วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โลกนี้มันมีไว้ให้เรียนรู้นะ

อันเนื่องมาจากที่ได้มีโอกาสไปงานแต่งงานของเพื่อนที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ถึงชื่ออำเภอจะระกำ แต่คนก็ยังรักกันนะ เนี่ยเพื่อนแต่งแล้วว่าจะชวนมาจดทะเบียนสมรสกันที่บ้านผม บางพลัด...
แต่งงานที่บางระกำ จดทะเบียนสมรสที่บางพลัด ... สุดยอดจริง ๆ

ไม่เคยมีโอกาสเข้าร่วมงานแต่งงานของคนที่นี่เลย ก็น่ารักไปอีกแบบ
เพราะว่างานแต่งงานเลี้ยงแต่เช้า เลยต้องเดินทางตั้งแต่เย็นวันศุกร์
เดินทางด้วยรถยนต์ของเพื่อน ฝ่าฝูงรถติด ท่ามกลางฝนตก ในช่วงเย็นวันศุกร์ ของกรุงเทพฯ... นรกชัด ๆ ผมไม่รู้ว่าพวกเรา ๆ ทนรถติดในกรุงเทพฯได้ยังไงกันนะ คงต้องมีเหตุผลดี ๆ บางละนะ
ส่วนตัวผม เพราะเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด พบกับสภาพการจราจรแบบนี้มานานแล้ว เลยเลือกใช้มอเตอร์ไซค์ครับ... ไม่มีปัญหา

เริ่มเดินทางทุ่มนึง กว่าจะออกจากกรุงเทพฯ ได้ก็เกือบสามทุ่ม ไปถึงที่พักก่อนเข้าตัวเมืองพิษณุโลก แยกเข้าบางระกำ เกือบตีหนึ่ง ไม่ได้นอนดึกมานานแล้ว เลยง่วงไม่ได้ไปนั่งคุยทักทายกับเพื่อน ๆ เลย อาบน้ำเสร็จก็หลับ นอนดึก แต่ตื่นตีห้า ตามปกติ
ปรากฎว่าฝนตก.. เลยโทรถามเจ้าบ่าวว่า ให้ใครปักตะไคร้ เจ้าบ่าวได้แต่หัวเราะ แล้วบอกนอนไม่หลับเลย เครียด ก็คนกำลังจะเข้าพิธีนี่นะ
หลังจากช่วงเช้า จับปูใส่กระด้งกันเรียบร้อยก็เกือบแปดโมง เดินทางไปบ้านเจ้าสาว
เพราะฝนตก เพราะทางเดินเป็นดิน เพราะดินโดนฝน เพราะหลาย ๆ คนใส่กางเกงขายาวไปร่วมงาน
จึงเป็นงานแต่งที่ขบวนขันหมากมีแต่คนพับขากางเกง ก็ฮากันไปนะ

ที่นี่ เขาแห่สองครั้ง แห่ขันหมากก่อน แล้วแห่เจ้าบ่าวอีกรอบนะ ไอ้คนโห่ ตั้งแต่ขบวนขันหมากเลยต้องโห่ซะสองรอบ เจ็บคอกันไปเลย

ตอนเจ้าบ่าวจะขึ้นบ้าน ยังมีฝั่งเจ้าสาวมาถามด้วยนะว่าตัวจริงเหรอ เจ้าบ่าวน่ะ ถามน้อง ๆ แถวนั้น เขาเลยบอกว่าบางบ้านเขามีเจ้าบ่าวปลอม ๆ มาก่อนตัวจริงด้วยนะ
เป็นการเล่นกันอย่างหนึ่งน่ะ พอขึ้นบ้านก็จัดการหลั่งน้ำ ก็สมใจกันไป ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว
โชคดีของผมที่ได้ไปงานด้วย ได้รู้ประเพณีที่นี่ ส่วนที่ต่างไป เพราะมาจากหลาย ๆ แห่ง อย่าไปคิดนะว่า ที่คุณเคยเห็น เคยทำ มันจะถูกเสมอ

เรียนรู้ประเพณีของที่อื่นบ้าง จะได้เป็นการเปิดหู เปิดตา เปิดใจ ให้กว้างขึ้นนะ...

งานสนุก น่ารักดี แต่หงุดหงิดอยู่อย่างที่มีคนเอาปืนมายิงในงานอีกแล้ว ทำไมถึงคิดว่าในงานต่าง ๆ ต้องเอาปืนมายิงนะ
เป็นการแสดงว่าตัวมีอำนาจเหรอ มีพลังเหรอ.. แต่ขาดความรับผิดชอบอย่างยิ่งเลยนะ ลูกปืนที่ยิงขึ้นไป จะไปตกที่ไหนละ ใครจะไปโดนบ้างละ เป็นข่าวตั้งหลายครั้ง คนก็ยังไม่สำนึก ทำไมไม่เห็นแก่คนอื่น ๆ บ้างนะ คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวเลย ที่หนักกว่านั้น พอยิงเสร็จ เปลี่ยนแม็กกาซีน ยังไม่ทันล๊อกไก ก็ส่งให้อีกคนยิง ไอ้คนนี้ก็เอานิ้วเข้าแตะไกซะก่อนยกปืนขึ้นฟ้าซะอีก อันตรายมากเลยนะ

งานเขาเลี้ยงถึงเที่ยง เสร็จก็กลับมาเข้าเมืองพิษณุโลก แวะไหว้พระพุทธชินราช แวะกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา เลยรู้ว่าไม่ได้มานานมากแล้ว เพราะก๋วยเตี๋ยวห้อยขาที่อยู่หน้าวัดริมน้ำ ย้ายขึ้นบกมาหมดแล้วนะ เดินทางมานานหลายปี ย้อนกลับมาอีกทีก็เปลี่ยนไปหมด..
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานะ เป็นเรื่องปกติ
ขับ ๆ แวะ ๆ มาเรื่อย ๆ กว่าจะกลับถึงกรุงเทพฯ ก็สี่ทุ่มแล้วนะ

ขอบคุณเพื่อนมดที่ให้อาศัยรถไปด้วย ขอบคุณเพื่อนอาร์ที่แต่งงานซะที เลยได้ไปเห็นงานแต่งงานที่แตกต่างออกไป
ถ้าได้มีโอกาสไปที่ไหน ก็เรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่นไว้นะ สิ่งที่แปลกไป ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่พอใจ แต่มันเป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้ไว้

อย่าเอาความคิดตัวเองเป็นหลักไปซะหมด มันจะบดบังที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตคู่ ... ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความจริง

คนเรามีสองแขน สองขา ตาสองข้าง หูสองข้าง มืออีกสอง เท้าก็สอง
ทุกอย่างในร่างกายของคนเรามักมีอยู่เป็นคู่เสมอ
แม้สมองมีหนึ่งเดียวก็ยังประกอบด้วยซีกซ้ายและขวา
และทุกคู่ในตัวคนเรา ย่อมทำงานสัมพันธ์กัน เพื่อให้ประสบความสำเร็จ
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่บอกว่า ทำไมคนเราจึงอยู่คนเดียวได้อย่างลำบาก
เพราะธรรมชาติสร้างให้คนเราต้องอยู่เป็นคู่ และแต่ละคู่นั้น มักจะแตกต่างกันเสมอ
มือขวา กับมือซ้าย สมองซีกขวากับซีกซ้าย ย่อมทำงานแตกต่างกัน แต่สัมพันธ์กัน
ผู้ชายจึงคู่กับผู้หญิง เพราะเป้นส่วนที่แต่งต่าง แต่สัมพันธ์กัน
หากเป็นสัตว์อื่น ๆ ก็มักจะไม่มีอะไรยุ่งยากมากนัก ในการครองคู่
ตัวผู้ต้องแสดงพละกำลัง และความสามารถเพื่อให้ตัวเมียเลือก และตัวเมียย่อมเลือกตัวผู้ตัวที่แข็งแรงและเก่งที่สุด เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงต่อ ๆ ไป
นกบางชนิดอย่างนกกระจาบ ตัวผู้ต้องสร้างรังให้สวย แข็งแรง และใหญ่ เพื่อให้ตัวเมียเลือกมันเป็นคู่ครองและสืบทอดเผ่าพันธุ์
นกบางชนิดอย่างนกยูงก็ต้องมีแพนหางที่สวยงามเพื่อล่อให้ตัวเมียเลือก เพราะแพนหางที่สวยงามย่อมมาจากร่างกายที่แข็งแรงของตัวผู้ตัวนั้น ๆ
วัวป่า ควายป่าต้องขวิด ต้องสู้กันเพื่อแสดงความแข็งแกร่ง...
จั๊กจั่น เป็นตัวอยู่ใต้ดิน 7 ปี เมื่อถึงเวลาก็ขึ้นจากดินมาเป็นตัวกรีดปีกส่งเสียงให้ดังเพื่อให้ตัวเมียสนใจและเลือกมันเป็นคู่ มันพยายามส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา
เพราะมันมีชีวิตอยู่บนพื้นดินเพียง 7 วัน
เพราะความสามารถในตัวผู้ส่วนใหญ่มีเป้าหมายอยู่ที่การเอาชนะใจตัวเมีย
จึงมีบางคนที่กล่าวไว้ว่า ความทะเยอทะยานและความคิดสร้างสรรค์ของผู้ชายนั้น มักจะลดน้อยลงเมื่อได้แต่งงาน
คนที่กล่าวคำนี้ ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะสัตว์ทั่ว ๆ ไปเลือกคู่ครองเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์เป็นหลัก
ดังนั้น เมื่อได้คู่ครองแล้ว จึงหมดความพยายามเพื่อเอาชนะใจคู่ของมันต่อไ
ส่วนคนเรานั้น การเลือกคู่ครองที่ดี นอกจากจะเป็นอย่างสัตว์ทั่ว ๆ ไป เพื่อดำรงเอาไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ที่แข็งแรง ยังมีส่วนประกอบอื่นที่สำคัญอย่างยิ่ง
นั่นก็คือความรัก เพราะฉะนั้น ตราบใดที่การครองคู่ของคนเรายังมีความรักอยู่ระหว่างคนสองคน ย่อมไม่ทำให้เกิดอาการเหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป
ที่เมื่อได้ครองคู่แล้วความทะเยอทะยานและความคิดสร้างสรรค์จะลดน้อยลง
การครองคู่โดยปราศจากความรัก ย่อมเป็นเช่นสัตว์ทั่ว ๆ ไป
คนเราไม่ใช่เพียง เกิด กิน สืบพันธุ์ แล้วก็ตาย ยังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย ให้เราเรียนรู้และแสวงหา
การครองคู่กันอย่างดีงามและสมบูรณ์ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นไปได้ เพียงเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เข้าใจ และให้อภัยกัน

ผมไม่เชื่อว่าคนสองคนที่มีอะไร ๆ เหมือนกันมาก ๆ จะครองคู่กันไปได้นาน เพราะมันจะหมดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ เพราะอะไร ๆ ก็คิดว่ารู้แล้ว เห็นแล้ว อยู่นั่นเอง
หากการครองคู่เกิดจากคนสองคนที่เหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง ย่อมทำให้ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แค่นี้ ทั้งชีวิตก็เรียนไม่จบแล้วครับ

เพราะว่าอาทิตย์นี้เพื่อนผมจะเข้าพิธีแต่งงาน บทความนี้ ขอยกให้เพื่อนผมคนนี้แหละ ถ้ามันได้อ่านนะ เอาไปอ่านด้วยกันพร้อม ๆ กันละกัน
การแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีเรื่องดี ๆ ที่มีขนาดใหญ่ ๆ เรื่องไหน ที่เป็นเรื่องง่าย ๆ
การใช้ชีวิตคู่หลังจากการแต่งงาน จะเป็นเรื่องที่ยากกว่านั้นอีก แต่ถ้าเข้าใจกัน อภัยกัน ก็ไม่ยากเกินไปที่จะอยู่คู่กันนะ
คนเรามีโลกส่วนตัวกันทุกคน เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นโลกที่ไม่อยากให้คนอื่นแตะต้อง แต่อยากให้คนอื่นเข้าใจ
เมื่อใช้ชีวิตคู่แล้ว ลดโลกของตัวเองลงหน่อย พยายามเข้าใจโลกของเขาบ้าง เพิ่มโลกส่วนที่เป็นของคนสองคนเข้าไป
ชีวิตคู่ก็ไม่ยากเกินไปแล้ว
ในเมื่อเป็นเพื่อนที่ดีแล้ว คราวนี้ก็พยายามเป็นสามีที่ดีบ้างนะเพื่อน...

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ที่รองปลั๊ก.. เวลาเหลือเฟือ

วันหยุดทีไร ไม่เคยเลยที่จะหยุดจริง ๆ ก็ยังทำงานบ้าน ทำสวน ทำกล้วยไม้ ทำนู้น ทำนี่อยู่ตลอดนะ
ต่างกับการทำงานเต็มเวลาตั้งแต่จันทร์ยันศุกร์คือ ไม่มีความเครียดมาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องไปสู้กับความเห็นแก่ตัวของคนอื่น
งานบ้านทำแล้วมีความสุข งานเต็มเวลาทำแล้วได้เงิน ถึงแม้งานเต็มเวลาจะสร้างความเครียดให้บ้าง แต่ก็เป็นแหล่งที่มาที่ได้เงินมาใช้จ่ายนะ
ก็ถือว่าแลก ๆ กันไป ยังไงก็ไม่มีทางได้สิ่งที่สมใจทุกอย่างหรอกนะ ก็ชีวิตนี่นะ

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ผ่านไปตามปกติของทุก ๆ วันหยุดที่ผ่านมา ล้างรถ อาบน้ำเจ้าสองมะ ทำสวนครัว เข้าสวน ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ
ส่วนที่เพิ่มมาก็คือ ทำความสะอาดครัว ชั้นล่าง ที่มีหนูเข้ามาเพ่นพ่าน จากการที่พบขี้หนู อยู่ในที่เกิดเหตุ เลยทำความสะอาด แล้วก็เอาอิฐมาปิดท่อ ที่อาจเป็นทางด่วนเข้าออกของมันซะ
ไม่ใช่ว่าครัวสกปรกนะ แต่ครัวชั้นล่างเป็นแบบเปิด ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มีผนังแค่สองด้าน... ดูดีไหม? ตอนออกแบบ คิดแต่โปร่ง ๆ ไง ครัวสวยเชียว
แต่ในความเป็นจริง ใช้งานได้ดี แต่ฝนสาด แมลงเข้ามาได้ นกเข้ามาทำรัง ล่าสุดก็มีหนูเข้ามา... อืม... นก กับ แมลง ก็ยังไม่เป็นไรนะ ปล่อย ๆ มันไป แต่หนูนี่ซิ...
เรื่องหนูผ่านไป กำลังคิดว่าสงสัยต้องปีนขึ้นไปดูบนฝ้าบ้างแล้วว่า มีตัวอะไรมาอยู่บ้างรึเปล่า เริ่มไม่ไว้ใจ เอาไว้สัปดาห์นี้ก็แล้วกัน

สองสามเดือนก่อนสังเกตเห็นรอยขีด ๆ เล็ก ๆ บนพื้นปาร์เก้ ขีดเล็ก ๆ เยอะแยะ นี่มาจากไหน? คิดไปคิดมา ก็เพราะพฤติกรรมการถอดปลั๊กไฟนี่เอง พอถอดแล้วก็ปล่อย
ปลายของปลั๊กที่เป็นโลหะ ก็ตกกระทบพื้นทำให้เกิดรอยเล็ก ๆ แล้วทำทุกวัน จะไม่มีรอยเยอะแยะได้ยังไง ก็เปลี่ยนพฤติกรรมกันไป ถอดปลั๊กแล้วค่อย ๆ วาง ไม่ให้ปลายกระทบพื้น
ก็ลดการเพิ่มขึ้นของรอยไปได้บ้างแต่ก็ยังมีอยู่บ้าง เป็นหลักฐานยืนยันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ทั้งหมดหรอก มันต้องมีหลุดออกมาบ้าง...
เดือนก่อนได้รับเมลล์ เรื่องไอเดียการออกแบบของต่างประเทศ เห็นส่วนของการทำที่ล็อกหัวปลั๊กกับปลั๊กไฟแล้วก็ชอบเลย ลองหาข้อมูลการขายในอินเตอร์เน็ต ก็ไม่มีนะ
ทำยังไงละทีนี้ ก็ทำมันเองซะเลย สมองก็มี มือก็มี กลัวอะไรใช่ไหม ก็ออกมาเป็นอย่างในภาพนี่แหละ ของจริงสวยนะ เหมือนสายไฟลอยอยู่เฉย ๆ เลย เพราะเลือกพลาสติกที่มันใส ๆ
ถึงจะไม่ดูดีเหมือนอย่างที่เคยเห็นแต่ก็ใช้งานได้ดีนะ ที่เคยเห็นดูดีเพราะจะล็อกเข้ากับเต้าเสียบ แล้วสายไฟก็มีตัวรองอยู่ทำให้ดูดีมาก ส่วนที่ผมทำนี่ คงเหมาะกับบ้านเรานะ
ที่แต่ละบ้าน ไม่ค่อยมีมาตรฐานเมือนกันเท่าไหร่ สายไฟจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน หัวก็ไม่เหมือนกัน เต้าเสียบก็ไม่เหมือนกัน หลากหลายกันจริง ๆ

ตัวรับสายนี่เริ่มจากหาพลาสติกก่อนนะ การตัดพลาสติกบางนี่ ไม่มีปัญหา อันแรก ใช้เลื่อยฉลุ ไม่ไหว เหนื่อย ใช้มีดกรีด แล้วหักเอา เออ สะดวกดี
เอาน้ำยาเช็ดกระจก ลูบแผ่นพลาสติกทั้งสองด้าน แล้วก็ใช่สำลีชุบแอลกอฮอล์ จุดไฟลนช่วงกลาง ลน ๆ ดัด  ๆ จนได้ฉาก ใช้สว่านเจาะรู ใช้เลื่อยฉลุ ตัดทางเข้าสู่รูที่เจาะ
ดูเหมือนทำง่าย แต่ใช้เวลานะ ต้องใจเย็น ๆ ทุกขั้นตอนเลย แต่ทำเสร็จแล้วก็ใช้งานได้
เลยทำมาใช้งานซะสี่อัน ใช้คุ้มเลย ถึงเผลดดึงปลั๊กแล้วปล่อย ก็ไม่ตกถึงพื้นนะ ป้องกันได้ดีทีเดียว บางจุดยังติดแนวตั้งอีกด้วย หมายความว่าใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
สวย ใช้ประโยชน์ได้ และไม่ซ้ำใคร น่าจะทำออกขายจริง ๆ เลยนะเนี่ย ติดตรงมันเป็นงานทำมือนี่แหละ วันนึงคงทำได้ซักสามอันละมั้ง ถ้าจะทำขายจริง ๆ

ที่เล่าให้ฟังนี่จะบอกว่า ผมสงสัยคนที่บอกว่าไม่มีเวลา ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น แล้วก็ไม่ยอมทำอะไร
คนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันนะ  นอนซะเจ็ดชัวโมง สำหรับผมนะ เวลายังมีอีกเยอะแยะ ทำงาน อ่านหนังสือ เล่นเน็ต เล่นเกม ซ่อมของให้คนนู้นคนนี้
ทำสวนครัว เลี้ยงกล้วยไม้ เลี้ยงเจ้าสองมะ ฯลฯ ก็ยังมีเวลาเหลือเลยนะ.. หรือเพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้สนใจเวลา ไม่ได้ยึดติดมัน เพราะผมมีมันอยู่เยอะแยะ
เวลาวางแผนในแต่ละวันก็ไม่เคยต้องตรงเวลาตลอด เพียงกำหนดว่าจะทำอะไรบ้างคร่าว ๆ แล้วก็ประมาณกี่โมง ก็แค่นั้น

ลองจัดการวางแผนในตัวเองซักนิดหน่อย ในแต่ละวัน แล้วจะเห็นว่าเวลามีพอใช้เสมอ
เพราะคนเรามีเวลาเท่ากันทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ไปกับอะไร และเพื่ออะไร

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พวกปลายบุหรี่เอ๊ย!!!

เคยมีคนพูดไว้ว่า เวลาที่เห็นใครสูบบุหรี่ เรามักจะเห็นไฟอยู่ทางปลายด้านหนึ่งของบุหรี่ ส่วนอีกด้านจะเห็นคนโง่อีกคนหนึ่ง
บุหรี่เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ แล้วคนเราสูบบุหรี่ครั้งแรกในโลกเพราะอะไร?
เวลาที่ผมเดินทางไปในที่หนาว ๆ คนในพื้นที่นั้น ๆ มักจะสูบบุหรี่ และดื่มเหล้า เพราะมันจะช่วยบรรเทาความหนาวได้
เขาว่ากันว่า เมื่อสูบบุหรี่แล้วมันคลายเครียดได้? เขาว่ากันว่าเวลาคิดอะไรไม่ออกสูบบุหรี่แล้วมันช่วยได้?
ผมไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือไม่ เพราะผมไม่สูบบุหรี่ แล้วก็ไม่อยากลองเพื่อจะรู้ด้วย
ถึงผมจะเป็นคนที่พยายามจะเรียนรู้อะไร ๆ ด้วยตัวเอง ด้วยการทดสอบ แต่เรื่องนี้เว้นไว้ดีกว่า เพราะเห็นว่าไร้ประโยชน์อย่างมาก

ผมว่าการสูบบุหรี่ของคนเราคงเกิดจากความบังเอิญเหมือนเรื่องอื่น ๆ และสืบต่อกันเรื่อยมาอย่างผิด ๆ เกิดเป็นความนิยมขึ้น
การสูบเพื่อความจำเป็นอย่างในสถานที่หนาว ๆ ก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ในที่ร้อน ๆ แล้วยังสูบนี่ซิ...
เมื่อสูบบุหรี่ ทาร์ หรือน้ำมันดิน ที่อยู่ในบุหรี่จะเข้าไปจับเป็นคราบดำเหนียว ๆ ในปอด ทำให้ปอดทำงานไม่สมบูรณ์
ไม่สามารถขยายและยุบตัวปล่อยออกซิเจนไหลผ่าน เพื่อฟอกอากาสได้อย่างสะดวก..
ควันจากบุหรี่มักจะไม่ได้อยู่ที่คนสูบอย่างเดียว ควันมันมักฟุ้งในอากาศให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ คนสูบ ก็ต้องสูดเอาควันบุหรี่เข้าไปด้วย
อันตรายก็ย่อมต้องเกิดกับคนที่อยู่ใกล้ ๆ ผู้สูบเข้าไปด้วย
ดังนั้น พอลองมองไปตรงที่คนสูบบุหรี่อีกครั้ง นอกจากจะเห็นคนโง่คนหนึ่งอยู่ที่ปลายบุหรี่แล้ว คน ๆ นั้นยังเห็นแก่ตัวอีกด้วย
ทำให้สุขภาพตัวเองเสีย แล้วยังทำให้คนรอบข้างแย่ตามไปด้วย..

หากให้ผมเปรียบเทียบการดื่มเหล้า กับการสูบบุหรี่ การดื่มเหล้าเสียหายแต่คนดื่ม ส่วนบุหรี่สร้างความเสียหายกับคนรอบข้างได้มากกว่า ไม่นับว่าดื่มจนเมานะ
เพราะถ้าดื่มเหล้าจนเมา ก็ทำให้คนรอบข้างไม่ปลอดภัยเหมือนกันนะ มันก็ไม่ดีทั้งสองอย่างละ..

ผมเห็นทั้งเด็ก ทั้งผู้หญิง หลาย ๆ คนที่สูบบุหรี่ ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เพราะค่านิยมเหรอ ไม่ใช่หรอก ผมว่าเพราะคิดไม่เป็นมากกว่า
อาจเป็นเพราะสูบตามเพื่อน สูบตามคนรู้จัก สูบตามในหนังในละคร คิดไม่เป็นกันนะ
หากคนเราพยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่น มันก็เป็นแต่ผู้ตามอยู่ตลอด แล้วโลกนี้คงพัฒนาได้ช้ามาก ๆ เพราะไม่มีคนที่คิดต่างออกไป

เด็ก ๆ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ? ก็เงินที่ได้จากพ่อแม่นั่นแหละ ผู้หญิงไม่รู้เหรอไงว่าบุหรี่มันทำให้คอลลาเจนในร่างกายเสื่อมเร็ว ทำให้แก่เร็ว
ผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ไม่รู้หรือไงว่า บุหรี่มันมีแต่โทษ แล้วมันอาจเป็นตัวอย่างแย่ ๆ ให้เด็กเลียนแบบ แล้วพวกที่สูบ ๆ กันเนี่ย ไม่รู้หรือไงว่าคนอื่น ๆ ที่ไม่สูบเขาเหม็น เขาไม่ชอบ
เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ จะทำแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ ชอบ พอใจ โดยไม่สนใจคนอื่น ๆ กฎหมายถึงกำหนดสถานที่สำหรับการสูบบุหรี่โดยเฉพาะไง
ถึงจะอยู่ในรถยนต์ส่วนตัว แต่คนที่สูบก็ทิ้งลงถนนอยู่ดี ผมว่าพวกสูบบุหรี่นี่สกปรกนะ ชอบทิ้งก้นบุหรี่เรี่ยราด ทำไมไม่ไปทิ้งในบ้านตัวเองกันนะ
หลาย ๆ ครั้งก้นบุหรี่ที่หลุดออกมาจากปากของคนโง่ เห็นแก่ตัวและไม่รับผิดชอบพวกนี่ ก็ก่อให้เกิดไฟไหม้นะ

หากจะหาคำมาเปรียบเทียบ คนโง่ คนเห็นแก่ตัว คนไม่รับผิดชอบ คนสกปรก คนชอบทำให้คนอื่นสุขภาพเสีย เรียกว่าพวกปลายบุหรี่คงได้นะ

หากไม่สร้างประโยชน์อะไร ก็อย่าสร้างโทษให้สังคมและโลกนี้กันนักเลยนะ

(ถามหน่อยเถอะ ทำเบลอ ๆ ที่บุหรี่ แล้วคนเขาไม่รู้กันหรือไงนะ กองเซนเซอร์ของประเทศนี้นี่)

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กุศโลบายและการใช้ชีวิต

อ่านเรื่อง  "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" จบแล้ว จบด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง ที่หยิบยกเอาการกระทำของคนที่ยิ่งใหญ่ในแต่ละยุค แต่ละสมัย มาอธิบาย ถึงกุศโลบายต่าง ๆ ที่ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นใช้เพื่อความสำเร็จ...เจียงไคเช็ค เลนิน โคลัมบัส ฟาราเดย์....

ไม่ได้เห็นด้วยกับทุกอย่างในหนังสือ แต่ได้ความรู้เพิ่มขึ้น แล้วก็ได้เรียนรู้วิธีคิดมากขึ้น

อธิบายคำว่ากุศโลบายก่อนนะ คำว่ากุศโลบายนี่ เคยได้ยินครั้งแรกก็หลายปีมาแล้ว จากพี่ที่นับถือกันคนหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่เข้าใจเท่าไหร่? แต่ตอนนี้พอเข้าใจบ้างแล้ว ความหมายของกุศโลบาย ก็คือวิธีการในทางที่ดี ที่จะสร้างหรือทำสิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ
แตกต่างจากกลอุบายนะครับ กลอุบายนี่มีความหมายในทางร้ายนะ ไม่เหมือนกัน

คนเราเวลาที่จะทำอะไรต้องวางแผนล่วงหน้าหลาย ๆ อย่าง จนสร้างเป็นกุศโลบายได้เลยหรือ? ผมคิดว่าคนเราส่วนใหญ่สร้างกุศโลบายขึ้นมาจากประสบการณ์ อุปนิสัย ความรู้ ความรู้สึก ขึ้นมาเอง โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้าอะไรมากนัก
แล้วหากเมื่อมีปัญหาระหว่างที่กำลังทำงานที่ดำเนินการตามกุศโลบายนั้น ๆ ก็ ก็สามารถปรับปรุงให้ใกล้เคียงกับคำว่าประสบความสำเร็จได้
มีเพียงส่วนน้อย ที่จะวางแผนการสร้างกุศโลบาย ขึ้นมาเป็นพิเศษ เฉพาะงานนั้น ๆ และมักจะไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว แต่มักจะมีผู้อื่นร่วมคิดด้วยเสมอ

เพราะว่าผมเป็นคนที่มักจะวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อนว่าจะทำอะไร ๆ เป็นขั้น เป็นตอน โดยเริ่มจากการมองไปที่จุดสุดท้ายก่อน และระหว่างทางที่กำลังทำ ค่อยคิดหาวิธีการ
เพื่อจะให้สำเร็จเป็นขั้น ๆ ไป หลาย ๆ วิธีที่ผมใช้โดยมากคงนับได้ว่าเป็นกุศโลบาย แต่หลายครั้งที่มันก็เป็นแค่กลอุบายเท่านั้น และผมไม่คิดว่ากุศโลบายที่ปาศจากกลอุบาย จะสำเร็จไปได้ด้วยดี เพียงแต่จะทำอย่างไรให้กลอุบายนั้น ๆ มองดูคล้ายกุศโลบายให้มากที่สุด
หากผมจะทำรั้ว ล้อมแปลงผักสวนครัวของผม ผมก็จะมีรูปร่างของรั้วนี้ตอนจบแล้ว แล้วค่อยมาคิดว่าต้องใช้อะไรบ้าง จากนั้นจึงจะเริ่มตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องว่าต้องมีจำนวนเท่าไหร่ หรือขนาดเท่าไหร่
เมื่อทุกอย่างครบแล้ว จึงเริ่มทำงาน อันนี้ เป็นงานสำหรับคน ๆ เดียวทำได้ จึงไม่ต้องใช้กุศโลบายอะไร เพียงวางแผนให้ดี ก็สำเร็จได้ง่าย ๆ
หากเป็นเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ มักเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนมากกว่านี้เสมอ มีการใช้ทั้งกุศโลบาย และกลอุบายเสมอ
อย่างในวัน ๆ หนึ่งนี่ ผมคิดไว้แล้วว่าจะทำอะไรก่อน ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ หากต้องมีการสั่งงานหรือประสานงานกับคนอื่น ๆ ก็มักจะคิดทางเลือกทั้งหมดไว้แล้ว ถ้างานที่สั่งได้รับการตอบสนอง, 
หากถูกปฎิเสธ จะทำยังไงให้เขาไม่ปฎิเสธ และหากยังปฎิเสธอยู่จะทำยังไงต่อไป เพื่อให้สำเร็จ ตามที่ต้องการ แต่ไม่ใช่คิดวิธีการทั้งหมดไว้ในทีเดียวนะ แค่คิดขั้นตอนเบื้องต้นของทั้งหมดไว้
แล้วค่อยปรับไปตามสถานการณ์ เหมือนเวลาอยู่บ้านถ้าคิดจะทำอะไร ช่วงวันหยุดก็คิดเอาไว้หมดแล้ว ทั้งเรื่องงานและช่วงเวลาที่จะทำ แล้วจะทำยังไงให้สำเร็จ

บางครั้งใคร ๆ มองว่าผมเป็นคนที่ทำงานหลายอย่าง แต่ไม่กระตือรือล้น หรือไม่พยายามทำให้เสร็จ หรือรีบ ๆ ทำซะก่อน ผมอยากจะบอกว่า ผมวางแผนการทำทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว
แล้วก็หลายแนวทางเสมอ พอเขียนมาถึงตรงนี้ รู้สึกว่า ถ้าใครมาอ่านจะเข้าใจว่าผมเล่นหมากรุกเก่งนะ เพราะชอบคิดล่วงหน้าไว้หลาย ๆ ชั้น แต่เปล่าเลย หากเป็นการเล่นเกม ผมมักจะไม่ค่อยคิดมาก
ไม่ว่าเกมอะไร เพราะมันเป็นแค่เกม เล่นกับคนอื่นแพ้ ชนะ ก็แค่เกม ผมเลยชอบเล่นเกมที่เล่นคนเดียวมากกว่า เพราะมันต้องแข่งกับตัวเอง ต้องชนะตัวเองเท่านั้น

เมื่ออ่านเรื่อง กุศโลบายเพื่อความยิ่งใหญ่ แล้วก็เลยเห็นว่าสิ่งที่ผมมักจะคิดและทำนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นกุศโลบายได้ละมั้ง กุศโลบายเพื่อความยิ่งใหญ่ ไม่มีความหมายกับผมเลย แต่เมื่อนำมาใช้เพื่อการเรียนรู้ ก็นับว่าเป็นประสบการณ์อันมีค่า
เพียงไม่ใช่เพื่อความยิ่งใหญ่ เพราะผมไม่อยากยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จ เพราะความสำเร็จมันไม่มีมาตรวัด แต่เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปตามครรลองที่ดี และใกล้เคียงกับคำว่าถูต้องมากที่สุดนะ
เพื่อนผมบางคนประกาศอย่างชัดเจนเลยว่าเขาต้องการจะใหญ่ แต่ไม่ได้เป้นคนที่มีกุศโลบายใด ๆ ในการทำให้สำเร็จเลย ถึงแม้จะเก่ง แต่ก็ใช่ว่าจะใหญ่ได้เสมอไป

ผมขออยู่แบบคนเล็ก ๆ แบบนี้ดีกว่า จะอยู่อย่างยิ่งใหญ่นะ
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่เบียดเบียนโลกนี้เพียงเล็กน้อย
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่ไม่แก่งแย่งกับคนอื่น
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นภาระให้กับใครทั้งนั้น
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่มีประโยชน์อยู่บ้างกับโลกและสังคมนี้
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่พอพึ่งพาได้สำหรับครอบครับ
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่พอพึ่งพาได้สำหรับเพื่อน ๆ และสังคม

ดังนั้น "กุศโลบายเพื่อความยิ่งใหญ่" ก็ไม่มีค่าเท่า "กุศโลบายเพื่อการใช้ชีวิตอย่างดีงาม" หรอกครับ