัดซะแล้ว.... งานเข้าละซิ พอแม่มะลิตื่นมาก็หงุดหงิด จะไม่ให้มันกินข้าว โมโหด้วย แม่มันจะรู้ไหมว่าอาการที่แสดงออกมาของเขา อาจทำให้พ่อมะระรู้สึกไม่ดีได้ .. แต่ผมก็เข้าใจนะ โมโหแบบไม่มีที่จะปลดปล่อย จะตีก็สงสาร แม่มะลิเลยร้องไห้ซะงั้น... สาย ๆ ผมเลยทำงานศิลปะชิ้นใหม่ รั้ว หมายเลขสอง เพิ่มความสูงและความถี่ให้กับรั้ว เพื่อไม่ให้ลูกสาวลูกชายข้ามไปบ้านพี่สาวกับบ้านแม่ได้ง่ายเกินไปนัก... ดูถ้าแม่มะลิก็คงพอใจนะ อารมณ์ดีขึ้น ที่เห็นผมสร้างอุปสรรคขวางกั้นเจ้ามะระกับบ้านพี่สาวได้...
ตอนบ่ายพลาดซะ ดันนอนกลางวัน ตื่นมาปวดหัวยันดึกเลย ต้องใช้ยาช่วย ดีนะที่เช้านี่ ค่อยยังชั่วแล้ว เลยมาทำงานได้...
ก็นะชีวิตมันจะราบเรียบไปตลอดได้ยังไง อุปสรรคมีไว้ให้เราก้าวข้าม ปัญหามีไว้ให้เราแก้ไข ถ้าไม่เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นปัญหาบ่อยนัก ชีวิตก็มีรสชาดดีนะ (หวังว่า รั้วหมายเลขสองของผมจะเป็นปัญหาของเจ้ามะระนะ ไม่ใช่แค่อุปสรรค เหมือนรั้วหมายเลขหนึ่งที่มันกระโดดข้ามไปเอารองเท้ามากัดสบาย ๆ เลย)

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หมอสุรัชต์ กับหนูมะลิ

ศุกร์ที่แล้วพา "มะลิ" ลูกสาว (หมา) ไปทำหมันมาครับ หลังจากลองคุยกับสัตวแพทย์ สองคน คนนึงมีร้านอยู่ใกล้บ้านมาก ๆ แล้วก็เคยพาแมวไปทำหมันแล้ว 5 ตัว
แต่ก็ตัดสินใจเลือกสัตวแพทย์อีกท่านนึงที่ร้านอยู่หน้าปากซอยบ้านแทนด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง
อย่างตอนที่ไปคุยกับคุณหมอท่านนี้ ในร้านเต็มไปด้วยหมาแมว พิการที่แกเลี้ยงเอาไว้เอง เต็มไปหมด
จนนึกไม่ออกว่าจะรักษายังไง แล้วคุณหมอแกยังคุยให้คำแนะนำที่ฟังแล้วรู้สึกดี ๆ กับตัวแกเองด้วย

พอวันศุกร์ที่แล้วเลยนัดคุณหมอไว้ประมาณบ่ายสองโมง เพราะต้องงดข้าวงดน้ำก่อนอย่างน้อยแปดชั่วโมงตามที่ปรึกษาคุณหมอไว้แล้วผมก็พลาดจนได้ ดันพา หนูมะลิไปถึงเกือบบ่ายสามโมง ขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากซอย แค่ห้านาทีเอง แสดงว่าผมผิดเต็ม ๆ คุณหมอเลยออกไปข้างนอก พอกลับมาก็สามโมงแล้วแกเลยขอนัดเป็นหกโมงครึ่ง หรือวันเสาร์ไปเลย ผมเลยเลือกหกโมงครึ่ง ไม่อยากให้หนูมะลิอดข้าวไปอีกวันนึง แล้วพากลับบ้าน เอาใส่กรง โดยปกติไม่เคยขังเลยนะ ทั้งลูกชาย "มะระ" แล้วก็ลูกสาว "มะลิ" อิสระเต็มที่ เลยสงสารหกโมงกว่า ๆ พาออกมาอีกที คุณหมอไปฉีดยาให้ข้างนอก เลยยืนคุณกับพี่อีกคนที่เขาพาหมามารักษาเหมือนกัน
คนที่มารอหมอคงตลกกับท่าทางของหนูมะลิน่ะก็เขาไม่คุ้นที่ พอเอาออกจากตะกร้า ก็กระโดดกอดเลย ถ้านึกไม่ออกก็เหมือนเราอุ้มเด็กน่ะ ลืมบอกไป หนูมะลิ เป็นหมาพันธ์ทางสีเกือบขาว อายุแปดเดือน หน้าตาตลก ๆพอคุณหมอมา พี่เขาก็รักษาก่อน หมาพี่เขาเป็นแผลที่ขานะ หมาพันธ์ทางเหมือนกัน หน้าตาตลกมาก ๆ รอบตาข้างซ้ายมีวงดำ ๆ เป็นหมีแพนด้าเลยพอเสร็จแล้วพี่เขาก็กลับก่อน
จากนั้นก็มีอีกครอบครัวนึงมารอแต่เมื่อไม่ได้ผ่าตัดก็เลยให้ปรึกษาแล้วก็รักษากับหมอไปก่อน หมอซักถามอาการละเอียดมาก ๆ ตอนนี้ ผู้ช่วยคุณหมอก็มาชั่งน้ำหนกหนูมะลิ แล้วก็เตรียมยาสลบ ได้วางหนูมะลิซะที อุ้มมาเป็นชั่วโมงแล้ว หนักตั้งแปดกิโลสามขีดนะ
พอหนูมะลิหลับ ผู้ช่วยหมอก็พอเข้าห้องพอตัด พอหมดคุยกับคนไข้ข้างนอกเสร็จ ก็เข้าไปผ่าตัดหนูมะลิ
ช่วงที่รอมีแม่ลูกคู่นึงหิ้วตะกร้าใส่พุดเดิ้ลมานั้นข้าง ๆ ซักพักได้ยินเสียงเหมียว ๆ จากตะกร้า เลยงง คุยกันปรากฎว่าแม่พุดเดิ้ล ช่วยเอาลูกแมวที่ตกจากหลังคาหลังจากแม่แมวโดนวางยาเบื่อมาเลี้ยง น่ารักดี
แล้วจากประสบการณ์ของผมเคยเลี้ยงลูกแมวที่ไม่มีแม่มาแล้วสองครอก ครอกแรกห้าตัว เหลือหนึ่ง อีกครอกรอดหมดทั้งสามตัว เลยเล่าประสบการณ์ให้เขาฟัง แล้วหมอก็มาช่วยอธิบายแนะนำแล้วฉีดยาบำรุงให้ลูกแมวตัวนึงที่อาการไม่ดี
แล้วคุณหมอก็เข้าไปทำหมันให้มะลิต่อ แม่มะลิก็มาถึงร้านหมอพอดี ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี เป็นห่วงลูกสาวพอคุณหมอทำหมัน มะลิ เสร็จแล้วอุ้มออกมา แม่มะลิแฟนผมเห็นเข้าก็ร้องไห้เลย สงสารลูก
คุณหมอว่าไม่ต้องตัดไหม.. (ที่พาแมวไปทำที่ร้านอื่น ต้องพากลับมาตัดไหมด้วยนะ)
พากลับบ้าน ในสภาพที่ยังหลับอยู่ เอาใส่กรงในขณะที่เจ้ามะระเป็นห่วงน้องมาก ๆ จนอยู่ไม่ห่างกรงเลย น่ารักมาก
เช้าวันเสาร์ลูกสาวก็เดินได้แล้ว แถมยังกัดผ้าพันแผลอีก เลยต้องดึงออกให้ ปรากฏว่าแผลผ่าตัดมองแทบไม่ออก เหมือนมีคนเอาปากกาแดงมาขีดที่ท้องหนูมะลิเท่านั้นเอง คุณหมอเขาเก่งจริง ๆ ครับ
นี่ก็ครบอาทิตย์แล้ว หนูมะลิ ปกติมาก ๆ นอกจากกินเก่งขึ้นมาเท่านั้นเอง เดือนหน้าก็ตาเจ้ามะระบ้างแล้ว หึ หึ หึ

หากใครตองการสัตว์แพทย์ดี ๆ เก่ง ๆ แถมยังรักสัตว์มาก ก็ลองมาหาคุณหมอได้นะครับ
คุณหมอสุรัชต์ เกษมมงคลชัย
สุรัชต์ สัตวแพทย์757/26 ถ.สิรินธร บางพลัด
ร้านอยู่ตีนสะพานข้ามแยกบางพลัดฝั่งที่วิ่งมาจากตลิ่งชันครับ อยู่ตึกแถวใกล้ ๆ ร้านสมใจนึก
เบอร์โทร 024357007 (ไม่เคยโทรนะ จดมาจากป้ายหน้าร้านครับ)

พบคนดี ๆ หมอดี ๆ สถานที่ดี ๆ หรือของดี ๆ ก็จะนำมาบอกกันครับ

ขึ้นเขาหรือลงเขาดี

หายไปนานอีกแล้ว เหมือนเดิม ติดเล่นอยู่
ใช้ชีวิตให้เครียดน้อยลง ไม่ตั้งความหวังไว้ที่คนอื่น แล้วก็แบกความหวังของตัวเองให้น้อยลง
บอกตั้งแต่เดือนก่อนแล้วนะว่าจะเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิต รู้สึกดีมากเลยตอนนี้ กลับมาเขียนเรื่องที่ตั้งใจทำไว้นานแล้วอีกครั้งไม่ใช่ที่กำลังเขียนอยู่นี่นะ ยังมีเรื่องอื่นอีก ว่าจะเขียนให้เป็นนิยายเป็นเล่มเลย ฮ่า ฮ่า พยายามให้จบก่อนสิ้นปี ถ้าเขียนจบแล้ว ขัดเกลาแล้ว จะเอามาลงเป็นตอน ๆ นะ

เดือนนี้มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีกับชีวิตตัวเองที่จะได้ไม่ต้องไปเข้าใจว่าจะมีคนเหมือนเรานะคุณคิดอย่างไร กับการที่มีผลโพล สำนักหนึ่งออกมาบอกว่า
"คนไทยยอมรับได้ ถ้านักการเมืองจะโกงนิด ๆ หน่อย ๆ"ผมเคยมีความคิดแบบนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว "โกงนิดหน่อย ช่างมัน ทำประโยชน์บ้างก็แล้วกัน" แต่ผมก็เปลี่ยนไปแล้ว การใช้ชีวิตด้านดีและเลวนั้น ไม่สามารถแยกกันได้อย่างชัดเจนหรอก ต้องมีสีเทา ๆ บ้างทั้งนั้น แต่ผมพยายามให้ผมมีสีเทาน้อยที่สุดนะทำให้ผมเลิกคิดตามที่โพลออกมาบอกแล้ว นานแล้วด้วยผมไม่เชื่อที่ว่าแค่โกงนิดหน่อย เพราะขึ้นชื่อว่าโกงแล้ว ไม่มีวันพอหรอก จากหนึ่ง เป็นสอง เป็นสาม สี่ ห้า .... เรื่อยไป มากขึ้นเรื่อย ๆไม่มีจุดอิ่มตัว
ดังนั้นหากเริ่มโกง แล้ว ไม่หยุดซะทันที ก็คงมีแต่จะโกงมากขึ้นเท่านั้นเองแล้วคนโกงจะมีความสุขไหม? นี่เป็นคำถามที่ผมสงสัย สงสัยมานานแล้วด้วย ความสุขที่เกิดจากการโกงคืออะไร?จริงหรือที่คนพวกนี้จะกินอิ่ม นอนหลับอย่างปกติ ผมคิดว่าไม่ใช่ ในเมื่อชีวิตของคนเรามีเท่านี้ ทำไมต้องขวนขวายเพื่อตัวเองขนาดนั้น
พูดแล้วก็เบื่อนะ นี่ยังมีเด็กที่เคยทำงานด้วยกันแต่ตอนนี้ได้ดิบได้ดีแล้ว ในความคิดผม เขาคงเติบโดตขึ้นในทางที่ดี ตอนนี้เขามีบ้าน ซื้อรถยนต์ใหม่แต่ใช้ชีวิตอยู่กับการโกงและการมีจิตใจคับแคบ ไม่ส่งต่อความรู้ให้กับผู้อื่น ความรู้ถึงจะให้คนอื่นไป มันก็ไม่ได้หายไปจากเรานะ แต่เขาก็เปลี่ยนไปมากจากช่วงที่ทำงานอยู่ด้วยกันแล้วพยายามแจกจ่ายความรู้และนิสัยเข้าไป แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว ทำให้มีความรู้สึกว่ามองหน้าเขาได้ไม่สนิทใจอีกนะนี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเอาความหวังไปไว้ที่คนอื่น โชคดีที่ผมลดเรื่องการฝากความหวังไปแล้ว เลยไม่ผิดหวัง เพียงแต่ท้อใจนะ

คนจะดีนี้มันเหมือนเดินเท้าเปล่าเข้าป่ารกแถมยังเดินขึ้นเขาละมั้ง ยากลำบากและเหนื่อยอ่อน ต่างกับทางตรงข้ามนะ ถนนโล่ง เดินลง มีรองเท้าสบาย รวดเร็ว แต่ผมยังเชื่อนะว่าปลายทางของสองเส้นทางนี้ต่างกัน
และผมเลือกที่จะเดินขึ้นยอดเขาไปสัมผัสสายหมอก ลมเย็น และบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นและตกสวย ๆ และปลอดภัย
ดีกว่าเดินลงกลางหุบเขาที่เร็วกว่า สบายกว่า แต่ปลายทางเป็นกลางหุบเขาที่วนเวียนอย่างไม่มีทางออก อากาศชื้น อ้าว อึดอัด ไม่เป็นแสงตะวันอาจจะต้องเจอน้ำป่าที่ไหลลงมาจากเข้า หรือสัตว์ร้ายที่ดักอยู่กลางหุบ..วนเวียนอยู่อย่างนั้น ในที่สุดก็เหนื่อยจนไม่อาจเดินขึ้นเขาอีกครั้งได้
ผมอาจจะโชคดีกว่าคนอื่น ตรงที่เคยเดินลงเขาไปครึ่งทางแล้ว แต่ย้อนกลับมาเดินขึ้นเขาได้ทัน เลยมองเห็นว่าปลายทางทั้งสองต่างกันอย่างไร และ ณ ตอนนี้ ผมเลือกแล้วพอแล้ว สำหรับเรื่องท้อใจ

แล้วคุณละ คิดว่าอยากเดินขึ้นเขา หรือเดินลงเขาดี ชีวิตคุณก็อยู่ที่คุณนะ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เดือนนี้ เปลี่ยนแปลง

หายไปนานอีกแล้วนะ ไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจ หรืออะไรหรอกนะ แต่มัวไปยุ่งกับการเล่นซะเป็นส่วนใหญ่ เลยไม่ได้เขียนอะไรใหม่ ๆ เลย แต่ก็กลับมาแล้วนะ จะพยายาม เขียนให้บ่อยขึ้นละกัน

ช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างนะ ที่บริษัทฯ ก็มีการปรับเงินเดือนปรับตำแหน่งกันไป โชคดีของผมอีกอย่างที่ไม่ได้ตำแหน่งเพิ่ม เลยยังมีเวลาเหลือเฟือเหมือนเดิม ที่เขียนเนี่ย เพราะไม่รู้ว่า หากมีตำแหน่งในบริษัทฯ ขึ้นมานี่ จะทำให้ความคิด การดำเนินชีวิต หรือการตัดสินใจ รวมทั้ง "ลักษณะ" ของตัวเองเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า ถึงผมจะมั่นใจว่าตัวเองคงไม่เปลี่ยนก็เถอะนะ... แต่ใครจะรู้ จริงไหม? เหมือนผมเคยถามพี่คนนึงที่เขาด่ารัฐบาลอยู่ว่า "แล้วถ้าพี่มีโอกาสอยู่ในอำนาจเหมือนรัฐมนตรีคนนั้น พี่จะทำไหม?" พี่เขาตอบไม่ได้นะ แต่ผมน่ะแน่ใจว่า อำนาจ, เกียรติ หรือ ลาถยศ สรรเสริญ ต่าง ๆ นี่ ทำให้ผมเปลี่ยนไปไม่ได้แน่นอน แต่ก็นะ อย่างว่า ใครจะรู้?...

ดีอย่างที่ปีนี้มีเพื่อน ๆ ปรับตำแหน่งขึ้นกันหลายคน รู้สึกดี มีความสุข เวลาเห็นเพื่อนได้ดีนะ สบายใจดี
เห็นบางคนหงุดหงิด กระวนกระวาย เพราะตัวเองไม่ได้ตำแหหน่ง ก็ได้แต่ปลงนะ ทำไม เพื่อนได้ดี แล้วไม่ดีใจกับเพื่อนหว่า.. จ้องแต่จะว่า ตั้งแง่ ทำให้ความเป็นเพื่อนของตัวเองสั่นคลอน.. ไม่เห็นจะดีเลยนะ
เหมือนช่วงนี้ที่รู้สึกว่าเพื่อนบางคนที่ได้ดิบได้ดี ไปแล้วจะกลายเป็นคนที่เราต้องมีชั้นวรรณะกันแล้ว ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่เพื่อนเถอะ ผมก็เหมือนเดิมนะ เวลาพวกได้ดี จะฉลอง ไม่ต้องชวน ถ้าเศร้า เสียใจ ผิดหวัง นี่ เรียกได้เสมอ ถึงจะเปลี่ยนกันไปยังไงก็เถอะ

เดือนที่ผ่านมาพี่ที่รู้จัก สนิท นับถือกันมานาน ก็ลาออกไปอีก แน่นอน ทุกคนมีทางที่ตัวเองเลือกได้ทั้งนั้น
ก็ยินดีไปกับเขาด้วยที่เลือกทางที่ต้องการได้ซะที

ก็เหลือแต่ผมละน่ะ ยังอยากทำนู้น ทำนี่ อยู่ตลอด ชีวิตยังมีสีสันอีกเยอะ ไว้ได้ทางที่แน่อน และ ห่วงชีวิตเบาบางลง ก็คงตาม ๆ พี่เขาไปเหมือนกันละ

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

เบื่อ และ ขี้เกียจ

หายไปเป็นเดือน ไม่ได้เขียนอะไรเลย กลับมาเริ่มใหม่ละกันนะ
ผมเป็นคนที่ไม่ชอบการบีบบังคับ หรือกฎเกณฑ์อะไรมากมายนัก เพราะฉะนั้น เลยมีหลาย ๆ ครั้งที่ชอบแหกกฎ แต่ก็น้อยลงมาก ๆ จากตอนหนุ่ม ๆ นะ
เคยบอกแล้วว่าผมเป็นคนที่มีเวลามากมายเลย ที่จะทำอะไรก็ได้ ที่หายไปนี่ก็มีหลาย ๆ เรื่องเข้ามาพร้อม ๆ กัน ทำให้ขี้เกียจ ไม่ใช่ไม่มีเวลานะ แต่ขี้เกียจเท่านั้น
อย่างเช่น บ้านที่เพิ่งปลูกเสร็จใหม่ ๆ พอเจอพายุฝนที่มาในแนวผิดปกตินิดหน่อย น้ำรั่วลงในห้องนอน
แต่ถ้าพัดมาด้านหน้าก็รั่วลงห้องรับแขก .... เข้าใจอยู่นะว่ามันรั่วกันได้ แต่เร็วไปรึเปล่าเนี่ย..
เรื่องบ้านเมืองก็น่าเบื่อ แทนที่วันสงกรานต์จะเป็นวันที่มีความสุขของคนไทย ก็เลยไม่ใช่ไปซะงั้น
งานที่บริษัทฯ ก็น่าเบื่อ แบ่งแยก ขัดขา ทำให้งานเดินไปข้างหน้าได้ช้า
แถมอาทิตย์นี้ยังมึนหัวปวดหัวมาตั้งแต่วันจันทร์แล้ว เลยคิดอะไร ไม่ค่อยออก ทำอะไรไม่ค่อยได้
อึดอัดจริง ๆ อยากหยุด แต่ก็ขี้เกียจอยู่บ้านคนเดียวอีก

เฮ้อ... มีแต่เรื่องน่าเบื่อ ชวนขี้เกียจ ไว้ค่อย เขียนใหม่ละกันนะ
อาทิตย์หน้าจะตั้งต้นใหม่ละ คงจะสร้างสิ่งดี ๆ ขึ้นมาบ้างแหละน่า...

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

ยูไทโฟร

สี่ห้าวันมานี่ อ่านเรื่องวิธีการของโสกราตีส (ยูไทโฟร) แต่งโดย เปลโต แปลโดยคุณส.ศิวรักษ์ จบแล้ว กำลังจะเริ่มอ่าน โสกราตีสในคุก (ไครโต) อยู่
เคยได้ยินเรื่องแล้วก็ปรัญชาของโสกราตีสมานานแล้ว แต่ยังไม่เคยอ่านจริง ๆ จัง ๆ เสียที พอได้อ่านรู้สึกว่า อืม... คน ๆ นี้นี่ฉลาดสุด ๆ คิดได้ไง คำถามแบบนี้นี่ "สุทธิธรรม" กับ "อสุทธิธรรม" ต่างกันยังไง สามารถอธิบายแก้ไขคำตอบของอีกฝ่ายได้หมด เก่งสุด ๆ คนเราจะมีความคิดตั้งคำถามแบบนี้ได้นี่ คงต้องมีทั้งประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ เป็นอย่างยิ่งยวดเลยนะ
ในหนังสือ นอกจากเรื่องของโสกราตีส คุณส.ศิวรักษ์ ยังมีข้อมูลในส่วนของกรีกโบราณประกอบด้วย ทั้งเอเธนส์และสปาตา ก็ถ้าใครดูหนังเรื่อง 300 ในหนังสือเล่มนี้ก็มีกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ด้วยนะ
ก็ขอขอบคุณคุณส.ศิวรักษ์อย่างจริงใจ ที่ได้แปลหนังสือดี ๆ ออกมาให้ได้อ่านนะครับ ลำพังปัญญาอย่างผมคงไม่มีโอกาสอ่านต้นฉบับภาษากรีกเป็นแน่ แค่ภาษาอังกฤษก็หน้ามืดแล้วครับ

อ่านแล้วมองย้อนมาดูตัวเองและสิ่งรอบตัว ก็เห็นว่าตัวเองก็มีคำถามต่าง ๆ เยอะแยะอยู่ในหัว แต่ก็ไม่รู้จะถามใครดี เพราะวงการที่ผมอยู่มันก็ไม่มีผู้รู้ในเรื่องต่าง ๆ มากมาย คงจำกัดความรู้เฉพาะทางเท่านั้น แล้วแนวการอ่านหนังสือ ก็คงเป็นในแนวทางเดิม ๆ ไม่ทดลองหนังสือแนวอื่น ๆ บ้าง ทำให้ยากในการพูดคุยสอบถามเข้าไปอีก มีอยู่ช่วงนึงที่ทางเว็บ cm77 มีเว็บบอร์ดไว้คุยกับครูมาลา คำจันทร์ ได้ ก็ได้อาศัยสอบถามสิ่งที่สงสัย ได้ความรู้มากมาย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เลยไม่รู้จะถามกับผู้รู้คนไหนอีก หากสงสัยก็ต้องอาศัยอินเตอร์เน็ตนี่แหละ หลาย ๆ แหล่ง เปรียบเทียบเอาเอง
หากเป็นในสมัยก่อน หรือในสมัยโสกราตีส คงมีผู้รู้อยู่รวม ๆ กันมากมาย สามารถสอบถามข้อสงสัยได้อย่างง่ายดายนะ คิดแล้วก็อิจฉาคนสมัยก่อนนะเนี่ย

เขียนอะไรไม่ค่อยออก เพราะความคิดยังกระจัดกระจายจากการอ่านหนังสืออยู่ วันนี้เอาแค่สั้น ๆ แล้วกัน
คนเราจะตัดสินคนอื่นจากอะไร? คนดีกับคนเลวนี้ ต่างกันไหม หากอยู่ในสถานการณ์หรือช่วงเวลาที่ต่างกัน?
อยากคุยคำถามพวกนี้และอื่น ๆ อีกมากมายในหัวกับโสกราตีสจริงเลย

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

กระวนกระวายจากความอยาก

ตั้งแต่กลับจากต่างจังหวัด รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอยังไงไม่รู้ สมองตื้อ... กินอะไรก็ไม่อร่อย
เพิ่งรู้สึกดีขึ้นเมื่อวาน หิวทั้งวัน... วันนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายเป็นปกติละ สมองกลับมาปลอดโปร่งเหมือนเดิมแล้ว
ก็มาเขียนบันทึกกันต่อไปได้แล้ว..

เมื่อวานพออาการดีขึ้น ก็รู้สึกว่าเครื่องเสียงที่บ้านเสียงไม่ค่อยดีเลย อยากเปลี่ยน ทั้งที่เครื่องเสียงที่บ้านก็เป็นระดับ 1bit นะ ไม่ได้ซื้อในราคาเต็มหรอก รอเขาโละ ค่อยซื้อมา ความรู้สึกจริง ๆ ก็ว่าเสียงแค่อยู่ในระดับโอเคนะ แต่ช่วงหลัง ๆ ก็ฟังเครื่องเสียงจากที่อื่นบ้าง ฟังคนอื่นวิจารณ์เครื่องรุ่นนี้บ้าง ทำให้รู้สึกไม่พอใจไปด้วย อยากจะเปลี่ยน แต่เมื่อวานพอช่วงบ่าย ๆ ก็คิดกลับมาได้ว่า ทำไมต้องไปฟังคำคนอื่นนะ ใจเราบอกว่าใช้ได้ ก็หมายความว่าใช้ได้ซิ ถึงจะไม่ดีเลิศ ก็ไม่เป็นไร แค่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ก็พอ พอคิดได้แล้ว ก็สบายใจขึ้นเองนะ เลิกอยากเปลี่ยนเครื่องเสียงแล้วละ

ต่อมาก็มีความรู้สึกอยากได้ PS3 ขึ้นมาอีกแล้ว กิเลสส่วนนี้คงตัดได้ยากจริง ๆ นะ เพียงแต่ผมยังชะลอมันออกไปอีกได้ ไม่ใช่คนเดิมเมื่อ 4-5 ปีก่อน อีกแล้ว ที่จะเอาอะไร ก็ไปซื้อเลย โดยไม่ศึกษาหรือตรวจดูความต้องการของตัวเองให้ดีก่อน แต่คราวนี้คิดเรื่อง PS3 มาปีกว่า ๆ แล้ว ตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อ แต่รอดูวิธีก่อนว่าจะเลือกซื้อในลักษณะไหนดี คิดเสียว่าเป็นรางวัลให้กับชีวิตก็ละกัน ชีวิตนี้ให้คนอื่นมาเยอะแล้ว ให้กับตัวเองบ้างจะเป็นไรไปนะ คิดได้แล้วก็สบายใจละ เพราะไม่ได้ตั้งไว้ว่าจะซื้อเมื่อไหร่ แค่คิดว่าซื้อแน่ ๆ เท่านั้นเอง คิดเสร็จ เมลล์ไปบอกแฟนว่าอยากได้ แฟนตอบกลับมาเลย ว่าเดี๋ยวสิ้นเดือนซื้อให้ โอ.... น่ารักใช่ไหม แค่บอกจะซื้อให้ก็ซึ้งมากแล้ว ยังไงก็ซื้อเองแหละ เพียงอยากให้เขามีส่วนร่วมในชีวิตส่วนตัวของเราเท่านั้นเอง แค่เขาเห็นด้วย ก็มีความสุขมาก ๆ แล้ว

ความอยากทั้งสองอย่างที่เขียนไว้ข้างบนนี่ ไม่ได้เป็นความอยากที่เป็นทุกข์แล้ว หมายถึง เป็นความอยากที่ไม่สร้างความกระวนกระวายให้กับผมเลย เพียงแต่สร้างความสงสัยในตัวเองเพิ่มขึ้นเท่านั้น แล้วเมื่อตอบคำถามให้กับตัวเองได้ มันก็สลายไปเอง ได้คำตอบที่ถูกต้องสำหรับตัวเอง ถึงจะไม่ถูกใจคนอื่นก็เถอะ

เมื่อวานยังมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกดี ๆ ขึ้นหลายอย่าง อย่างนึงคือ การที่นำเสนองานโครงการใหม่ แล้วปรึกษากับผู้ใหญ่ แล้วเขาให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ อย่างที่เรียกได้ว่าคาดไม่ถึงกันทีเดียว คำปรึกษาที่ได้จากประสบการณ์ของผู้ที่ผ่านโลกมามากนั้นเป็นประโยชน์มาก ๆ เลยนำมาปรับปรุงกับงานเพื่อความสมบูรณ์ขึ้น
ถึงแม้ว่าตัวผมคนปัจจุบัน จะไม่ใช่คนที่เห็นตัวเองเก่งกว่าคนอื่นเสมออีกแล้วก็ตาม แต่หลาย ๆ ครั้งงานที่นำเสนอมักเกิดปัญหาการตามไม่ทันของทั้งผู้ใหญ่และน้อง ๆ เลยทำให้เผลอคิดไปบ้างว่าพวกเขาช่างไม่ตามโลกบ้างเลย ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น ตัวผมในปัจจุบันนี้รู้ดีว่าไม่มีใครเก่งทุกอย่างหรอก ผมอาจจะทำงานที่ตัวเองทำเก่ง แต่ปลูกข้าวไม่เป็น อาจขี่จักรยานเก่ง แต่พายเรือสู้ชาวประมงไม่ได้ อาจปลูกกล้วยไม้ได้ดี แต่ทำอาหารสู้แฟนไม่ได้เลย การที่ผมเผลอคิดดูถูกคนอื่น นั้น ทำให้รู้สึกละลายใจมากที่ ยังสลัดความคิดแบบนี้ไปไม่หมด แต่เชื่อว่าวันนึงมันจะหมดไปได้จริง ๆ
ที่พูดได้แบบนี้นั้น ยืนยันว่าคนเรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง เหมือนที่ผมเป็น เหมือนที่เพื่อ ๆ เป็น
คนทุก ๆ คนสามารถเป็นได้ ถ้าตั้งใจจริง

ความอยากได้อยากมีนั้นมีหลายประเภท หากตอบคำถามให้กับใจตัวเองได้ว่าจริง หรือไม่ตริง ควรหรือไม่ควร ได้แล้ว ความอยากนั้นจะกลายเป็นความอยากที่ไม่กระวนกระวาย หรือเผาใจเราให้ไหม้ ให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นความอยากที่ไม่เร่งรีบและมีความสุขได้นะ คิดว่างั้นแหละ

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความเปลี่ยนแปลง

สองอาทิตย์นี้ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ทำงานอยู่ที่ขอนแก่นกับเชียงใหม่...เมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
จากที่ได้เดินทางมาทั้งทำงานและท่องเที่ยวในสองจังหวัดนี้ ปี ๆ นึงก็หลายครั้ง แล้วก็เป็นแบบนี้มาเกือบสิบปีแล้วสังเกตได้ว่าหลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
ความจริงคงไม่เฉพาะสองจังหวัดนี้หรอกแต่เป็นทุก ๆ ที่นั่นแหละ
ที่ขอนแก่นเองก็มีทั้งการสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่อยู่ตรงประตูเข้าเมืองเลย
มองในแง่ดีก็เป็นการสร้างงานสร้างรายได้นะแต่มองอีกที ก็เหมือนกับการขายวัฒนธรรมเดิม ๆ ของชาวบ้านออกไปแล้ว แล้วยังเรื่องทัศนียภาพอีก...
นอกจากห้างแล้ว ยังมีการทำอุโมงค์ลอดทางแยกอีกนะ... ตลาดขายอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่หลังมข. ก็เปลี่ยนไปเป็นถนน ที่มีทางเท้าไว้เปิดเป็นร้านขายอาหารถนนข้างมข. ก็มีร้านอาหาร ผับ เกิดใหม่ อีกเยอะแยะ
ช่างเป็นการเพิ่มความเจริญได้อย่างดีจริง ๆ
เช้า ๆ ก็ยังไปกินโจ็ก กับแป้งจี่ ที่เป็นขนมปังฝรั่งเศส ผ่าใส่กุนเชียงกับหมูยอ แล้วปิ้งกินกับซอสพริก เหมือนเดิมพูดถึงอาหารอย่างนี้ที่เวียงจันทร์ฝั่งลาวนี่ก็มีเยอะนะราคาก็ถูกด้วย เครื่องที่ใส่ก็มีเยอะแยะ เสียแต่ว่าขนมปังเป็นแบบขนมปังฝรั่งเศสจริง ๆ เลย แข็งมาก ซื้อสิบบาทกินกันอิ่มเลย.
อ้าว... ไปเวียงจันทร์ได้ไงนี่ อยู่ขอนแก่นอยู่ดี ๆ จริง ๆ ก็ไม่ได้ไปเวียงจันทร์มา 3-4 ปีแล้ว ไปดูว่าอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไป
ขอนแก่นนี่ ที่เปลี่ยนน้อยหน่อยคงเป็นผู้คนที่ยังมีอัธยาศัยดีอยู่ ขอนแก่นก็ยังเป็นเมืองที่น่าอยู่...
ส่วนที่เชียงใหม่ ก็ยังมีหมอกครัวเยอะแยะเหมือนทุกปี ทั้งที่ทางการก็ประกาศไปแล้ว ก็ยังมีการเผาป่าอีก อันนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงเผาก็เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำเกษตรต่อ ขี้เถ้าทำให้เกิดปุ๋ย แต่ผมว่าไม่คุ้มกับการเสียพื้นที่ป่า เสียสุขภาพ แล้วยังเสียรายได้จากการท่องเที่ยวอีกด้วย เรื่องนี้คงต้องพยายามรณรงค์กันต่อไป สู้เขา เทศบาลเชียงใหม่
เมื่อคืนพาเพื่อนไปกินหมูทอดเที่ยงคืน แค่ 5 ทุ่มกว่า ๆ ก็คนแน่น คิวยาวซะแล้ว ขี้เกียจรอ เลยกลับมานอนดีกว่าเมื่อก่อนก็ไปกินบ่อย ๆ นะ ช่วง 5 ทุ่มเนี่ย แค่คราวนี้สงสัยจะชื่อดังขึ้น คนเลยมารอคิวกันมากขึ้น ก็ดี เงินจะได้หมุนเวียนในระบบ ขับรถดูทั่ว ๆ เมือง เชียงใหม่ก็ยังเป็นเมืองเชียงใหม่อยู่ดี มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนที่อื่น ผมไม่เห็นด้วยกับการเวนคืนบ้านพื้นเมือง บ้านเก่า ๆ แล้วเอามาขยายถนนคนที่มาเชียงใหม่คงไม่ได้หวังว่าจะด้วยนั่งรถสะดวกสบายไปทั้งเมืองนะ ... ไม่อย่างนั้นคุณจะสัมผัศเชียงใหม่ใกล้ ๆ ได้ยังไงกัน ก็เห็นเขาเขียนแผ่นป้ายคัดค้านกันทั่วเมืองเชียงใหม่ ไม่รู้ว่าทางเทศบาลเมืองจะเอายังไงกัน ส่วนตัวผมว่าอย่าขยายเลย ถนนน่ะ ของเก่า ๆ มันหมดไปเยอะแล้วรักษาเอาไว้บ้างเถอะนะ
อีกเรื่องก็คงเป็นเรื่องสนามบิน ที่เขาเถียงกันอยู่ว่าจะเป็น Single airport น่ะ บ้านเรามันไม่ได้เล็กอย่างสิงคโปร์เขา จะได้มีสนามบินเดี่ยวจะเสียหายตรงไหน ถ้ามีสนามบิน 2 สนามบินเป็นสนามบินหลักของประเทศ ผมว่ามันน่าจะดีกว่านะ แล้วจากประสบการณ์ของผมที่เดินทางทั้งสองสนามบินนี้มาหลายครั้งทั้งภายในและภายนอกประเทศ ผมว่าดอนเมืองสะดวกกว่าสุวรรณภูมิ ในแง่การเดินทางนะ
ถ้าเปรียบเทียบดอนเมืองสำหรับผมก็เป็นเหมือนคนเอเซีย รู้สึกอบอุ่น งดงาม วางใจได้ ถึงจะเก่า แต่ก็ดูแลดีส่วนสุวรรณภูมิ เป็นเหมือนคนตะวันตก แข็งกร้าว เข้มแข็ง สวยงาม ทันสมัย แต่ไม่มีความอบอุ่น ... ยังไงก็สนับสนุนให้ใช้สองสนามบินดีกว่านะรัฐฯนะ
มาที่สนามบินได้ไงเนี่ย?แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงมาถึง
ก็คงต้องยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นละนะ

ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาของทุกสิ่ง
การปรับปรุงเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง
ก็คงต้องใช้คำขวัญส่วนตัวละนะ "ไม่มีอัตตา ไม่มีทุกข์"
เมื่อไม่รู้สึกว่าเป็นตวกู ของกู ก็มองเห็นข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

แพ้สังขาร

ไม่มีบันทึกมาหลายวัน มาจากอาการแพ้สังขารนี่แหละ
วันศุกร์กลับจากขอนแก่นถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้วนะ
วันเสาร์ก็ทำงานบ้านทำนู่นทำนี่อีก เหนื่อยแฮะ พักผ่อนดีกว่า เลยลืม
พอวันอาทิตย์ก็ไปบริจาดเลือดที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนกาชาดเปิด 8.30 น. ไปถึง 9 โมง คนรอเยอะแยะว่าจะบริจาคเกล็ดเลือด ทางกาชาดก็ว่าไม่ได้บริจาดเกล็ดเลือดมาเกือบ 8 เดือนแล้ว ให้บริจาดเลือดครั้งนึงก่อน แล้วเกล็ดเลือดกรุ๊ปบี ก็เยอะแล้วด้วย
อืม.. แล้วไงหว่า มีเลือดเยอะดีกว่าขาดนะ ว่าแล้วก็ไปบริจาคเลือด ทำไมไม่เปิดห้องใหญ่นะ มากางเตียงบริจาคเป็นเตียงสนามเชียว มีซักสิบเตียงได้มั้ง ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นวันเสาร์อาทิตย์ บริจาดเต็มวันแล้วก็เต็มรูปแบบนะ คนที่เขามาบริจาคก็หยุดงานเสาร์อาทิตย์ทั้งนั้น ถ้าบริจาคเต็มวันเต็มรูปแบบวันเสาร์อาทิตย์ น่าจะได้เลือมากขึ้นนะ ก็ได้แต่คิดนะ กาชาดเขาคงมีความคิดของเขาแหละ
แล้วไงผลปรากฎว่า บริจาคเสร็จ เป็นลม ซะงั้น
บริจาคมา 20 ครั้งนี่ไม่เป็นมาเป็นเอาครั้งนี้ คงจะประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ
เหนื่อยจากการเดินทาง, พักผ่อนน้อย, ไม่ค่อยออกกำลังกายคงต้องปรับปรุงร่างกายกันยกใหญ่
กลับบ้านได้เลยหลับเป็นตายเลย ตกเย็นก็ไปเยี่ยมเพื่อนที่รถล้ม ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก
กลับมาบ้านก็ อ้วก แล้ว ปวดท้องทั้งคืน วันจันทร์ต้องเดินทางไปเชียงใหม่ ซะด้วย
วันจันทร์ก็ไปเชียงใหม่ ด้วยสภาพใจเต็มร้อยอย่างเดียว แต่สังขารไม่ไหว ปวดท้อง คลื่นไส้ตลอดทางถึงเชียงใหม่ว่าจะหาหมอก็ พอดีรู้สึกดีขึ้นซะก่อน เลยนอน
วันอังคารเลยดีขึ้น ทำงานไหว วันนี้ก็ดีขึ้นอีก
กลับกรุงเทพฯคราวนี้ คงต้องสังขยานาตัวเองใหม่ซะแล้ว ก็คิดได้มานี่ว่า อย่าใช้ชีวิตโดยประมาทเลย เราไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรกับเราบ้าง จงใช้ชีวิตอย่างสุขุมเถิด
นี่ก็เริ่มว่างแล้ว กำลังคิดอยู่ว่าจะไปหาหนังสือมาอ่านซะหน่อย เพราะจากสังขารที่ยำแย่ก่อนเดินทางมาเชียงใหม่ทำให้ลืมหลาย ๆ อย่าง
ลืมหนังสือที่จะเอามาให้พี่เขาอ่าน ลืมหนังสือสำหรับอ่านเอง ลืมข้อมูลที่เก็บไว้ใน Thumb drive และอื่น ๆ
เชื่อมาตลอดเลยว่าจิตบังคับกายได้ ถึงจะทำได้ก็จริง แต่คงไม่ถึงขั้นดี หรือให้ผลลัพธ์ที่ดีหรอก
2-3 วันที่ผ่านมานี่ทำให้ผมเข้าใจความหมายมากขึ้นต่อให้จิตใจเข้มแข็งขนาดไหน
ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถหวังผลได้หรอก

ร่างกายที่ดี จิตใจที่ดี ทำปัจจัย ให้เกิดผล
กลับไปจะเปลี่ยนตัวเองขนานใหญ่แล้วนะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

สำรวจตัวเองบ้างดีกว่า

เมื่อวานไม่ได้บันทึกเรื่องราวอะไรเลย รู้สึกผิดกับตัวเองอีกแล้ว แต่เรื่องที่เขียนเมื่อวันก่อน ก็ไร้สาระไปหน่อย ไม่ถูกใจตัวเองเหมือนกัน
วันนี้เลยต้องมาสำรวจตัว สำรวจจิตใจของตัวเองซักหน่อย ลองมาดูตัวเองแล้วตรวจดูว่าทำไมถึงมีความรู้สึกที่ไม่พอใจคนอื่นอยู่ ทั้งที่ตัวของเราเองยังไม่สามารถให้ทำอะไรให้ตัวเองพอใจได้ตลอดเวลาเลย อันนี้เป็นเพราะเราคงมีความคาดหวังในตัวผู้อื่นมาก ถึงมากเกินไป ทำให้หากเขาไม่สามารถทำตามที่เราคาดหวังได้ เรารู้สึกผิดหวัง จึงเกิดเป็นความไม่พอใจ อันนี้คงต้องระวังจิตใจของตัวเองแทนละ เพราะอย่างที่ว่าบางทีผมยังไม่สามารถทำให้ตัวเองพอใจได้เลย แล้วทำไมถึงต้องไปคาดหวังในตัวของคนอื่นกัน
เชื่อไหม ว่าผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว? แต่มันจริงนะ ก่อนนี้ผมอาจคิดไว้แล้วแบบที่เขียน ๆ มา พอรู้สึกไม่พอใจใคร ผมก็คิดอย่างนี้แหละ ใช้เวลาซักพักมันก็ดีขึ้น แต่คราวนี้พอเขียนลงไปด้วย กลับรู้สึกดีขึ้นทันที อาจเป็นเพราะสามารถระบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ ทำให้ความคิดมันออกมามีตัวตนบ้างจะได้ไม่วิ่งอยู่แต่ในสมอง
เอาเป็น จากนี้ไป มีเรื่องอะไรที่ผมคิดได้ จะเอามาใส่ไว้เลยละกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่น่าคิด หรือมีข้อคิดกันละ เพราะมันน่าจะดีต่อสุขภาพจิตของผมเองนะ
กลับมาที่การสำรวจตัวผมเองกันต่อ ล่าสุดที่ทำให้รู้สึกไม่ดีคือ กินข้าว แค่กินข้าวกลางวันนี่แหละ ไม่รู้มีใครเป็นอย่างผมบ้างรึเปล่านะ คือ ผมไม่ชอบเสียงแจ๊บ ๆ ที่คนกินข้าวบางคนเป็นน่ะ
คือ ถ้าคนเรากินข้าว กินอาหารแบบไม่หุบปาก มันก็จะมีเสียงออกมา "แจ๊บ ๆ" รู้สึกขยะแขยงน่ะ ไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ ไม่อยากได้ยิน ถ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ก็พาลคิดไม่ออกไปซะงั้น!
มันคงเป็นอาการที่ติดตัวมาตั้งนานแล้วนะ เพราะมันเป็นมาตลอดเลย ทนไม่ไหว ถ้ากินข้าวร่วมวงกัน ก็คงอิ่มเร็วเลยละ บางทีพอรู้ว่ามีคนกินแบบนี้ในวงข้าวก็เลยขอไม่ร่วมวงไปซะเลยจะดีกว่า
การที่คนเรากินข้าวไม่หุบปากนี่มันมีโทษหลายอย่างนะ คือ มีอากาศเข้าไปในกระเพาะ พร้อมกับอาหารที่กินเข้าไป ทำให้ท้องอืด กินเสร็จก็เรอให้น่ารังเกียจเข้าไปใหญ่ ระหว่างที่กินก็อาจมีเศษอาหาร
ร่วงหรือกระเด็นออกมาจากปากอีก แล้วก็แน่นอน มีเสียงแจ๊บ ๆ เออ.. ใครจะรับได้ก็รับไปเถอะ ผมรับไม่ได้จริง ๆ ก็ใช้วิธีหนีจากปัญหาบ้างเพราะไม่คิดว่าบอกเขาแล้ว เขาจะปรับตัวได้ เพราะเจอแต่คนที่อายุเยอะ ๆ ทั้งนั้นที่เป็น ก้เลยขอหนีเอาละกัน
อีกเรื่องคือเรื่องการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ๆ ซึ่งมักจะทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจเสมอ เวลาที่ได้เห็น หรือได้รู้เรื่องราวแบบนี้ ซึ่งถ้าช่วยเหลือได้ ก็ช่วยกันไป
แล้วก็เรื่องของการเข้าข้างคนผิด การช่วยอย่างไม่ลืมหูลืมตา การเล่นพรรคเล่นพวก เรื่องพวกนี้ ทำให้คนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ ท้อใจกันไปเยอะแล้ว
ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่มักทำให้รู้สึกไม่พอใจ ก็ไม่ค่อยมีแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ใช้วิธีคิดอย่างที่บอกไว้ข้างบน ไม่เอาความคาดหวังของตัวเองไปตั้งไว้ที่คนอื่นแล้ว

เคยอ่านไหม ข้อความที่ว่า "สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้" นี่นะจริงนะ เพราะการทำดีในหมู่คนพาล เราก็กลายเป็นเลวอยู่ร่ำไป คนดี ๆ เลยท้อแท้กันไป
สังคมก็เลยก้าวไปในทางที่ผิด ๆ เมื่อคนส่วนใหญ่ทำเรื่องที่ผิด ๆ จนเป็นประจำแล้ว ก็บอกกับผู้อื่นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องนะ จนคนใหม่ ๆ ที่เข้ามาในสังคมคิดอย่างนั้นไปด้วย

การที่เราไม่พอใจในสิ่งนอกตัวเราน่ะ เพราะเราเอาความคาดหวังของเราไปใส่ไว้ที่อื่น เมื่อไม่สำเร็จจึงเกิดเป็นความไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจก็เกิดความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดในแง่ลบ จะไปมีความคิดสร้างสรรค์ ต่อไปได้ยังไง

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

ไร้สาระ ไม่ต้องอ่านก็ได้

เมื่อวานนี้เดินทางมาทำงานที่ขอนแก่น หลังจากไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ก็เกือบบ่ายโมง
เพื่อนมารับประมาณนั้น ก่อนออกจากกรุงเทพฯ แวะกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าเดิมแถวบ้าน อืม...รู้สึกเหมือนความอร่อยมันน้อยลงนะ
ก็ขับรถออกมาทางบางบัวทอง แล้วไปสระบุรี ก็เจอฝนตกหนักเลย แล้วก่อนเข้าโคราช ก็ไปทางบายพาสขอนแก่น แวะที่ปั๊ม ปตท. ใหญ่ ๆ
นั่งกินกาแฟไปคุยกันไป เกี่ยวกับเรื่องการทำมาหากินเนี่ยแหละ ว่าอยากทำอะไรดี อย่างโน่น อย่างนี้จะดีไหม?
นั่งกันเป็นชั่วโมง แล้วก็ขับรถเข้าขอนแก่น ช่วงเมืองพล ก็แวะปั๊มเข้าห้องน้ำอีกที เจอเขาขายหม่ำ เลยถามเพื่อว่าสนใจไหม?
แน่ละ ไม่ซื้อทั้คู่ ก็กินไม่เป็นนี่ แล้วเพื่อนที่ขอนแก่นก็โทรมาว่าจะมาเจอที่โรงแรม พอถึงโรงแรม เช็คอินเสร็จ ก็ไปกินราดหน้าที่หลังโรงแรม ซื้อขนมเสร็จก็เข้าห้อง
โทรหาแฟนนิดหน่อย แล้วก็นอน ซัก 4 ทุ่มมั้ง
วันนี้พอตื่นก็ไปกินโจ๊ก, ข้าวจี่ (ขนมปังใส่กุนเชียงกับหมูยอ แล้วปิ้ง) แล้วก็กาแฟ อิ่มจนแน่นเลย
แล้วก็ไปทำงานตอนทำงานก็ได้แต่คิดว่า คนเรานี่จะสามารถไม่พัฒนาตัวเองได้แค่ไหนกันนะ ขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าผมเป็นคนที่เชื่อว่า
โลกนี้ไม่มีคนโง่ มีแต่คนช้า คนที่พยายาม แล้วก็คนไม่พยายามเท่านั้น แต่การทำงานวันนี้ เหมือนจะสั่นคลอนความเชื่อนี้ซะหน่อยแล้ว อา... เหนื่อยนะ
ตอนเที่ยงเข้าไปกินข้าวใน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่อร่อยเลย ซื้อกาแฟกินต่อ ไม่อร่อยหนักเข้าไปอีก วันนี้มันวันอะไรกันว้อย!!
กลับมาทำงานต่อ พอเลิกตอนเย็น เพื่อนลืมเอากางเกงในมาเลยไปซื้อในโลตัส แล้วก็กลับมากินข้าวมัน, ไก่, ขาหมู, เกาเหลาต้มยำ อิ่มมาก ๆ เลย 2 คน
แล้วก็เข้ามาเนี่ย ว่าจะอาบน้ำแล้วโทรศัพท์หาแฟนที่รักซะหน่อย

อืม วันนี้ไม่มีความรู้สึกที่จะสร้างสรรค์ตัวเองเลย ไร้สาระจัง... แปลกนะ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันเกิด

เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดของผม อืม... ก็แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะ ความรู้สึกก็เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกแก่ไปด้วย
ปกติ สำหรับผมวันเกิดก็เป็นวันที่ต้องคิดว่าจะตั้งใจทำอะไรดีในปีที่จะแก่ขึ้นอีกแล้ว เหมือนเป็นการให้คำสัญญากับตัวเองนั่นแหละ ให้สัญญากับตัวเองว่าจะทำอะไรดี ๆ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ปีละ 2 ครั้ง คือปีใหม่ กับวันเกิด ก็อย่างน้อยก็คงมีสิ่งดี ๆ เพิ่มขึ้นปีละ 2 อย่างละนะ
วันเกิดนี่ผมไม่ชอบไปฉลองวันเกิดที่ไหน วันเกิดนี่เป็นวันที่ควรคิดถึงพ่อแม่ที่ให้กำเนิดและทำสิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตนะ วันสาร์เลยเตรียมตัว ไปซื้อของจะทำบุญ ถวายสังฆทาน ไม่ได้ไปซื้อสำเร็จนะ ก็ค่อย ๆ ไปซื้อผ้าขนหนู, สบง, อังสะ, มีดโกน, สบู่, แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, ยาสามัญประจำบ้าน, ยาสระผม (เอาไว้ตอนวันโกน) อ้า... จำได้แค่นี้แหละ ตอนไปซื้อจอดรถอยู่ข้างถนน ก็โดนรถเชี่ยวอีก ก็คงผิดทั้งคู่แหละ ผมก็จอดเกือบช่วงทางโค้ง พี่เค้าก็ลืมดูข้างซ้าย ก็เลยคุยกันดี ๆ แล้วก็แยกย้ายกันไป ถือว่าฟาดเคราะห์ไป เป็นคนไทยนี่ก็ดีอย่างนะ เวลาเกิดปัญหา หรืออะไรหนักอกหนักใจนี่ ก็ว่าฟาดเคาระห์บ้าง กรรมเก่าบ้าง นี่เป็นข้อดีที่เกิดเป็นคนไทยนะ เพราะมันจะทำให้เกิดการเห็นอกเห็นใจกันน่ะ ส่วนกับข้าวใส่บ้าน แฟนก็หัดทำหมูอบ อาหารโหรดของผมให้ โดยไปถามแม่ผมว่าทำยังไง แล้วพอทำเสร็จก็ได้รสชาดเหมือนแม่ทำเลย พ่อกับแม่ผมก็ชมกันใหญ่ แฟนผมแทบเดินออกจากบ้านแม่ไม่ได้ (หน้าบาน) ของสังฆทานที่ซื้อมาก็เอามาบรรจุกันเองที่บ้านช่วยกันห่อลงในถุงพลาสติก 2 ชั้น เสร็จแล้วดูดีขึ้นมาทีเดียว (ลืมถ่ายรูปไว้นะ) เสร็จแล้ว ก็เอาลอดช่องใส่ถ้วยไปให้พอกับแม่ แล้วนั่งคุยกันอยู่ซักพัก ได้ยินเสียงมะลิ กับมะระ เห่าที่บ้าน เดินกลับมา อ้าว! มีเพื่อนมาที่บ้าน บอกมาสุขสันต์วันเกิด แล้วก็มีตามมากันเรื่อย ๆ ก็ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนนะที่มา กลับกันก็เกือบตีสามแล้ว
ที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำบุญตอนเช้า แล้วไปบริจาคเกล็ดเลือดต่อ เลยเหลือแค่ทำบุญตอนเช้าพอ นอนดึกแบบนี้คงไปไม่ไหวแล้วละ นอกจากนั้น ผลของการนอนดึก ยังทำให้เบลอ ๆ แล้วก็ปวดหัวทั้งวันอีก นี่ขนาดไม่ได้กินเหล้า กินเบียร์นะ (ก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่กินแล้วนี่) ยังรู้สึกไม่ดีจากการนอนดึกเลย สงสัยว่าตอนวัยรุ่นนี่ ผมไปเที่ยวยันเช้า บ่อย ๆ ได้ยังไง?
ทำบุญตอนเช้าเสร็จกลับมากินข้าว เก้าโมงก็นอนแล้ว ตื่นมา 11 โมงกว่า ก็ออกไปซื้อเป็ดย่างมาให้พ่อแม่กิน ฉลองวันเกิด แล้วก็กลับมากินข้าวกับแฟน ตอนเย็นก็ช่วยพี่สาวทำงานนิดนึง จัดหน้าเอกสารประกอบการบรรยายของเขาหน่อยแต่ทำเยอะไม่ไหว สมองไม่วิ่งเลย อืม... นอนดึกนี่เลิกกันเลย ทำอะไรไม่ได้นี่ทำให้หงุดหงิดนะเนี่ย เลยกินยานอนดูบอลดีกว่า...

ขอบคุณพ่อแม่ ที่ให้กำเนิด ขอบคุณเกด ที่เกิดมาเพื่อเป็นที่รัก ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคนที่รักและเป็นห่วง
ขอบคุณที่ได้เกิดมา

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ว่าด้วยเรื่องไทย ไทย

นานมาแล้วเคยคุยกับพี่คนนึงเกี่ยวกับเรื่องลักษณะนิสัยของคนไทย แล้วสรุปกันว่าตรงกับที่เคยได้ยินมาเลยว่า "ทำอะไรตามสบายคือไทยแท้" และในความคิดของผมแล้ว ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และความอุดมสมบูรณ์เป็นต้นเหตุของลักษณะนี้
คนไทยไม่ชอบวางแผนการทำงาน, ไม่ชอบกฎระเบียบ แล้วก็ไม่ตรงเวลา สาเหตุก็เนื่องมาจากที่ลักษณะอากาศบ้านเรานั่น ไม่มีฤดูไหนที่ไม่สามารถหาอาหารได้ หรือไม่มีฤดูไหนที่เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้
ด้วยลักษณะอากาศเช่นนี้ ทำให้คนไทยไม่จำเป็นต้องวางแผนตระเตรียมอะไรนัก ในการดำเนินชีวิตในปกติสุข
แตกต่างกับประเทศเมืองหนาว เมื่อถึงฤดูหนาว นั่นหมายความว่าพวกเขต้องมีอาหารกักตุนไว้เพียงพอกับการกินการอยู่ตลอดทั้งฤดู เพราะการจะออกไปหาอาหารนั้นต้องฝ่าทั้งหิมะที่หนาวเย็น และยังมีโอกาสหาอาหารได้น้อยอีกด้วย
พืชผักต่าง ๆ โดนหิมะเข้าก็พักตัว ไม่เจริญเติบโตซะงั้น เพราะมีฤดูหนาวที่รุนแรงนี่เอง ทำให้คนในเมืองหนาวต้องวางแผนการเตรียมอาหารสะสมไว้ ในระหว่างฤดูอื่น ๆ ที่ยังหาอาหารได้สะดวก ทำให้ติดเป็นนิสัย ต้องวางแผนในการทำงานเสมอ
พอคนไทยไม่ต้องวางแผนในการดำรงชีวิตแล้ว ก็แล้วเลยไปถึงการที่ไม่ชอบกฎระเบียบเพราะรักความสะดวก และคิดว่าสามารถจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเลยไปถึงการที่ไม่รักษาเวลาด้วยเลย
การอยู่ในบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์นี่ ก็ทำให้คนนิสัยเสียได้นะ
แต่ความอุดมสมบูรณ์ก็ทำให้เกิดลักษณะนิสัยที่ดี ๆ เช่นกัน เพราะการที่มีข้าวปลาอาหารอยู่อย่างมากมาย จึงกลายเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเห็นอกเห็นใจ แล้วก็มีน้ำใจระหว่างกัน แต่ในปัจจุบันคงจะลดลงไปทุกทีแล้วละ เอาแค่ในชีวิตผมนี่ ผมเห็นคนที่เป็นคนดีจริง ๆ ในประเทศไทยนี่เป็นส่วนน้อยแล้ว
สมัยก่อนตอนที่ผู้คนยังไม่มากขนาดนี้ ก็ยังคงสภาพสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้อยู่หรอกนะ ความเจริญที่เข้ามาคงทำให้ใจของคนเหือดแห้งลงไปด้วย
เรื่องเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของคนไทยนี่คิดมานานแล้ว ก็คิดว่าทำไมไม่มีใครคิดอย่างเราหว่า พอดีได้หนังสือของคุณ ส.ศิวรักษ์ เรื่อง ตายประชดป่าช้า ที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2514 ในเล่มก็มีเรื่องของผู้ที่คิดคล้าย ๆ กับผม ก็ดีใจว่าเราก็คิดได้คล้าย ๆ ผู้รู้เหมือนกันนะเนี่ย

เมื่อเดือนก่อน พ่อกับแม่ก็มาบ่นให้ฟังถึงเรื่องเกี่ยวกับน้ำใจกับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ฟัง ปกติแถว ๆ บ้านจะมีคนรู้จักกัน ขับมอเตอร์ไซค์มาขายห่อหมกปลาอยู่บ่อย ๆ บางครั้งเขาก็มาสั่งเอาใบตองกับแม่ผม เพราะมันถูกกว่าที่ตลาด คือพอแม่ผมตัดใบตองแล้ว ส่วนใหญ่จะเอาไปขายตลาด (แหม เหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลยนะ)
เราก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่บ้านผมน่ะซื้อของเขาบ่อยกว่านะ แล้วก็เป็นเรื่องให้หงุดหงิดกันจนได้ เพราะตอนเขามาสั่งใบตอง แม่ผมบอกว่าเอาเป็นแลกกับห่อหมกห่อนึงละกัน เขาก็ตกลง พอตอนเย็นเขามาเอาใบตองเค้าก็เตรียมห่อหมกมาเป็นพิเศษเลย เพื่อแลกกับใบตองเราเลย ในราคาเท่ากันนะ
พอพ่อผมเขาแกะห่อหมกจะกิน ปรากฎว่า มีเนื้อห่อหมกนิดเดียว ที่เหลือเป็นผัก...อืม น้ำใจที่เราให้คนอื่น อาจจะโดนตอบแทนด้วยความเห็นแก่ตัวก็ได้นะ
ตอนนี้ไม่รู้ว่า พ่อแม่ผมยังซื้อห่อหมกของคนนี้อยู่หรือเปล่านะ แต่เห็นแกก็ไม่คิดอะไรเท่าไหร่ แค่บ่น ๆ ในฟัง
ก็ทำให้เห็นว่าคนเรานี่พร้อมที่จะเอาเปรียบคนอื่นอยู่เสมอ ก็คงได้แต่คอยระวังใจระวังตัวเองไม่ให้เอาเปรียบใคร แล้วอย่าให้ใครเอาเปรียบก็พอนะ

อย่าให้ภูมิอากาศ ภูมิประเทศมาทำให้เราเป็นเลย ใจของเรารู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรที่ดี อะไรที่ไม่ดี
อย่าให้ใจเราเหือดแห้ง เพราะความเจริญที่เพิ่มขึ้น เติมน้ำในใจให้เต็มและพร้อมจะแบ่งปันอยู่เสมอ สังคมไทยจะน่าอยู่ขึ้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรื่องแปลก ๆ

เมื่อวานเป็นวันที่น่าผิดหวังอีกวันนึงแล้ว
ไม่ได้เขียนบันทึก แล้วยังทำอะไร ๆ ที่ว่าจะไม่ทำแล้วอีก ... เอาน่ะ พลาดกันได้นะ

เรื่องแปลก ๆ ที่ขึ้นหัวไว้น่ะ น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุก ๆ วันนั่นแหละนะ
ตอนเช้าเดินทางไปทำงานก็คิดไปด้วย ว่าทำไม บ้านเราถึงได้มีจราจรที่ติดขัดกันนัก
จากประสบการณ์ที่เดินทางไปมาหลาย ๆ ที่ ผมว่า บ้านเรานี่แหละ รถติดมาก ๆ เลย
ก็เลยคิดออกมาได้เป็นหลายเงื่อนไขนะ เช่น การที่คนไทย ไม่ปฏิบัติตามกฎจารจร, การที่ไม่เอื้อเฟือเผื่อแแผ่กันและกัน, ความเห็นแก่ตัว, ความประมาท ฯลฯ
การไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ก็เห็นได้ง่าย ๆ นะ การขับรถผิดเลน ขับรถคร่อมเลน จะไปตรงแต่วิ่งเลนซ้าย ที่เขาไว้ให้รถเลี้ยว จอดรถเลยเส้น เข้าไปในทางม้าลาย การจอดรถข้างถนน ขับรถสวนเลน เยอะแยะ ซึ่งทำให้รถติดอย่างมาก ๆ
การไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็อย่างการไม่ยอมชะลอให้คนข้ามถนน การไม่ยอมให้รถที่เปลี่ยนเลน การบังทางวิ่งที่มอเตอร์ไซค์วิ่งได้ การบีบแตรไล่ทั้ง ๆ ที่รถก็ติด อืม... แปลกนะ "เมืองพุทธ"
ความเห็นแก่ตัว ก็เป็นเหตุให้เกิดเรื่องของการผิดกฏจราจรและการไม่เอื้อเฟือเผื่อแผ่นั่นแหละ
ส่วนความประมาทก็เห็นกันอยู่ทุกวัน ๆ การขับรถเร็วโดยไม่จำเป็น ขับมอเตอร์ไซค์ไม่สวมหมวกกันน็อก การแซงในระยะกระชั้นชิด การฝ่าไฟเหลือง ไฟแดง การเร่งออกรถก่อนไฟเขียว....
ถ้าคุณลองพยายามขับรถอย่างถูกกฏจราจรดู คุณก็จะพบการโดนบีบแตรไล่ การขับปาดหน้าเพื่อแสดงความไม่พอใจ และอื่น ๆ นั่นเป็นเพราะคนส่วนมากเห็นว่าการทำความผิดเป็นเรื่องปกตินะซิ ผมเห็นด้วยกับป้ายรณรงค์ที่ติด ๆ กันอยู่นะ "วินัยจราจร สะท้อนวินัยชาติ" เป็นข้อความที่ถูกต้องมาก ๆ
ลองคิดกันดูเล่น ๆ มันน่าแปลกไหม ที่การที่จราจรติดขัด เป็นปัญหาจากผู้ขับขี่เอง แต่ทั้งผู้ขับขี่และผู้มีอำนาจบอกว่า มันเพราะถนนไม่พอต้องขยายถนน... โอ... ถนนมากขึ้น รถมากขึ้น น้ำใจน้อยลง...

ปีก่อนได้มีโอกาสไปที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น นั่งรถเมล์เมืองเขา ข้อนึงที่รู้อยู่แล้วว่า ความสะอาดของรถและมารยาทของคนขับเหมือนอยู่คนละโลกกับบ้านเราเลย... เคยนั่งมาแล้วในเมืองอื่น ๆ นี่เป็นครั้งแรกในเกียวโต คนขับเขาดับเครื่องเมื่อจอดรถทุกครั้งเลยนะ เห็นอย่างนั้น พอกลับมาเวลาขับรถติดไฟแดง ผมก็ดับเครื่องบ้าง ไม่ได้คิดถึงการประหยัดน้ำมันเท่าไหร่ แต่คิดถึงการปล่อยคาร์บอนไปสู่บรรยากาศต่างหาก พอทำก็คงมีหลาย ๆ คนแหละที่ว่าแปลก แล้ว ณ วันนี้พอจอดติดไฟแดง ผมเริ่มเห็นคนอื่น ๆ เริ่มดับเครื่องบางแล้ว คงต้องลองด้วยตัวเองนะ ถึงจะรู้ว่าเมื่อทำแล้วจะเกิดความรู้สึกลักษณะใดขึ้นมา อย่าเห็นแก่ตัว แล้วทำร้ายโลกกันนักเลยนะ

ต้นปีนี้ก็ไปทำงานที่เมืองนารา ญี่ปุ่นอีก ปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี เพื่อนญี่ปุ่นที่รู้จักกันหลาย ๆ คนเริ่มเอาข้าวกล่องมากินที่ทำงานแล้ว ถึงที่ทำงานที่ญี่ปุ่นจะมีโรงอาหารที่ขายอาหารราคาถูกกว่าข้างนอก เขายังเอาข้าวกล่องมากินเลย ไปมาตั้งหลายครั้งไม่เคยเห็นเขาทำ แต่รอบนี้หลาย ๆ คนเปลี่ยนไปกินข้าวกล่อง
กลับมาก็เลย เอาบ้าง เอาข้าวกล่อง ไปกินที่ทำงานบ้าง แน่ละ เพื่อนก็มองว่าแปลกแน่ ๆ แต่ลองคิดดูดี ๆ ผมสบายใจกับอาหารที่เอาไป เพราะเช้า ๆ แฟนผมเขาทำกับข้าวทุกวันอยู่แล้ว แปลกอะไรละที่ผมจะเอากับข้าวและข้าวที่เหลือไปกินที่ทำงาน สะอาดและประหยัด สบายใจ และจำกัดปริมาณการกินได้ แล้วก็ได้กินข้าวกล้องด้วย ก็ร้านแถวบริษัทผมเขาไม่มีขายข้าวกล้องนะ แต่ที่บ้านกินอยู่แล้ว ก็เป็นกำไรให้กับชีวิตอีกอย่างนะ ไม่แปลกหรอก..

เมื่อวานไม่มีข้อความอะไร วันนี้เดี๋ยวเขียนให้ 2 ชุดเลย พอเริ่มเขียนบันทึกก็รู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องที่คิด ๆ ไว้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย

เรื่องแปลก ๆ ที่อยู่รอบตัวเรานะมีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี ถ้าเราเอาเรื่องแปลกที่เป็นเรื่องดีมาทำจนหลาย ๆ คนเปลี่ยนมาทำตาม โลกก็ดีขึ้น แต่ถ้าเอาเรื่องไม่ดีมาทำเพราะคิดว่าดี โลกก็คงแย่ลงเรื่อย ๆ นะ
พลังจากคนเพียงคนเดียว แต่ทำอย่างมั่นคงและมั่นใจ ก็คลอนโลกได้

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความนับถือความคิด

สองสามปีมาแล้วที่ผมแทบจะไม่ซื้อของปลอมเลย ไม่ว่าจะเป็นเพลง, หนัง, เกมส์ หรือเสื้อผ้า
ก่อนหน้านั้นผมก็พยายามใช้แต่ของแท้นะ แต่ก็มีบ้างที่ใช้ของปลอม แล้วก็ตามใจตัวเอง ซื้อซะบ่อย ๆ
แต่หลัง ๆ นี่ก็ซื้อน้อยลงมาก ๆ จนมาปีนี้ ก็ตั้งใจไว้เลยว่า จะซื้อเฉพาะของแท้เท่านั้น แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังสามารถทำได้อยู่ และตั้งใจจะทำให้ได้ตลอดไปด้วยนะ

สาเหตุที่ผมใช้แต่ของแท้ไม่ใช่ว่ารวย หรือเป็นคนดี หรือ หาซื้อของปลอมไม่ได้หรอก แต่เพราะความคิดผมมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะละมั้ง


ผมเป็นคนที่คิดโน่น คิดนี่ แล้วก็พยายามทำอยู่ตลอดเวลา ผมเลยรู้ว่าความคิดแต่ละอย่างกว่าจะออกมาเป็นชิ้น เป็นอันได้ มันลำบากมาก

ในที่ทำงาน ผมคิดและวางแผนการทำโน่น ทำนี่ ออกมาเป็นรูปแบบการนำเสนอ เยอะแยะ มีทั้งที่นำมาทำจริง และไม่ได้ทำ รวมทั้งได้ทำ แต่เป็นชื่อคนอื่น!!
นั่นเป็นเหตุผลนึงว่าผมเข้าใจว่าคนที่ถูกขโมยความคิดไปใช้น่ะ เป็นยังไง มันน่าเจ็บใจนะ เพียงแต่ผมคิดว่าถ้ามันเป็นประโยชน์ก็ช่างมันเถอะ T_T
เหตุผลอื่น ๆ ก็อย่างเช่น แผ่นดีวีดี ของปลอมคุณอาจจะซื้อได้ในราคา 50-60 บาท แต่ของแท้ต้องใช้เงิน 200-500 บาท ก็สามสี่เท่าของราคาของปลอมเลยนะ
แต่ผมก็ยอมซื้อของแท้นะ บางเรื่องก็ซื้อตอนออกแรก ๆ บางเรื่องก็ซื้อตอนออกมานานแล้ว ราคาลดลงบ้าง ก็ดี ลองคิดดูนะ ซื้อแผ่นปลอม ราคาถูก ทำให้เราตามใจตัวเองง่ายขึ้น คิดจะซื้อก็ซื้อเลย โดยไม่พิจารณาก่อนว่าหนังเรื่องนั้น ๆ เราชอบจริง ๆ หรือดีจริง ๆ หรือไม่ เนื่องจากมันถูก ก็สักแต่ว่าซื้อไปก่อน แล้วค่อยดูทีหลัง แต่การซื้อแผ่นแท้ต้องพิจารณาก่อนว่าชอบจริง ๆ หนังดีจริง ๆ จึงตัดสินใจซื้อ

หากเปรียบเทียบกันจริง ๆ ซื้อแผ่นแท้เดือนละแผ่น ราคาสามร้อยบาท ได้ดูอย่างเต็มที่ก็แสนคุ้ม แต่แผ่นปลอมตอนซื้อก็เอาโปรโมชั่น ซื้อห้าแถมหนึ่งอะไรอย่างนี้
ได้หนัง 6 เรื่อง ราคาพอ ๆ กับแผ่นแท้เรื่องนึง แต่ได้ดูจริง ๆ กี่เรื่อง คุ้มจริง ๆ หรือ? โดยตัวผมเองผมว่าไม่คุ้ม เพราะเห็นว่าราคาถูก ซื้อง่าย แต่ไม่ได้ดู หรือดูไม่จริง ๆ จัง ๆ ก้เหมือนเอาเงินไปทิ้งนั่นเอง

ที่บ้านผมนี่น่าจะมีของแท้เกินกว่าครึ่งนะ สำหรับแผ่นดีวีดี ส่วนซีดีเพลงนะ ไม่ของปลอมไม่ถึงสองเปอร์เซ็นต์หรอก
ผมว่าคุณภาพเสียงมันสู้ของแท้ไม่ได้เลย จริง ๆ นะ การที่เราจะซื้อเพื่อความบันเทิงนี่ ไหน ๆ ก็จะเสียเงินแล้ว ขอให้มันมีคุรภาพดี ๆ แล้วก็เก็บไว้ได้นาน ๆ หน่อยเถอะ
แต่ปัญหาใหญ่ช่วงหลัง ๆ คือร้านขายแผ่นแท้ๆ น้อยลงทุกที อีกไม่นานคงเข้าสู่ยุดดิจิตอลโหลด ซึ่งผมคงไม่ปลื้มหรอกเพราะดิจิตอลมันจับต้องไม่ได้น่ะ

เฮ้อ ! คิดแล้วก็ได้แต่สงสารคนที่เขาทำเขาคิดออกมา ถ้าไม่ใช้ของจริงกัน แล้วอีกหน่อยใครเขาจะคิดงานดี ๆ ออกมาให้เราได้เสพกันละ

เคยบอกแล้วว่าผมเป็นคนที่ชอบเล่นเกมส์ ตอนที่ Sony Playstation เครื่องแรกออกมานะ อุตส่าห์ซื้อมาจากญี่ปุ่นนะ เอามาเล่นกับแผ่นแท้ มีแผ่นแท้แค่ 3-4 แผ่นก็เล่นได้ยาว ๆ พอแผ่นปลอมออกมา ก็เปลี่ยนไปเล่นแผ่นปลอม แล้วก็ไม่รู้สึกว่าผิดนะ (ช่วงนั้น) ถ้าพูดกันตรง ๆ เกมส์ที่ซื้อมามีไม่กี่เกมส์ที่เล่นจนจบ เพราะความรู้สึกที่ว่าไม่เสียดายนี่เอง แล้วก็ซื้อแผ่นปลอมจนราคารวม ๆ ซื้อแผ่นแท้ได้อีกกี่แผ่นไม่รู้
ต่อมาพอเลิกเล่น Play1 ก็ขายไป ซื้อ Sega Saturn, Dream cast, Play2 ถึงตอนนี้ไม่มีแล้วขายไปหมดแล้ว กำลังเก็บเงินรอซื้อเครื่องใหม่อยู่ เลยตัดสินใจไว้ว่าจะเอา Play Station3 นะ เพราะไม่มีแผ่นปลอม
มาทำให้ลังเลใจ รวมทั้งเทคโนโลยีบลูเรย์ดิสก์ ที่อยากได้ก็ยังไม่มีแผ่นปลอม จะได้เป็นเครื่องที่ตอบสนองความต้องการทางจิตใจของผมได้ตรงที่สุดทั้งเทคโนโลยี เกมส์ บูลเรย์ แล้วก็ใช้ของแท้
แต่ไม่ได้รีบซื้อนะ เพราะตั้งใจจะเก็บตังค์ ไปซื้อเป็นเงินสดน่ะ จะได้ไม่มีหนี้บัตรเครดิตเพิ่ม ฮา..

โดยหลัก ๆความคิดของผมนั้นคิดว่าปัญหาเรื่องของการไม่นับถือความคิดของคนอื่น เป็นสาเหตุของปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์

การที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบอกว่าไม่รู้ว่าที่ไหนบ้างที่มีปัญหาพวกนี้นะ จริงหรือ? ถามเด็กประถมเอายังรู้เลยว่าจะซื้อแผ่นปลอม, ของปลอมที่ไหน
พ่อแม่ ก็เป็นตัวอย่างซื้อแต่ของปลอม ลูก ๆ เห็นก็ทำตาม ครูบางที่ยังใช้แผ่นปลอมประกอบการสอนเลย
ปัญหานี้ ผมว่าแก้ในชั่วคนเดียวไม่ได้หรอก คงต้องเริ่มกันตั้งแต่ ระบบครอบครัวที่ไม่ทำให้เห็นการซื้อของปลอมเป็นเรื่องปกติ, การศึกษาที่เน้นให้คนเรียนคิดเป็น คิดได้ ไม่ใช่ท่องจำแล้วเอาไปสอบนะ
จากนั้นก็ต้องสอนให้เข้าใจหลักการของศีลธรรมและจริยธรรมอีกด้วย ในส่วนของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ต้องจริงจังในการปราบปรามพวกของปลอม และการสนับสนุนของแท้ โดยไม่เห็นกับผลประโยชน์
อืม.. ว่าไปก็เป็นเรื่องยากนะเนี่ย เอ.. จะใช้คำาว่า "difficult" หรือ "impossible" ดีนะเนี่ย

เอาเป็นว่าเริ่มจากตัวเองก่อนก็ละกัน จากจุดเล็ก ๆ ถ้าคนรอบ ๆ ตัวเรา เห็นแล้วเห็นด้วย จุดเล็ก ก็ค่อย ๆ ซึมขยายออกไปได้เองแหละ
เหมือนผ้าที่โดนหมึกซึม จากจุดเล็ก ๆ ถ้าซึมอย่างต่อเนื่องมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เอง

เพราะนับถือความคิดของตัวเองแล้ว จึงทำให้ยอมรับที่จะนับถือความคิดของคนอื่น ๆ ด้วย

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เคารพตัวเอง

เคยมีคนที่ forward mail ที่ว่าเป็นคำสอนจากองค์ดาไลลามะ ของทิเบต จำได้ข้อนึงว่า "Respect"
ให้เคารพตัวเองน่ะ หมายความว่าอย่างไร?

ก่อนจะเข้าเรื่อง ก็คงต้องอธิบายกันก่อนว่าที่หายไปวันนึง ไม่ได้มาเขียนลงในบล็อกเมื่อวาน ไม่ใช่ว่าขี้เกียจเขียนนะ แต่ตั้งใจจะทำอย่างอื่นมากกว่า
เมื่อวานเป็นวันอาทิตย์ เช้า ๆ หลังจากส่งแม่ไปตลาดแล้วก็กลับมาให้ปุ๋ยกล้วยไม้ในบ้าน กว่าจะเสร็จก็เกือบชั่วโมงนึงแล้ว กินกาแฟ แล้วก็อาบน้ำให้มะลิกับมะระ (หมาที่บ้าน) บ่าย ๆ ก็ไปช่วยแม่ห่อข้าวต้มมัด
ตกเย็นเข้าสวนรดน้ำต้นไม้กันหน่อย หน้าแล้งก็ทำให้รดน้ำยากขึ้น เพราะน้ำในท้องร่องก็แห้งตักแต่ละทีก็ได้โคล ได้เลนติดมาด้วย
นี่พ่อกับแม่ผมเขาเลยตักขี้เลนมาตากบนสังกะสี ไว้เป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ ตอนที่รดน้ำก็ฟังเสียงกระรอกแทะมะพร้าวอยู่บนต้น ฟังเสียงนกกาเหว่าร้อง เสียงปลาฮุบน้ำ เสียงนกกวัก โอ้ย! เยอะแยะ เป็นเสียงที่ฟังแล้วผมมีวามสุขนะ จิตใจสงบ ไม่มีเสียงคนมารบกวนโสตประสาท เพราะนี้แหละ พอวันหยุดผมเลยชอบเข้าสวน
ความสุขของผมน่ะ อยู่ระหว่างที่กำลังรดน้ำนะ สวน 2 ขนัด รดน้ำก็ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง พอ ๆ กับดูหนังเลย แต่ความสงบ สบายใจ ต่างกันลิบลับ
ลองมองหาความสุขใกล้ ๆ ตัวดูกันบ้างซิ แล้วจะเห็นว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่พวกคุณ ๆ คิดกันหรอก

กลับเข้ามาบ้าน ล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ ก็มีเสียงตูมตาม ๆ อยู่ที่บ่อน้ำหน้าบ้าน ออกไปดูก็เห็นมะลิกับมะระ กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ผมก็ได้แต่ขำนะ ตอนสาย ๆ อาบน้ำให้มะลิมันร้องจะเป็นจะตาย

ตกเย็นลงเล่นน้ำกันให้ครึก แหมนี่มันบ่อเลี้ยงบัวนะ ดินเพียบ มะลิ กับมะระ ตัวขาว ๆ เลยกลายเป็นหมาเลน ไปอีก แถมบัวก็พังเกือบหมดบ่อ ไม่รู้ว่ากุ้งก้ามกราม ปลาตะเพียน ปลากราย ปลาก้างพระร่วง ปลาปีกไก่ จะรอดกันรึเปล่า เดี๋ยวค่อยดูเอาวันนี้ มันก็แค่บ่อน้ำน่ะ พังก็ทำใหม่ ไม่ต้องคิดมาก แค่นี้ก็สบายใจแล้ว

กลับมาที่เรื่องการเคารพตัวเอง ถ้าถามว่าผมเป็นคนที่เคารพตัวเองไหม คงตอบได้ว่ามาก ๆ ผมให้ความเคารพทั้งต่อตัวเองและคนอื่น ๆ
ในส่วนของการทำงาน สิ่งที่ผมจะถามตัวเองตลอดคือ ถ้าผมเป็นเจ้าของกิจการ ผมจะจ้างลูกจ้างมาทำงานแบบผม ด้วยเงินเดือนเท่านี้ไหม?แล้วก็เป็นคำถามที่ผมถามกับเพื่อน ๆ หรือคนอื่น ๆ ตลบอดเวลาที่พวกเขาบ่นเรื่องเงินเดือนน้อย หรือโบนัสน้อย
ผมเคารพตัวเองที่ไม่เคยโกงใคร ถึงแม้ว่าจะมีโอกาส (ไม่เกี่ยวกับการเล่นเกมนะ อันนั้นมีโกงบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ) เพราะว่าผมมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีพอที่จะอยู่ได้โดยไม่โกงใคร ๆ ถึงเงินเดือนจะไม่มาก เที่ยว หรือ ฟุ่มเฟือยไม่ได้ แต่ความสบายใจ ความภูมิใจจากการใช้เงินที่หามาด้วยความสุจริตนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นสบายใจมาก ผมจึงรู้สึกแปลกใจที่เห็นคนหลาย ๆ คน ทำเรื่องผิด ๆ จนเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
พวกเขาจะตอบคนที่เขารัก หรือลูกหลานได้อย่างเต็มปากได้ยังไง ว่าหาเงินมาจากไหน? หรือต้องโกหกต่อไปอีก เพื่อให้คนที่เขารัก รู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นคนผิด หรือพยายามยกเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ มาพูดเพื่อให้ตัวเองไม่ผิด แค่คิดผมก็เหนื่อยแทนแล้วละ
เรื่องการโกหกก็เหมือนกัน เป็นอีกเรื่องที่ผมเคารพตัวเอง เคารพคำพูดของผม ทุกคำที่พูดออกไปต้องพยายามทำให้ได้ เพื่อไม่ให้คำพูด เป็นเพียงลมผ่านปาก
หากคนเราโกหกแล้วคั้งนึง มันก็จะมีครั้งต่อ ๆ ไป แน่ ๆ ผมจึงแทบจะไม่โกหกเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
แต่ใช่ว่าผมจะทำอะไรที่ถูกต้องทุกอย่างนะ คนเราก็ต้องมีทั้งดีทั้งเลวปะปนกันไป สำหรับผมน่ะ คนที่ดีพร้อมตายไปหมดแล้ว เหลือแต่คนที่เลวมาก เลวน้อยเท่านั้นแหละ
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายหลายเรื่องที่น่าจะมาเล่าให้ฟัง แต่คิดว่าเอาไว้คราวหน้าดีกว่าครับ

เมื่อเราเคารพตัวเอง สิ่งที่ตามมาก็คือความเคารพต่อผู้อื่นด้วยเสมอ
แล้วคุณ ๆ ละ รู้สึกอย่างไรกับตัวเอง?

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ชนะ!

คุณคิดว่าการที่เราจะชนะอะไรสักอย่างน่ะ อะไรน่าจะดีใจที่สุด?
ส่วนตัวผมว่าคงจะเป็นการที่เราจะชนะใจตัวเองนะ เหมือนที่ผู้รู้ทั้งหลายรู้สึกน่ะแหละ
วันนี้คงเขียนปล็อกแค่สั้น ๆ เป็นสัญญาให้กับตัวเอง เพื่อช่วยให้สามารถชนะใจตัวเองได้
การสัญญากับตัวเอง โดยเป็นลายลักษณ์อักษรนี่ ก็เป็นสิ่งที่ผมใช้ช่วยอยู่บ่อย ๆ นะ เพียงแต่คราวนี้ จะจริงจังให้มากที่สุด เท่าที่เคยทำมาเลย
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอยากจะทำแต่ไม่ได้ทำ และหลายอย่างที่ได้ทำไปแล้ว
เอามาบรรยายให้อ่านกันไม่หวาดไม่ไหวหรอกคุณ.
อย่างเช่น ตั้งใจจะเขียนบันทึก หรือความคิดตัวเองไว้ในบล็อกนี้ทุกวัน วันนี้ก็เพลินซะเกือบไม่ได้เขียนซะแล้ว
ทั้งที่พอเขียนแล้วมีความรู้สึกว่าผมรวบรวมความคิดของตัวเองได้ดีขึ้นนะ นี่ก็เล่นมาเขียนซะเกือบข้ามวันแล้ว

นี่เขียนแล้ว ถือว่าผมชนะตัวเอง เรื่องนึงละ

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เวลา

คุณเคยอ่านเรื่อง "โมโม่" มิชาเอล เอ็นเด้ ไหม? น่าสนใจนะ เป็นหนังสือที่ผมอ่านไปประมาณ 3-4 รอบได้ เรื่องเค้าเล่าถึงเด็กผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากความสุข และเวลาที่มีอยู่มากมาย ถ้ายังไม่อ่าน ก็ลองหามาอ่านดูนะ

ตอนที่ผมอ่านจบครั้งแรก ผมมีความคิดว่าตัวเองเป็นอะไรที่อยู่ครึ่ง ๆ ระหว่าง โมโม่ กับ พวกที่ถูกขโมยเวลาไป แล้วผมก็เฝ้าถามตัวเองอยู่ว่า
ผมอยากเป็นอย่างไหน หรือ มีความสุขกับอย่างไหนกันแน่..
สำหรับผมเวลาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แล้วก็ไม่มีหน่วยวัดที่แน่นอน เหมือนกับหน่วยนับอื่น ๆ อย่าง หนึ่งกิโลเมตร ยังไงมันก็มาจาก หนึ่งพันเมตร หรือว่าเราจะวัดยังไง มันก็เท่าเดิมอยู่ดี หรือน้ำหนัก สิบกรัม ยังไงมันก็เป็นสิบกรัมอยู่ดี จริงไหม? แต่เวลานี่ซิ คุณรู้สึกได้ยังไงว่าเวลามันเร็วหรือช้า หนึ่งวินาที มันจะเท่ากับ หนึ่งวินาทีตลอดไปจริงหรือ? คำตอบสำหรับผมคือไม่! คุณเคยรู้สึกไหมว่าเวลาดูหนังบางเรื่องจบเร็ว บางเรื่องจบช้า ทั้ง ๆ ที่บอกว่าฉายเวลาเท่า ๆ กัน หรือ ช่วงเวลาที่กำลังเล่นอะไรซักอย่างนึง กำลังเพลิน ๆ เผลอแป๊บเดียว ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ตอนที่ทำงานหรือเรียน เวลา หนึ่งชั่วโมง รู้สึกว่ามันช้ามาก

หรืออย่างเมื่อวานนี้ ผมแวะเข้าไปที่ทำงานเพื่อน เพื่อนกำลังนั่งทำงานอยู่ พอผมจัดการกับธุระของตัวเองเสร็จ เพื่อนยังไม่เสร็จงาน ก็นั่งรอ เป็นครั้งแรก ๆ ที่เวลาไปรออะไร
แล้วไม่ได้พกหนังสือไปด้วย ความรู้สึกของผมจาก สิบเอ็ดโมง จนถึงเที่ยง แค่ชั่วโมงเดียว รู้สึกว่ามันช้า ช้ามากๆ ช้ากว่าที่ผมเข้ามาเริ่มทำธุระจนเสร็จซะอีก ทั้งที่ผมใช้เวลาช่วงแรกไปสองชั่วโมง กลับรู้สึกว่าเร็วกว่าเวลาที่นั่งรอหนึ่งชั่วโมงมากเลย แต่ผมไม่ได้หงุดหงิดเรื่องความเร็วความช้าอะไรหรอก เพราะเวลาน่ะผมมีอย่างเหลือเฟือ ที่จะทำอะไรก็ได้ โดย จริง ๆ นะ ถึงจะมียี่สิบสี่ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ของผมมีเยอะกว่าของหลาย ๆ คนเลยละ
มีคนถามบ่อย ๆ ว่า เอาเวลาที่ไหนไปทำอะไร ตั้งเยอะตั้งแยะ ผมไม่อยากบอกพวกเขาหรอกว่า ก็เพราะเวลาผมมีเยอะแยะน่ะซิ ผมเลยได้แต่ยิ้มตอบไป


หากจะเปรียบเทียบกันอีก ในหนึ่งปี ผมว่าเวลาที่ผ่านไปนั้นเร็วมาก ๆ แต่ก็ไม่มากจนตามไม่ทัน เหมือนเวลาที่เราเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยอะไร ถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมาก ๆ เราก็จะมองไม่เห็นสองข้างทาง

ถูกไหม? แต่ถ้าเราลดความเร็วลง เราก็มองสองข้างทางได้เต็มตาขึ้น มากขึ้น แล้วยังถึงจุดหมายเหมือน ๆ กันอยู่ดี หรืออย่างการไปเที่ยวที่ไหนซักแห่ง อย่างเช่น น้ำตก หลาย ๆ คนจะรีบเดินทาง เริ่มจากทางเข้า เพื่อไปให้ถึงตัวน้ำตกโดยเร็วที่สุด แล้วคนพวกนั้นจะเห็นหรือว่าระหว่างทางมีอะไรบ้าง มีมอส มีไลเดนท์ ที่สวย ๆ มีแมลงแปลก ๆ ดอกไม้ ดอกหญ้า หิน ดิน ใยแมงมุม ทุอย่างสวยงาม เพียงแต่พวกเขาไม่เห็นมันเพราะบอกกับตัวเองเพียงว่าเวลามีน้อย รีบไปดู ไปเล่นน้ำตกดีกว่า แค่เพียงเราลดความเร็วของเวลาลง เราก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

นั่นทำให้ผมเป็นคนที่มีเวลาอยู่กับตัวเยอะแยะ มีเวลาที่จะให้กับพ่อแม่ พี่น้อง คู่ชีวิต เพื่อน ๆ หมา ๆ แล้วก็อื่น ๆ อีกมากมาย โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกว่าเวลามันหายไปไหนเลย


เมื่อเช้าพอกินข้าวเช้าเสร็จ ผมก็เล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมไปเรื่อย แฟนกำลังล้างชามอยู่ก็บอก เร็วคะเดี๋ยวไปไม่ทัน ซึ่งหมายถึงผมจะไปส่งเธอไปทำงานไม่ทัน แต่ผมกลับคิดว่าผมยังมีเวลาอีกเยอะแยะ ก็เลยเดินเอาข้าวผัดไปให้แม่ที่บ้าน กลับมาเล่นกับหมาอีกนิดหน่อย แล้วก็ไปส่งแฟน ก็ยังทันอยู่ดี แสดงว่าเวลาเท่าๆ กัน มันอาจจะเร็วช้าไม่เท่ากันได้ในแต่ละคน

เมื่อก่อนนี้ผมก็เป็นคนที่ใช้เวลาอย่างสิ้นเปลือง แล้วบ่นว่าไม่มีเวลาเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว อาจจะเปลี่ยนมาหลายปีแล้วก็ได้นะ ทำให้ผมสามารถทำอะไร อะไร ได้มากขึ้น โดยที่ไม่รู้สึกว่าเสียเวลา หรือไม่มีเวลาซักที อาจจะมีบ้างบางครั้งที่งานเสร็จไม่ทันกำหนด แต่พอเริ่มรู้สึกว่าเวลาไม่ทันแล้ว ผมก็จะบอกกับตัวเองใหม่ว่า ไม่ทันได้ไง ในเมื่อผมมีเวลาอยู่เยอะแยะ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ หลาย ๆ ครั้งคนมักถามถึงเรื่องงานว่า ทำไปได้ยังไง เวลาแค่นี้ ก็ผมมีเวลาอยู่อย่างเหลือเฟือนั่นไงคำตอบ

เวลา ไม่มีหน่วยนับที่แน่นอนหรอก หน่วยวัดนั้นอยู่ที่ใจเรามากกว่า ว่าอยากให้มันเร็วหรือช้า เพียงพอ หรือ ไม่พอเพียง

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผมเป็นคนที่มีความสุข

หรือจะพูดให้ถูกคงต้องเรียกว่า ผมในเวลานี้ เป็นคนที่มีความสุข
ความสุขยังไงน่ะเหรอ ความสุขนั้นมันอยู่ที่ใจนะครับ หากคิดว่าเป็นความสุข มันก็เป็นความสุขแล้วละครับ
มีบ้านหลังเล็ก ๆ มีแฟนที่น่ารัก มีหมาตลก ๆ มีพ่อแม่พี่น้องที่เข้าใจ มีเพื่อน ๆ ที่รักกันดี แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
เมื่อก่อนนี้ ผมเอาเป็นคนที่ไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ในใจคิดว่ามีความสุขก็ได้นะ

ไม่เคยอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะไม่อยากผ่อนไม่อยากเป็นหนี้ แต่กินเหล้า เที่ยวเตร่ ใช้จ่ายซะ แบบว่าใจใหญ่ หนี้บัตรเครริตพุ่งกระฉูด ตรงไหนเป็นความสุขที่ไม่อยากเป็นหนี้ มันก็เป็นหนี้ เหมือนกันนั่นแหละ
เมื่อเที่ยวมาก ๆ ดื่ม มาก ๆ มันก็ทำให้ใจของเรามันเป็นไปตามนั้นด้วย โดยเห็นว่ามันเป็นความสุข ที่ได้เที่ยว ได้ดื่ม แล้วด้วยงานที่ทำต้องเดินทางบ่อย ๆ ทั่วประเทศ แล้วบางครั้งก็ต่างประเทศมันก็เลยยิ่งแล้วใหญ่ ตื่นตา ตื่นใจ ไปกับสถานที่ใหม่ ๆ เสมอ

ไม่เคยอยากมีครอบครัว เพราะทะนงตัวว่าสามารถหาแฟนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้คารมดี แต่ดวงดีเรื่องผู้หญิง ต้องบอกไว้ก่อน เดี๋ยวใครอ่านแล้วจะคิดว่าหลงตัวเอง ซึ่งเมื่อก่อนนี้ก็คงหลงตัวเองจริง ๆ นั่นแหละ เคยคบผู้หญิงทีละหลายคน คุณว่ามีความสุขไหม กับการที่ต้องไปดูหนังเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ 3 รอบ 4 รอบ กับแฟน ๆ แต่ละคน แล้วยังพาลทำให้เราเป็นคนขี้หึง ขี้ระแวงอีก เพราะว่าเราคบหลายคน แล้วคนที่คบกับเราละ เพราะเราทำเราจึงคิด เพราะเราเป็นเราจึงเห็น ก็กลายเป็นปัญหาพ่วงมาเป็นการที่ไว้ใจคนยากอีก เฮ้อ... แต่ผมก็เป็นคนที่ไม่เคยเห็นผู้หญิง เป็นสินค้านะครับ ไม่เคยไปซื้อบริการ ไม่เคยสนับสนุน แต่ไม่ได้ดูถูก หรือคบไม่ได้

วันนึงเรื่องทั้งหมดที่เคยเห็นว่า ดี ว่าสนุก ว่ามีความสุข ก็เปลี่ยนไป หมายถึงว่าวันนึงก็คิดเลยนะ แล้วก็เลยบอกกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้ายังเคลียร์หนี้บัตร ไม่หมด ก็ ไม่กินเหล้า
แล้วก็เริ่ม คิดเรื่องปลูกบ้าน โชคดีที่มีที่ดินที่พ่อแม่ให้ไว้ เลยปลูกบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ แค่ถมดิน ก็หมดเป็นแสน สองแสนแล้วนะ นั่นแน่ คนที่อ่านน่ะ อย่าคิดว่าผมรวยนะ ถ้าคิดแสดงว่าคุณคิดกันผิด ซะแล้ว ผมเป็นแค่คนธรรมดา พอมีพอกิน มีพ่อเป็นทหารชั้นประทวน กับแม่ที่เป็นชาวสวน เงินเดือนก็ปานกลาง ปลูกบ้านผ่อนกัน 30 ปีน่ะ เดินเรื่องทุกอย่างเองหมด ตั้งแต่แบบบ้าน ขออนุญาตปลูก ขออนุญาตกู้เงิน เดี๋ยวค่อยเขียนให้อ่านกันวันหลัง ปวดหัวอยู่กับการปลูกบ้าน 8 เดือน พอบ้านเสร็จ ก็รู้สึกดีขึ้นมาก ๆ แฟน, ครอบครับ, เพื่อน ๆ คอยให้กำลังใจตลอด พอบ้านเสร็จ เลยเปลี่ยนสถานะแฟนมาเป็นคู่ชีวิตซะเลย

อะไร อะไร ที่เคยทำให้ชีวิตวุ่นวาย ก็น้อยลง
วุ่นวายน้อยลง จิตใจก็สงบขึ้น มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น
มองโลกในแง่ดีมากขึ้น

เหล้านี่ กินเข้าไปเช้าก็ปวดหัว แต่ยังอยู่ในวงเหล้าได้เพราะบรรยากาศมันสนุก แต่กินน้อยลงมาก ๆ
เที่ยวกลางคืนนี่แทบไม่ไป เพราะขี้เกียจ แล้วเคยเห็นคนแก่ หรือคนจรจัด ไม่มีที่อยู่ที่เขากินกันไหม?
เห็นแล้วไม่อยากไปเที่ยวกลางคืน กินของแพงๆ เพราะเห็นความแตกต่างระหว่างโลก เฮ้อ...

ผมเป็นคนที่ชอบต้นไม้ แล้วก็ธรรมชาติมาก ทีค่บ้านปลูกกล้วยไม้ กับต้นไม้ไว้เยอะแยะ จนแฟนแซวว่าเป็นสวนพฤกษศาสตร์ ไปแล้ว พอเลี้ยงหมา หมาเด็กมันก็กัดเล่นซน ไปตามประสา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงหงุดหงิดตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ ก็แค่คิดว่า มันซนดีจริง ๆ เดี๋ยวค่อยปลูกเอาใหม่ ซึ่งคิดอย่างนี้ ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นนะ

ผมเป็นคนชอบถ่ายรูป แล้วก็ถ่ายรูปมานานแล้ว เป็นสิบ ๆ ปีละมั้ง พอโลกเปลี่ยนมาเป็นยุคดิจิตอล กล้องดิจิตอล ความอยากก็บังเกิดอีก แต่ตอนนี้คิดว่าถ้าจะเอากล้องตัวใหม่ ถ้าไม่ได้ซื้อ Leica M8 ด้วยเงินสด ไม่ซื้อ คิดแล้วก็สบายใจ แล้วอีกอย่างก็ถ่ายรูปมาเยอะ บอกกับใคร ๆ ได้แล้วว่า กระบี่มันอยู่ที่ใจ กล้องอะไรก็ได้ ถ่ายได้ทั้งนั้นแหละ แค่นี้ ก็มีความสุขแล้ว

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ มีหนังสืออยู่ 2 ตู้เต็ม ๆ ซึ่งอ่านแล้วเกือบทั้งหมด เมื่อก่อนนี้ พอเห็นหนังสือใหม่ อ่านคำนำ ถ้าถูกใจก็ซื้อเลย เดี๋ยวนี้ ค่อย ๆ อ่านคร่าว ๆ ถ้าถูกใจค่อยซื้อ ชีวิตเหมือนจะช้าลง แต่เป็นสุขมากขึ้น

มีความรู้สึกว่าช่วงนี้ ชีวิตช้าลง ทำให้มองเห็นโลกกว้างขึ้น
ความอยากได้อยากมีต่ำ จิตใจสงบ ความสุขก็มาเอง