วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลำปาง-เชียงใหม่ ในวันฝนพรำ

ได้ไปเที่ยวบ้างก็ดีนะ ตามประสาคนที่เคยเดินทางเกือบ 6 เดือนต่อปี.. พอมาอยู่ติดที่มาเป็นปี เลยต้องมีความรู้สึกอยากออกไปท่องโลกบ้างนะ
คราวนี้เลยไปลำปางกับเชียงใหม่ซัก 3 วัน ไม่มีการวางแผนก่อนว่าจะไปไหนบ้าง แค่จองที่พักกับตั๋วรถไว้.. ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าจะไปไหนบ้าง
ตอนไปก็นั่งรถไปบริษัทฯ นึง โยกไป โยกมา หลับไม่ค่อยลงเลย พอถึงลำปาง นั่งรถเหลืองเข้าเวียง คนละซาว(ยี่สิบ)บาท รถเตี้ยไปหน่อยก็เลยต้องเจ็บหัวหลายทีหน่อย เข้าเวียงได้ ไกด์ส่วนตัว เด็กถิ่น ก็พาหลงซะตั้งแต่แรก พาไปเที่ยวตลาดออมสิน แต่เขาย้ายไปอีกถนนแล้ว
เลยเดินหาข้าวเช้ากินกัน ได้กินข้าวมันไก่ประตูชัย ประเดิมข้าวเช้ามื้อแรกที่ลำปาง แล้วก็แวะไปไหว้ศาลหลักเมืองลำปาง หลักเมืองจังหวัดเดียวที่มีสามเสาในศาลเดียวเลย 
ไหว้เสร็จก็สมใจเลย เจอร้านนั่งกินกาแฟตอนเช้า นั่งรอรถพี่มารับไกด์เข้าเยี่ยมบ้าน พอเย็นก็กลับเข้าเมืองเข้าที่พักเป็นเกสท์เฮาส์ ใกล้ ๆ ถนนคนเดินที่กำลังดัง กาดกองต้า
อารัมภางค์ที่พักที่ราคาสมเหตุสมผล และสวยจริง ๆ ไว้คงต้องแวะไปอีกละ เข้าที่พัก ฝนตก ออกมากินข้าวต้มบาทเดียว แล้วเดินเที่ยวแถว ๆ นั้น ถนนตลาดเก่า ไปถึงสพานรัษฎาภิเศก (เขาเขียนสะพาน ว่า สพาน จริง ๆ นะ) แล้วมาเดินถนนคนเดินกาดกองต้า ท่ามกลางฝนปรอย ๆ พร้อมกับร้านที่ตั้งตั้งไม่กี่ร้าน เลยไม่คึกคักเท่าที่ควรละมั้ง แวะร้านป้าป๋อง กินข้าวซอย กับน้ำเงี้ยวกันซะหน่อย เดินดู ๆ แล้วก็กลับเข้าที่พัก
เช้ามาก็เดินออกมาข้ามสพานรัษฎาภิเศก ไปตลาดเช้า แต่ไม่มีกาแฟกิน เลยกลับไปกินที่ตลาดแรกที่มาถึงลำปางอีกที แวะเที่ยววัดเกาะ แถวกาดกองต้า ที่ไกด์ท้องถิ่นบอกว่า ถึงน้ำจะท่วมลำปางแค่ไหน วัดนี้ก็ไม่จมเหมือนกับจะลอยขึ้นได้ เรื่องนี้ก็คงต้องรอการพิสูจน์กันต่อไป
กลับเข้าที่พัก เก็บของ ไปเที่ยววัดศรีชุม วัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สวยงาม แต่เสียดายเรื่องความสะอาดนะ พื้นไม้บนวิหารเหนียวเชียว แล้วก็เสียดายที่กุฏิเก่าโดนไฟไหม้ไปเมื่อต้นปี การจัดการของวัดอาจจำเป็นต้องมีการช่วยเหลือจากท้องถิ่นมากกว่านี้ละมั้ง
จากวัดศรีชุม มาต่อที่วัดศรีรองเมือง วัดพม่าอีกแห่ง ที่สวยไม่แพ้วัดศรีชุม แต่สะอาดสะอานกว่า แวะกินกาแฟที่แถวแยกหอนาฬิกา แล้วก็ไปต่อที่เชียงใหม่กันเลย
ที่พักในเชียงใหม่ก็ บ้านอ้ายหล้า ใกล้สันติธรรม อยู่หลัง กาด (ตลาด)ธารินทร์ สวยและถูก แต่อาจเดินทางเองลำบากนิดนึงเลยยืมมอเตอร์ไซค์พี่เขามาใช้ก่อน
ด้วยความที่ไม่มีแผนมาก่อน เลยไปเริ่มต้นที่วัดโลกโมฬี ที่เคยแต่ผ่าน ไม่เคยเข้าไปซะที เมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่ผิดหวังเป็นวัดที่สวยงามจริง ๆ ต่อด้วยวัดพระสิงห์ไหว้พระเสร็จเดินมาตามถนนคนเดิน เข้าวัดพันเต้า แล้วก็ต่อด้วยวัดเจดีย์หลวง
วัดพระสิงห์ เข้ามาหลายครั้งแล้ว ก็ยังประทับใจอยู่เหมือนเดิม ส่วนวัดพันเต้า เข้าครั้งแรก สวยงาม วัดเจดีย์หลวง เคยมาแต่ช่วงทานขันดอก ตอนกลางคืนแต่คราวนี้มาตอนสว่าง เดินซะรอบเลย เจดีย์หลวง (ใหญ่) จริง ๆ
นึกภาพตอนที่ยังไม่ถล่มแล้วคงสวยงามและยิ่งใหญ่มากแน่ ๆ จากวัดเจดีย์หลวง กลับเข้าที่พัก ฝนตกหลัก รอฝนซ่า ก็ออกมาเที่ยวถนนคนเดิน ท่ามกลางสายฝน (อีกแล้ว) เน้นการกินเป็นหลัก เดินจนสี่ทุ่ม ถึงกลับได้..
ให้ทิป ลุงยามไปซาวบาท แกเช็ดเบาะรถให้ตลอด เช้ามาฝนยังไม่หยุด ออกไปกินโจ๊กสมเพชร แล้วก็ไปไหว้ครูบาศรีวิชัย ที่ตีนดอยสุเทพ ต่อด้วย วัดสวนดอก วัดสวย ๆ ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว เป็นวัดที่เก็บสถูป ของเจ้าทางเหนือไว้ด้วยนะ
แวะไป กาดต้นพยอม ซื้อปลาดุก ไปปล่อยที่บ่อน้ำวัดอุโมงค์ วัดที่สงบ งาม ธรรมชาติ อันเป็นวัดเก่าแก่ แล้วท่านพุทธทาส กับท่านปัญญา มาริเริ่มไว้ ชอบวัดนี้ที่สุด...
จากวัด ก็กลับเข้าที่พัก เก็บข้าวของเอาไปฝากที่ห้องพี่.. เอารถต่อไปแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น วังสิงห์คำ อร่อยดีนะ แล้วก็ไปต่อที่วัดเกตุ วัดเก่าแก่ ที่สวยอีกแบบหนึ่ง เป็นศิลปะล้านนาผสมจีนนะ แถมด้วยพิพิธภัณฑ์ของวัด ได้คุยกับลุงที่ดูแลอยู่
พร้อมกับคำพูดที่ว่า "คนสมัยนี้เห็นแต่มูลค่าแล้ว เขาไม่เห็นคุณค่ากัน" ก็สะท้อนใจกันไป ... จากวัดเกตุ ก็ไปนวดตัวซะหน่อย ที่หน้าวัดบวกครกน้อย ที่ประจำที่ไปเชียงใหม่เมื่อไหร่ ต้องแวะ
แล้วก็กลับออกมากินกาแฟกับเค้กอร่อย ๆ ที่ร้าน Love at First Bite พร้อมกับฝนตกหนักและน้ำท่วมตอนกลับ เอารถไปคืน เก็บกระเป๋า แล้วก็ขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ รถขากลับรู้สึกว่าดีกว่าขาขึ้นนะ ก็มันคนละบริษัทฯ กันนี่ จะเหมือนกันได้ยังไง
ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ..
ทั้งหมดนี่เป็นแค่บันทึกการเดินทางครั้งหนึ่ง แต่เป็นการเดินทางที่ประทับใจ
โดยปกติ ในการทำงานหรือการเดินทางไปไหน ผมมักเป็นคนที่คิดแผนไว้ สองสามขั้นเสมอ มีแผนรองรับ แผนเเพื่อเรื่องที่คาดไม่ถึงเสมอ..

ได้เดินทางกับคนรักแบบที่คิดไว้เสมอ ๆ ไม่ต้องมีแผนมากมาย ปล่อยไปตามโอกาส ถึงจะพบกับฝนตกเกือบตลอดเวลา ก็ไม่ได้เสียความรู้สึกในการเที่ยว เพราะไม่มีแผนอะไรและมีคนที่รักอยู่ด้วย ต้องกลัวอะไรอีกละ ไม่มีแผนก็ไม่ผิดหวัง สนุกสนานได้ตามอัตภาพ

บันทึกครั้งนี้สอนว่า คนเราสนุกได้เสมอ ถ้าใจเรามีความสุขนะ 

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วุฒิฯ สำคัญจริง?

เผลอนิดเดียวจะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ฤดูร้อนปีนี้เหมือนจะมีอยู่ไม่กี่วัน ที่ร้อนจริง ๆ นอกนั้นเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝน อากาศนี้มันแปรปรวนกันใหญ่
คงต้องดูกันต่อไปว่าฟดูฝนจะเป็นยังไงบ้าง.. ผลจากซึนามิและแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีผลทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก แล้วยังทำให้เกาะญี่ปุ่นจมลงเกือบหนึ่งเมตร
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังกระจายไปทั่วโลก ก็คงต้องดูกันต่อไปละนะ

เมื่อวานมีข่าวเกี่ยวกับพระอีกแล้ว อย่างว่าเมื่อมีคนนับหน้าถือตา หากหลงระเริงไปกับมันก็อาจทำให้เดินหลงทางได้.. ทั้งเณรฟ้องพระ แล้วให้บังเอิญว่าพระมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกใบประกาศณียบัตรปลอม
ทำให้เกิดความสงสัยในความคิดของตัวเองในส่วนของการเรียนอีกแล้ว การเรียนสูง ๆ สำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ? สำคัญขนาดยอมโกง ยอมโกหก เพื่อให้ได้มาเลยเหรอ?
ส่วนตัวที่เคยสัมผัสการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีมาบ้าง เมื่อเข้าไปลองศึกษาดูกลับกลายเป็นรู้สึกไม่ชอบสังคมของผู้ที่เข้าไปเรียน ลองเปลี่ยนที่ใหม่ก็รู้สึกเหมือนกัน
ทัศนคติของผู้ที่เรียนคืออะไร.. โดยตัวผมเอง ผมเรียนเพราะความอยากรู้ ทำให้ต้องเปลี่ยนที่เรียนหลายครั้ง เพราะเมื่อเข้าไปเรียนแล้วรู้สึกว่าไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม
จนลงตัวที่ที่เรียนจบ เมื่อก้าวไปอีกก้าว นอกจากเรื่องความรู้ที่คาดหวังจากการเรียนแล้ว.. ทัศนคติของผู้ที่เข้ามาเรียนส่วนใหญ่ยังเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับผมอย่างมาก
เรียนเพื่ออะไร? เอาวุฒิไปทำงาน, เอาวุฒิไปเป็นอาจารย์, เอาวุฒิไปเพิ่มเบี้ยเลี้ยง, ว่าง ๆ ยังไม่อยากทำงาน,  อยากเข้าทำงานแล้วระดับสูง ๆ เลย ฯลฯ ไม่มีใครซักคนที่รู้สึกว่ามาเรียนเพื่อเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์
ด้วยทัศนคติแบบนี้ ค่านิยมแบบนี้ เลยทำให้บ้านเมืองเราเจริญช้ากว่าที่อื่นละมั้ง เพราะมีคนตำแหน่งสูง ๆ ที่จบสูง ๆ แต่ทำงานไม่เป็น หรือไม่ก้ไม่รู้จักในงานที่ทำดี แต่คิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าต้องปรับปรุงอย่างไร, มีอาจารย์ที่สอนไปวัน ๆ เพื่อกินชั่วโมงสอน,
อาจารย์ที่สอนแบบนกแก้วนกขุนทอง ท่องจำมาจากตำราอื่น ๆ โดยไม่พิจารณา, ฯลฯ แล้วบ้านเมืองเราจะเจริญไปได้อย่างไร
วุฒิการศึกษาสำคัญถึงขนาดที่ยอมโกง เพื่อซื้อวุฒิการศึกษาเพื่อกรุยทางของตัวเองไปสู่การทำงาน หรือการยยอมรับทางสังคม ขนาดวุฒิการศึกษาของตัวเองยังเอามาโดยวิธีการธรรมดาไม่ได้ ต้องซื้อเอามา แล้วคนแบบนี้จะทำประโยชน์ต่อสังคมจริง ๆ ได้อย่างไร?
ผมรู้จักผู้ที่เรียนสูง ๆ จบสูง ๆ หลายคน ที่ไร้ความสามารถ หรือมีบ้างแต่น้อย และโดยส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเก่งกว่า สูงกว่าผู้อื่นเสมอ แต่เมื่อลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ มักจะประสบความล้มเหลว แล้วอธิบายว่าเป็นเพราะปัจจัยภายนอก
อาจารย์หลาย ๆ ท่านที่อธิบายเรื่องเศรษฐกิจ ก็ไม่เคยทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จเลย อาจารย์ทางงเทคโนโลยีหลายท่านก็มีเพียงชื่อแต่ยังไม่เคยค้นคว้าจริง ๆ จัง ๆ จนตอบโจทย์ของเทคโนโลยีนั้น ๆ ได้เลย
ทัศนคติต่าง ๆ อาจเป็นผลมาจากการอบรมสั่งสอน หรือการมีปมใด ๆ บ้างอย่างในจิตใจ ทำให้ต้องหาเรื่องอื่น ๆ เพื่อมาปิดปมของตัวเอง
ด้วยสิ่งที่พบมาด้วยตัวเองทำให้ผมมีความรู้สึกว่าไม่อยากไปสัมผัสสังคมแบบนั้น เลยใช้วิธีอ่านหนังสือเอาเอง.. ไว้เขามีการสอบเทียบเมื่อไหร่ คงได้ไปลองละนะ
ทังหมดทั้งมวลที่เขียนมาแค่อยากจะบอกว่าเมื่อศึกษาอะไร ให้หวังที่ความรู้ที่จะได้รับนะครับ อย่าหวังแต่วุฒิการศึกษา
ใครที่ทำดีอยู่แล้วก็แสดงความยินดีด้วย ส่วนใครที่ยังมีทัสนคติแบบที่ผมเขียนก็ลองคิดดูใหม่ก็ได้นะ

การศึกษาทำให้คนมีความรู้มากขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้คนดีขึ้น หากคนนั้น ๆ ไม่วิเคราะห์ พิจารณา ถึงสังคม สิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบข้างอย่างไม่มีอคติ
แล้วการศึกษาสูง ๆ ก็ใช่ว่าจะทำให้คน ๆ นั้นมีความรู้สูงไปด้วย..
อย่าเป็นผู้มีการศึกษาสูง แต่มีจิตใจต่ำ ๆ กันนักเลยนะ โลกนี้จะได้น่าอยู่มากขึ้น

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

พิมพิลาไล ยังกลายเป็นวันทอง..

อากาศร้อน ๆ เมื่อคืนฝนก็ตกลงมาพอให้ความร้อนจากพื้นดินระอุขึ้นมาอีกหน่อย..
ช่วงหลัง ๆ นี่มีอาการเบื่อ ๆ ผู้คน จนอยากรู้จักคนอื่น ๆ ใหม่ ๆ บ้าง เข้ามาเป็นประสบการณ์ชีวิตใหม่ ๆ เป็นแรงจูงใจให้ทำงานต่อ.
ถึงจะพยายามปรับปรุงตัวให้ปล่อยวางได้มากแล้วก็เถอะ หากเรายังไม่ได้บรรลุธรรม ใครก็ยังคงต้องวนเวียนอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง นี่แหละ.
แต่ยังไงก็ไม่ได้พยายามจะบรรลุธรรมหรอกนะ แค่พยายามอยู่อย่างทุกข์น้อยที่สุด เบียดเบียนน้อยที่สุด ก็เท่านั้นเอง
คนเราขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเองทั้งนั้น ทำดีก็สุข ทำไม่ดีก็ทุกข์ อยากทุกข์น้อย ๆ ก็ทำดีให้มาก ๆ การทำดีก็คงต้องครบทั้ง คิดดี พูดดี ทำดี ส่วนตัวก็คิดดี ทำดี อยู่แล้วนะ ติดแต่ตรงเรื่องการพูดนี่แหละ อาจจะพูดดีบ้างเลวบ้าง ก็คงต้องขออภัยทุกท่านที่คำพูดของผมบางคำกระทบกระเทือน
หรือทำให้เสียใจ หรือเสียความรู้สึกนะ นับจากวันนี้คงจะไม่ได้ยินอีกแล้วละ จะดำเนินตัวอย่างน้ำนิ่งในบ่อหินน้อย นิ่งใสไร้ตะกอน ไม่ว่าจะเป็นตะกอนคำพูด หรือตะกอนการกระทำ
การพูดคุยกับผู้อื่นไม่ว่าใครก็ตามย่อมเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง. ประโยชน์มีตลอดขึ้นอยู่กับจะพูดแล้วคิด คิดแล้วทำ หรือพูดแล้วไม่คิด หรือคิดแล้วไม่ทำ เท่านั้น
ช่วงนี้มีข่าวเรื่องการพูด การกระทำของคนหนึ่งที่บอกว่าสามารถเห็นกรรมของคนอื่นในอดีตได้ โดยจับความว่าเมื่อมีกรรม ย่อมมีผลแห่งกรรมนั้น และบอกว่าสามารถบอกวิธีแก้กรรมนั้น ๆ ได้
เห็นข่าว เห็นหนังสือของคนนี้มานานแล้ว เคยเห็น รู้ แต่ไม่เคยเชื่อ ใครจะสามารถแก้กรรมของตัวเองได้กัน ใครจะสามารถมองเห็นกรรมของคนอื่นกัน ไม่เข้าใจว่าคนเราเชื่อไปได้อย่างไร
ทำให้คน ๆ นี้มีลูกศิาย์ที่เชื่อถือเยอะแยะ ไม่ได้โต้แย้งอะไร แต่อยากจะบอกว่า สิ่งที่พุทธศาสนาสอนก็คือ หนทางดับทุกข์ โดยผู้ที่จะสืบทอดคำสอน จะต้องเป็นผู้ชี้แนะแนวทางนั้น และพยายามชี้ทางที่ถูกที่ควร ดังนั้นทำไมผู้ที่ต้องสืบทอดคำสอนไม่แนะนำคน ๆ นี้ ถึงแนวทางที่ถูกต้อง ทั้งที่เป็นคนที่อยู่ในการดูแลนะ ไม่เข้าใจเลย
ปล่อยเรื่องรอบตัว และเรื่องในสังคมทิ้งไปอีกที ช่วงนี้อ่านเสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้จากการอ่านก็คือ ความเก่ง ความสามารถของผู้แต่ง ความสวยงามของภาษา ที่ทำเป็นบทเสภานี้
พร้อมทั้งตอบคำถามที่คาใจตัวเอง ซึ่งอาจจะเป็นคำถามคาใจสำหรับอีกหลาย ๆ คนด้วย อย่างขุนช้าง ขุนแผน และวันทอง เกี่ยวข้องกันยังไง ทำไมพิมพิลาไล ถึงเปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง
อะไรประมาณนี้ แล้วยังทำให้จินตนาการมองเห็นสังคมความเป็นอยู่ผู้คนของเราในสมัยก่อน หนังสือเรื่องนี้มีสองเล่มจบ เมื่อสงกรานต์ ซื้อหนังสือมาหลายเล่ม รออ่าน ทั้งขุนช้าง ขุนแผน พระอภัยมณี ขุนศึก อิเหนา แค่ชุดนี้ก็คงอ่านกันไปยาว ๆ แล้ว หนังสือบางเล่มก็ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือใหญ่ ๆ ก็นับว่าโชคดีที่ได้คุยกับผู้ช่วยบรรณาธิการที่ทำหนังสือ ที่ช่วยให้ความกระจ่างก่อนจะตัดสินใจซื้อหนังสือชุดนี้นะครับ
พอซื้อแล้วก็ตามมาด้วยคำพูดกระทบกระเทียบว่าอ่านแต่หนังสือที่ตัวเอกเจ้าชู้ทั้งนั้น อยากจะบอกว่า มันเป็นค่านิยมของคนสมัยก่อนนะ ที่ต้องมีเมียมีลูกเยอะ ๆ เพราะการแพทย์ยังไม่เจริญ ผู้คนอายุสั้น เด็ก ๆ โตเป็นผู้ใหญ่ได้น้อย
เลยต้องมีเผื่อ ๆ ไว้ เพื่อการสืบพงศ์พันธ์นะ แต่สมัยนี้ค่านิยมนี้ควรต้องลบออกไปได้แล้ว ประชากรโลกเกือบ 7,000 ล้านคน แทบจะขี่คอกันอยู่อยู่แล้ว คิดใหม่กันได้แล้วนะพวกเจ้าชู้ทั้งหลาย..

ความสุข ความทุกข์ของขึ้นอยู่กับกรรม หรือการกระทำของเรานั่นเอง.. ทำอะไรก็ต้องยอมรับผลตอบแทนจากการกระทำนั้น ๆ
ไม่มีใครแก้กรรมได้ แต่เลือกที่จะก่อกรรมได้ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว
ผลกรรมที่ย้อนกลับมาอาจจะช้าบ้าง เร็วบ้างแต่ย่อมได้รับกันทุกคน
ขุนแผนเก่งกาจ ยังต้องติดคุก นางพิมพิลาไล ก็ต้องรับกรรมจากคำพูดของตัวเอง

ส่วนตัวก็แค่คิดได้ขึ้นอีกนิดนึง หนอนน้อยก็ลอกคราบเป็นหนอนตัวใหม่ ที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นผีเสื้อต่อไป..
เป็นหนอนที่เบียดเบียนโลกนี้และผู้อื่นให้น้อยที่สุด
และพยายามเป็นประโยชน์ต่อโลกนี้และผู้อื่นให้มากที่สุด..

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ดอกวาสนา หน้าร้อน..

ฝนตกตั้งแต่เมื่อคืนจนเช้า เช้าก็หนักขึ้นอีกหน่อยนึง หน้าร้อนแท้ ๆ
คงเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้แล้วละมั้ง สำหรับสภาพอากาศในโลกนี้.. โลกคงเริ่มเอาคืนแล้วละ.
เดือนนี้ก็ผ่านวันสงกรานต์มาตามปกติ ไม่ได้ออกไปไหน แค่ไปทำบุญที่วัด แล้วก็ทำความสะอาดบ้าน สรงน้ำพระที่บ้าน สรงน้ำพ่อแม่ แถมด้วยทำอะไรมานั่งกินกันนิดหน่อย ระหว่างบ้านพี่น้องแล้วก้เพื่อนบ้าน
พร้อมด้วยข่าวเสื่อม ๆ ทั้งหลาย เด็กสาว ๆ เต้นยั่ว เปลือยอก กลางถนนหลวง โดยมีคนรอบ ๆ แถวที่เล่นสงกรานต์ตรงนั้นส่งเสียงเชียร์ให้ถอดอยู่เกือบทุกคน
ที่ออกเป็นข่าวอาจจะมีอยู่ข่าวเดียว แต่ในการละเล่นทั่ว ๆ ไป หรือในการใช้ชีวิตของเด้กพวกนี้ เรื่องแบบนี้กลับเป็นเรื่องปกติในชีวิตของพวกเขาไปแล้ว
โดยที่ผู้มีอำนาจควบคุมดูแลไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้มาก่อน จนกระทั่งเป็นข่าวเป็นคราวออกมา
ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังเดินไปข้างหน้า การกระทำของมนุษย์กลุ่มหนึ่งกลับย้อนกลับไปใกล้จะกลับไปเป็นสัตว์เต็มตัวแล้ว
การเปิดเผย ส่วนที่ควรปกปิดในที่สาธารณะ ก็เหมือนกับการเป็นอยู่ของสัตว์ทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ปกปิดส่วนที่แสดงออกถึงเพศของตัวเอง
มนุษย์พัฒนาการปกปิดส่วนแสดงเพศ เพื่อบังคับการเปิดเผยสัญชาตญาณ การสืบพันธุ์ ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ทั่ว ๆ ไป
สัตว์ทั่ว ๆ ไป มีเพศสัมพันธ์กันด้วยสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ล้วน ๆ แต่มนุษย์พัฒนาความคิดมาจนละเอียดอ่อนกว่านั้น มนุษย์มีความรักเข้ามามีส่วนช่วยในการตัดสินใจ ในการมีเพศสัมพันธ์ และหากปล่อยให้สัญชาตญาณนี้อยู่เนื่องสำนึก ก็มักทำให้เกิดปัญหาการข่มขืนขึ้นมา
แล้วสัตว์มีการข่มขืนกันไหม? แล้วมนุษย์ที่ข่มขืนคนอื่น กับสัตว์ทั่ว ๆ ไป ใครมีจิตใจสูงกว่ากัน คงไม่ต้องบอกนะ
การที่เด็กที่เต้นแล้วโชว์หน้าอก อาจจะบอกว่าถึงโชว์ก็ไม่ได้โดนข่มขืน แต่ลืมคิดไปหรือไม่ว่าการกระทำของตัวเอง อาจไปกระตุ้นสัญชาตญาณของพวกที่ไร้สมอง ไร้สามัญสำนึก จนพวกนั้นต้องไประบายกับผู้อื่น ไม่มีการกระทำใด ๆ ที่ไม่มีผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นสิ่งอื่น ๆ หรอกนะครับ.. ทุกสิ่งในโลกนี้ที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวข้องกันเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ไม่อยากพูดเรื่องมนุษย์ที่อยากเป็นสัตว์แล้ว คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ก็ทำจิตใจให้ดี ๆ กว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไปก็แล้วกัน

กลับมาเรื่องสภาพอากาศ เอาแค่บ้านเราก็พอ ปกติแล้วบ้านผมวาสนาจะออกดอกทุกปีจนเป็นเรื่องปกตินะ ทุกปีเห็นคนเขาตื่นเต้นกันเวลาวาสนาออกดอกก็รู้สึกเฉย ๆ
ปีนี้วาสนามาออกดอกในเดือนเมษายน พร้อม ๆ กันทั้งภูมิภาค เป็นข่าวออกมาใหญ่โต ก็คงเป็นเพราะต้นวาสนามันสับสนกับสภาพอากาศจนไม่แน่ใจในตัวเอง เลยรีบออกดอกออกผลเพื่อดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ของมันไป
แล้วมนุษย์เราย้อนกลับมามอง มาคิด มาเตรียมพร้อม มาแก้ไข กับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว ของเรากันหรือยัง อย่าคิดว่าไกลตัวนะ มันอยู่รอบ ๆ ตัวเราเลยละ

ธรรมชาติก็ดำเนินวิถีของธรรมชาติต่อไป เมื่อสับสนหรือกระทบกระทั่งก็ต้องมีบ้างที่จะเปลี่ยนวิถีของธรรมชาติ
มนุษย์จะขัดขวาง ต่อสู้ หรืออเรียนรู้ที่จะยู่ร่วมกับธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ คงต้องเลือก ๆ กันได้แล้วนะ..
หากเลือกที่จะพยายามต่อสู้ เปลี่ยนแปลง ขัดขวาง เอาเปรียบ ผลลัพธ์คงเป็นความวอดวายนั่นแหละ 
แต่หากเลือกที่จะเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เอาเปรียบให้น้อยที่สุด และพยายามแก้ไขสิ่งที่ถูทำลายไปแล้ว ความวอดวายที่เกิดขึ้นแน่ ๆ อาจจะขยายเวลาให้มนุษย์ไปอีกหน่อยได้นะ

เฮ้อ.. ไอ้พวกมนุษย์

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

อายหมานะ

ทุก ๆ เช้า ช่วงนี้ที่ฝนไม่ตก ไปนั่งอ่านหนังสือแถวท่าน้ำสี่พระยา.. ลมเย็น อากาศดี วิวสวย..เหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือจบกาแฟมาก
มีหนังสือที่ไม่คิดว่าจะเป็นหนังสือมาให้อ่าน น่าสนใจในแนวความคิด ตอนนี้อ่านจบแล้ว แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ
หลาย ๆ คนมักจะบ่นว่าไม่มีเวลา แต่คนเราทุก ๆ คนก็มีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเหมือนกันนะ.. แล้วทำไมถึงบอกว่าไม่มีเวลาหว่า..
ในช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีเวลา อาจเป็นเพราะเราไม่ได้จัดลำดับความสำคัญในการทำสิ่งต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้น ๆ ละมั้ง..
ทำให้เอาเวลาส่วนนั้น ส่วนนี้ มาปะปนกันไปหมด ทำให้รู้สึกว่าเวลาที่จะทำเรื่องต่าง ๆ ให้ครบถ้วน มีไม่เพียงพอ
แล้วเวลาก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนเราซะด้วย มันเป็นเรื่องของจิตใจและความคิดมากกว่ามากกว่า
นอกเหนือจากเวลาที่เป็นงานประจำ ก็เป็นเวลาของเรื่องอื่น ๆ ทันที ทิ้งงานประจำไว้เลย นาน ๆ ที ถึงต้องเอางานกลับมาทำที่บ้าน
แต่ก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรมากนะ.. ตารางเวลาสำหรับช่วงเวลานี้ก็คงแบ่งออกประมาณ
8 ชั่วโมงสำหรับงาน 2 ชั่วโมงเดินทาง เหลือเวลาตั้ง 14 ชั่วโมงต่อวันที่จะทำเรื่องอื่น ๆ สำหรับตัวเองและคนอื่น ๆ มีเวลาทำดีด้วย..
แล้วทำไมหลาย ๆ คนบอกว่าไม่มีเวลา.. คนเราที่ทำงานต่อเนื่องกันเกินว่า 8 ชั่วโมงนี่ จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงเหรอ?
อาจต้องไปหาบทวิจัยของผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ มาอ่านกันนะ.. ส่วนใหญ่มักจะชี้ว่า ประสิทธิภาพมักจะลดลง เพราะความอ่อนล้าสะสม
ดังนั้น ใครอยากจะทุ่มเทแรงกายแรงใจ ให้กับงานเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตก็แล้วแต่คุณ ส่วนผมขอเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับงาน เฉพาะช่วงเวลาทำงานเท่านั้นก็พอแล้ว
อาจเป็นเพราะจัดเรียงความสำคัญในชีวิตใหม่ ๆ แล้วเวลาก็เลยมีมากพอที่จะทำอะไร ๆ ได้หลายอย่างละมั้ง..
ช่วงเช้า ๆ เวลาที่ไปนั่งอ่านหนังสือที่ท่าน้ำ มักจะมีผู้คน มีเรื่องราวต่าง ๆ วิ่งผ่านสายตา และการรับรู้เข้ามามากมาย นักร้องอิสระ ที่มาร้องเพลง พ่วงด้วยการขายแผ่นซีดี ผลงานของตัวเอง.. ซึ่งมักได้เงินจากผมไปซะบ่อย ๆ นักเรียน นักศึกษาที่มานั่งรอเพื่อน ๆ ก่อนไปเข้าเรียน คู่รักที่มานั่งรอกันและกัน คู่รักที่กำลังจะเปลี่ยนที่มานั่งตกลงเรื่องราว เพื่อแยกทาง แล้วก็เรื่องอื่น ๆ คนข้ามเรือ ไปทำงาน แม่ค้าขายข้าวโพด ร้านขายยา ร้านกาแฟหรู ชาวต่างชาติที่กำลังเดินชมบ้านเมือง คนพาหมามาเดินเล่น หมาจรจัดมาเดินเล่น นอนอาบแดด บ้างก็ขออาหาร แล้วยังมีนกอีกมากมาย เรื่องราวหลากหลายวิ่งผ่านประสาทการรับรู้ของผมทุก ๆ เช้า ไม่มีเรื่องไหนชัดเจน เพราะไม่ได้ตั้งใจจะรับรู้ เป็นเหมือนเงาราง ๆ ที่ติดอยู่ในความทรงจำ
แต่สิ่งหนึงที่เห็นได้ชัดก็อย่างสัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยสถานที่แห่งนี้ เพื่อวิ่งเล่น พักผ่อน ก็ทำตัวได้เหมาะสมกับผู้อาศัย ไม่ทำลาย สถานที่แห่งนี้ ต่างจากมนุษย์นะ เมื่ออาศัยอยู่ที่ไหน มักนำพาความเสื่อมเข้าไปด้วยเสมอ ขีดเขียนทำลาย ทิ้งของ ทำสกปรก ก่อเรื่องราวสุ่มเสี่ยงที่ผู้อื่นจะเกิดอันตราย.. อย่างการทิ้งไม้เสียบลูกชิ้นกับพื้น.. ความมักง่ายของมนุษย์มักก่อปัญหาเสมอ

เจ้าหมาน้อยตัวนี้คงดูถูกมนุษย์น่าดู ที่ทำลายสถานที่ที่ตัวเองอาศัย... ขีดเขียนเพื่อบอกรัก.. ทำเรื่องแย่ ๆ แล้วจะมีคนชื่นชมหรือ..
แล้วสัตว์ต่าง ๆ ก็คงดูถูกมนุษย์เราเช่นกัน ที่คอยแต่จะทำลายโลกใบนี้ไปเรื่อย ๆ จนโลกเราตอบโต้มาบ้าง..

เวลามีเท่า ๆ กันนั่นแหละครับ ใช้มันเพื่อทำความดีให้กับมนุษย์ สัตว์ร่วมโลก แล้วก็โลกเรากันบ้างนะ
อย่าทำตัวให้ต้องอายหมาไปมากกว่านี้เลยนะ..

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเนือย ๆ ในวันที่เหนื่อย ๆ และอากาศหนาว ๆ

อากาศหนาว กลางเดือนมีนาคม ในบ้านเราช่วงนี้ น่าประหลาดใจนะ อุณหภูมิลดลงเกือบ 18 องศาในกรุงเทพฯ แล้วต่างจังหวัดจะเป็นยังไงกัน
สำหรับบางคน อากาศหนาวแบบนี้ดีจะได้แต่งตัวสวย ๆ ไปอวดกัน
สำหรับอีกหลาย ๆ คน อากาศหนาวแบบนี้ และพืชผักผลไม้ที่ปลูกอยู่จะออกดอกออกผลได้ยังไง
ผมก็ชอบอากาศเย็น ๆ แต่ผมควรจะอยู่ในฤดูกาลและพื้นที่ของมัน ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่สภาพอากาศแบบช่วงนี้
อยากให้ลองคิดในหลาย ๆ แง่มุมนะ เราอาจรู้สึกว่าอากาศช่วงนี้หนาวแล้วสบาย แต่ชาวไร่ชาวนา หรือชาวประมง คงไม่ชอบใจนัก
อย่าไปคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะอย่างที่เคยบอกไว้ โลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกันไปหมด ความบังเอิญจริง ๆ มีน้อยมาก ๆ คนเราจะรู้จักกันมาพบกันได้ย่อมมีเหตุผลหนึ่ง ๆ ทำให้รู้จักกันเสมอ ไม่มีความบังเอิญหรอกนะ
เมื่อกากาศหนาวขึ้นผิดปกติ ผิดเวลา ไม้ดอกไม้ผล ย่อมสับสน แล้วชะลอการให้ดอกผล แมลงที่คอยผสมเกสรก็จะหยุดความกระตือรือล้น หรือเกือบอยู่ในภาวะจำศีล
นกจะรู้สึกว่าต้องสะสมไขมัน ต้องหาอาหารมากขึ้นเพื่อรับอากาศหนาว แต่หาแมลงได้น้อยลง ปลาเกิดอาการช๊อค เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงฉับพลัน สัตว์เลือดเย็นจึงปรับตัวไม่ได้
น้ำระบายอากาศได้ยากขึ้นเพราะอากาศเย็นกดลงมาทำให้น้ำเกิดการเน่าเสีย.. แบคทีเรียดี ๆ ในธรรมชาติหยุดทำงาน..
เมื่อห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศแปรปรวน ทำไมมนุษย์บางส่วนถึงไม่ตระหนักถึงกันนะ.

อากาศที่ผิดปกติ บ่งบอกอะไรกับเราได้บ้าง.. มนุษย์กำลังเอาเปรียบธรรมชาติมากเกินไป จนธรรมชาติทนไม่ไหวหรือเปล่า..
แผ่นดินไหวทั่วโลก.. เป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มนุษย์มีส่วนเร่งให้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควรไหม?

ผมเห็นด้วยกับการเสาะหาแหล่งพลังงานทดแทน สำหรับมนุษย์.. พลังแสงอาทิตย์ พลังลม พลังน้ำ แม้แต่พลังนิวเคลียร์
แต่ผมรู้สึกว่าเราควรจะลดการใช้พลังงานลงมากกว่า จะหาการสร้างพลังงานเพิ่มเติมนะ ลดการใช้พลังงานลง อัตราการปล่อยคาร์บอนสู่อากาสก็ลดลง
ภาวะเรือนกระจกก็ชะลอตัว.. รังสีแปลก ๆ จะแสงอาทิตย์ก็ลงมาสู่พื้นโลกน้อยลง.. มันก็น่าจะดีกว่านี้นะ
รู้สึกแปลกใจที่การโฆษณาของผู้จำหน่ายแผงกำเนิดกำลังไฟฟ้าบางราย อธิบายว่า การติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในเขตที่แหล่งไฟฟ้าเข้าถึงไม่มีความคุ้มค่า
เพราะนั่นหมายความว่าความคุ้มค่า มีค่าเพียงตัวเงินเท่านั้น.. แต่หากคุ้มค่าในแง่ของการลดการใช้พลังงาน โดยการใช้พลังงานทดแทน..
คาร์บอนที่เกิดจากสายส่งน้อยลง โอโซนที่เกิดจะไฟแรงสูงน้อยลง.. เป็นการคุ้มค่าต่อธรรมชาติที่ต้องลงทุนกันบ้าง.. เงินทองสามารถหาได้ แต่การสูญเสียของธรรมชาติ
แม้ช่วยลดได้เพียงเล็กน้อยก็คุ้มค่ามากแล้วนะครับ

การที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น เกิดปัญหา คงโทษไม่ได้ว่าการป้องกัน หรือการออกแบบบกพร่อง แต่คงต้องบอกว่า เพราะแพ้ต่อพลังของธรรมชาติต่างหาก
เมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้วก็ควรจะร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่ใช่มีแต่คนเก่ง ๆ ออกมาบอกเรื่องนั่นไม่ดี เรื่องนี้ผิด แต่ไม่ได้ไปเจอด้วยตัวเองเลย..
รู้สึกดีขึ้นที่เห็นหลาย ๆ ประเทศที่มีเทคโนโลยีนิวเคลียร์ร่วมมือกันช่วยเหลือญี่ปุ่น.. เรื่องราวน่าจะคลี่คลายลงเร็วขึ้นนะ

เป็นกำลังใจให้ชาวญี่ปุ่นทุกคนให้ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี และเสียหายน้อยที่สุดนะครับ
ดีใจที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นทุกคนปลอดภัยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..
แล้วฝากถึงมนุษย์ทุกท่านขอให้เบียดเบียนธรรมชาติให้น้อยลงแล้วหันมาดูแลและให้ความเคารพต่อธรรมชาติให้มากขึ้นกันเถอะครับ.

เรื่องเนือย ๆ จากวันที่เหนื่อย ๆ
ไม่รู้จะลงรูปอะไร เอารูปที่ญี่ปุ่น ในวันฉลองบรรลุนิติภาวะ ของเขามาลงให้ดูก็แล้วกันนะ

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

Pray for Japan

แผ่นดินไหวที่ไคร์สเชิร์ช ในนิวซีแลนด์ ยังไม่ทันจาง ที่ญี่ปุ่นก็โดนแผ่นดินไหว แล้วตามด้วยซึนามิ..
ความเสียหายของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นคงเปรียบเทียบไม่ได้กับความสูญเสียของชีวิตที่ต้องสูญไป.
สิ่งที่เกิดขึ้นสอนให้คนเรารู้จัก เข้าใจ และเกรงกลัวต่อธรรมชาติให้มากขึ้น..
คนในประเทศญี่ปุ่นให้ความเคารพและรักษาธรรมชาติมาก ๆ
และแม้ที่ญี่ปุ่นจะมีการเตรียมการเรื่องแผ่นดินไหวมาเป็นร้อยปี และมีระบบที่ทันสมัย ก็ยังไม่อาจต่อกรกับธรรมชาติได้..
ตึกที่ญี่ปุ่นมีฐานที่สามารถต้านแผ่นดินไหวได้ ถึง เกือบ 6 ริกเตอร์ก็ยังเพียงพอที่จะรับพลังของธรรมชาติ..
แล้วในบ้านเราที่คนให้ความเคารพต่อธรรมชาติน้อยมาก ๆ รวมทั้งระบบต่าง ๆ ที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
หากถึงคราวที่เกิดขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างนะ..

ขอแสดงความเสียใจ ไว้อาลัย และเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบเหตุทุก ๆ ท่าน..
Amano-san, Kenny-san, Hajiwara-san, Saida-san.. and all my friend and Japan..
I'm hope you, your family and all Japanese to safe and holpfull to go ahead..

Pray for you, Japan..


เผื่อฉุกเฉินหรือรู้จักใครที่ญี่ปุ่นนะครับ
ศูนย์ช่วยเหลือคนไทยในญี่ปุ่น
02-575-1046-9
และ

กระทรวงการต่างประเทศ ได้เปิดศูนย์รับความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ประสงค์จะบริจาคเงินและสิ่งของแก่ผู้ประสบภัยในญี่ปุ่น ดังนี้ 
1. ผู้ที่ประสงค์จะบริจาคสิ่งของ โดยเฉพาะผ้าห่ม สามารถนำมาบริจาคได้ที่กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา หรือกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทุกวันโดยไม่เว้นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันนี้ (12 มีนาคม 2554) เป็นต้นไป 

2. ผู้ที่ประสงค์จะบริจาคเงิน กระทรวงการต่างประเทศได้เปิดบัญชีออมทรัพย์ของ
ธนาคารกรุงไทย 
สาขาสามยอด 
ชื่อบัญชี : เงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ญี่ปุ่น 
เลขที่บัญชี 002-0-271-468

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

จักรยาน.. ความคิดและความจริง

ช่วงนี้เห็นว่ามีคนขี่จักรยานในกรุงเทพฯ กันเยอะขึ้น
น่าดีใจที่คนส่วนหนึ่งเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในฐานะที่เป็นคนที่ชอบขี่จักรยานและเคยใช้จักรยานในถนนใหญ่มาแล้ว
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ช่วงหลัง ๆ ผมไม่ค่อยได้ขี่จักรยานในถนนใหญ่ ก็เพราะความอันตรายและความเห็นแก่ตัวของผู้ใช้รถ ใช้ถนนส่วนใหญ่ และหลังจากการเสียชีวิตของผู้อาวุโสท่าหนึ่ง ที่เสียชีวิตเนื่องจากการขี่จักรยานบนถนนหลวงในกรุงเทพฯ โดยความประมาทของคนขับรถยนต์. รวมทั้งการที่ผู้ที่ขี่จักรยาน มองข้ามจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการใช้งานจักรยานจุดหนึ่ง นั่นคือความประหยัดและประมาณตน.. หลาย ๆ คน ขวนขวายหาจักรยานราคาแพงมาใช้.. ผมไม่ปฎิเสธว่าจักรยานที่ราคาสูง ๆ ย่อมมีประสิทธิภาพดีกว่าจักรยานที่ราคาต่ำกว่า.. แต่มันจำเป็นถึงขนาดนั้นเลยหรือ
ทำให้เกิดอาการไม่อยากนำจักรยานไปขี่ในถนนใหญ่.. .
ในเมื่อไม่ได้นำมาใช้งานเป็นอาชีพ หรือเพื่อแข่งขัน ทำไมต้องให้ความสำคัญกับราคาของมันถึงขนาดนั้น..

ผมยังคงขี่จักรยานคันเก่าเป็นสิบปีเหมือนเดิม.. นาน ๆ ครั้งก็ขี่ไปไกล ๆ อย่างบ้านเพื่อนหรือที่ทำงานซักครั้ง.. ถึงมันจะเก่าแต่ก็ถึงจุดหมายนะ
เมื่อวานไปซื้อที่วางกระเป๋า เพื่อจะมาติดหน้าจักรยาน แต่กลับเป็นว่าติดไม่ได้ เพราะตะเกียบหน้าเป็นรุ่นเก่ามาก ๆ ไม่มีตัวล็อค ก็ถือว่าซื้อความรู้ก็แล้วกันนะ

ส่วนการใช้งานบนถนนใหญ่ ที่ใช้งานร่วมกับรถยนต์ ผมอยากให้ผู้ที่ใช้จักรยาน รักษากฎของการขับขี่จักรยานไว้ด้วยนะ ไม่ควรใช้ความเร็วสูง การแทรกไปมา การขี่กลางเลน กลางถนน..
มันอันตรายเกินไปหรือไม่.. แม้จะใช้จักรยานก็ต้องคิดถึงผู้อื่นบ้างนะครับ
โดยเฉพาะจักรยานอะไรซักอย่างที่ไม่มีเบรค ซึ่งไม่ควรเป็นอย่างยิ่งในการนำมาใช้บนถนนสาธารณะ หากเกิดอุบัติเหตุ อย่าคิดว่าแค่ตัวคุณเองนะครับ
มันจะทำให้ผู้อื่น ๆ เกิดปัญหาด้วยเสมอ..
แล้วก็อย่าไปหวังกับเลนจีกรยานที่ทางกรุงเทพฯ จัดไว้ให้ เพราะเลนมีแต่ผู้ใช้ถนนท่านอื่น ๆ ไม่เคารพก็เบียดเข้ามาจนเกิดอันตรายเสมอ..
ปัญหาจึงควรเริ่มแก้ไขที่จิตใจ ความรับผิดชอบของผู้ใช้รถใช้ถนนก่อนนะ.

ผมชอบขี่จักรยาน เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องควบคุมด้วยร่างกาย จิตใจ และสมองของเราทั้งหมด เหมือนผมชอบถ่ายรูปด้วยการตั้งค่าต่าง ๆ เอง หรือการทำงานที่ออกแบบและแก้ไขเอง ชอบขับรถยนต์และมอเตร์ไซค์ที่มีเกียร์มากกว่าระบบอัตโนมัติ
พูดง่าย ๆ ว่าผมชอบอะไรที่ควบคุมได้ด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ทุกคนย่อมชอบควบคุมอะไร ๆ ด้วยตัวเองทั้งนั้น เพียงแต่จะหลงประเด็น หลงทิศ ไปกับสิ่งรอบข้างมากหรือน้อยเท่านั้นเอง

จักรยานเป็นพาหนะ อย่าเอามาเป็นเครื่องแสดงฐานะ
จักรยานเป็นสิ่งที่แสดงความสำรวม อย่าเอามาเป็นการอวดอ้าง
จักรยานเป็นส่วนที่เป็นมิตร อย่าทำให้เป็นศัตรูเพราะไม่เคารพกฎ

มาใช้จักรยานกันเยอะ ๆ เถอะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

กาแฟบด สดจากธรรมชาติ ชงช้าแต่ว่าอร่อยนะ

เดือนปีผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแป๊บเดียว ผ่านปีใหม่มาสองเดือน เข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว ผ่านเดือนผ่านปีมาอีกปีหนึ่ง หากรู้จักเรียนรู้หาประสบการณ์ ก็โตขึ้นอีกปีหนึ่ง หรือมากกว่านั้น
หากปล่อยให้วันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะไม่ได้โตขึ้นเลย.. การเติบโตไม่ได้หมายถึงอายุนะ แต่หมายถึงความเป็นบุคคลน่ะ การที่จะเติบโตขึ้นมาไม่ได้หมายถึงอายุที่มากขึ้นอย่างเดียว แต่หมายถึงจิตใจ ความรู้ อารมณ์ และอื่น ๆ
เดือนที่ผ่านมาตั้งใจไว้ว่าจะไม่เขียนอะไรเลย แล้วหลังจากนั้นจะเขียนให้มากขึ้นกว่าเดิม ถือว่าเป็นการหยุดความคิดของตัวเองเล็กน้อยนะ
หลายเรื่องหลายราวผ่านเข้ามาในหนึ่งเดือน หลากหลายอารมณ์ หลายรูปแบบ และวิธีการ.. ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งรู้สึกแปลกแยก..
สองเดือนที่ผ่านมามีเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวผมและมีความเกี่ยวโยงกันอย่างแปลกประหลาด
เป็นเรื่องงานที่มีการย้อนยุค ย้อนเวลา ที่เข้าร่วมถึงสามงาน งานของที่ทำงาน งานของเพื่อนในบอร์ด และงานของสถาบันการเรียนรู้แห่งชาติ
ทั้งสามงานมุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องราวที่ย้อนกลับไปในอดีต มีการแต่งตัวย้อนยุค ย้อนเวลา
ช่วงเวลานี้ เราโหยหาอดีตกันมากขึ้นหรือเปล่า อาจเป็นเพราะสถานการณ์ อากาศ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ
ในอดีตที่คนเรายังไม่รีบร้อนเท่านี้.. ยังไม่เห็นแก่ตัวเท่านี้.. ยังไม่โกงกินกันขนาดนี้ ยังไม่มีการแบ่งฝ่าย การเอารัดเอาเปรียบ การหลอกลวง ซึ่งไม่เท่าสมัยนี้
ทั้งที่ในปัจจุบันมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่สิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้ ก็เป็นการเสริมสร้างความต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นด้วย ทำให้คนเราใจร้อนขึ้น หงุดหงิดง่ายขึ้น เพราะไม่ได้อะไรเร็วตามที่ตัวเองต้องการ เมื่อดำรงชีวิตอยู่ในความรวดเร็วตลอดเวลา ย่อมมองไปข้างหลังแล้วไม่เห็นคนอื่น หรือแม้แต่ตัวตนของตัวเอง
และย่อมเป็นไปได้ถึงการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ได้ในความเร็วนั้น ๆ และเร็วยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก. ไหลไปตามกระแสสังคมสมัยใหม่ที่เชี่ยวกราก..
ยิ่งมองไปรอบ ๆ ก็ยิ่งเห็นว่าตัวเองขวางโลก ขวางคลอง แต่อาจจะเป็นเรื่องที่คนหลาย ๆ คนเริ่มหันมารู้สึกก็ได้ ว่าอยากจะช้าลงบ้าง
งานสามงานที่บอกไว้ แสดงให้เห็นถึงความโหยหาอดีตและไม่พอใจปัจจุบันอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่รู้จะเริ่มที่ไหน จึงเริ่มจากเปลือกนอกก่อน เพียงลอกคราบปัจจุบัน แล้วหาคราบเก่า ๆ เอามาใส่ ก็สุขใจได้ชั่วครั้งชั่วคราว
เราสามารถจะมีความสุขได้ยาวนานกว่านั้นนะ.. ลองปรับเปลี่ยนความคิดความรู้สึกภายในซะก่อน แล้วจะรุ้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น
ลองทำอะไรแบบธรรมดา ไม่เร่งรีบดูบ้างนะ เดินเร็ว ๆ ก็มองไม่เห็นดอกไม้ข้างถนน เดินให้ช้าลง คงเห็นความงามมากขึ้น
หลายคนบอกคงบอกว่าเดินเร็วขึ้น ก็ถึงจุดหมายเร็วขึ้น
แต่การถึงจุดหมายนั้น หมายถึงจุดหมายที่เมื่อถึงแล้วไม่ต้องหาจุดหมายต่อไปหรือไม่ ถ้ายังต้องหาจุดหมายต่อไปเรื่อย ๆ ชีวิตก็ยังเร่งรีบอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ
ทั้งที่จุดหมายนั้นอาจจะมีไม่กี่จุดที่จำเป็นต่อชีวิตเรา แต่คนเราก็มักจะหาจุดหมายใหม่ ๆ ต่อไปเสมอ ๆ
ถ้าเราช้าลงบ้าง ไปถึงจุดหมายช้าลง แต่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ข้าง ๆ รอบ ๆ ได้มากมาย ชีวิตอาจจะมีค่ามากขึ้นก็ได้นะ

วันก่อนเห็นกล้องไลก้า ขายมือสอง ในราคาที่เอื้อมถึงได้ ความอยากได้ก็มีนะ แต่ไม่ได้รีบร้อน..
วันนี้เขาขายไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกเสียดาย  ที่ไม่ซื้อในวันนั้น ไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบาก ค่อย ๆ เก็บไป วันหนึ่งคงได้เอง..

เหนื่อยมีบ้าง ท้อมีบ้าง แต่มักเป็นเมื่อต้องติดต่อหรือทำงานร่วมกับคนที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว หรือเอารัดเอาเปรียบ... แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึกนั้น ๆ อยู่นานจนกัดกินจิตใจของตัวเองนะ
ทุกวันนี้มีความสุขดี ไม่ต้องแสวงหา หรือตามใคร ปล่อยผ่านบางสิ่ง และ รักษาบางอย่าง

กาแฟกึ่งสำเร็จรูปชงเร็วก็จริง แต่กาแฟบดที่ชงช้ากว่า ก็มาจากธรรมชาติล้วน ๆ และรสชาดดีกว่ามากนะ
เดินให้ช้าลง ชีวิตสุขมากขึ้น

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ชื่อนั้นสำคัญไฉน?

"อ้าว.. ไม่ใส่ชื่อเหรอ" เพื่อนผมถามเมื่อผมยื่นซองผ้าป่า ที่ใส่เงินทำบุญไปแล้วคืนให้..
อันเป็นที่มาของความสงสัย ทำให้ต้องใช้ความคิดอีกแล้ว.
ชื่อนั้นสำคัญไฉน? เป็นหัวข้อที่เคยอ่านในนิตยสารต่วยตูนบ่อย ๆ สมัยยังเด็ก
เราให้ความสำคัญกับชื่อ นามสกุลมากเกินไปหรือไม่ ตอนตั้งชื่อก็ต้องไม่มีตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีนะ ต้องมีอักษรที่เป็นอำนาจ อักษรที่มีบริวาร ฯลฯ
พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ไม่พอใจก็ไปเปลี่ยน
ในความคิดผม จากคำถามที่เพื่อนถามเรื่องการใส่ชื่อในซองทำบุญ ก็คือ แล้วบุญกรรม มันตามชื่อหรือนามสกุลเราไปหรือไง ถ้าอย่างนั้นการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล สามารถเริ่มต้นบุญและกรรมได้ไหม?
ไม่น่าจะได้นะ เพราะคนเราประกอบกันขึ้นมาจากสสารหลาย ๆ ชนิดก่อร่างขึ้นมาเป็นตัวตน โดยมีจิตเป็นตัวกำหนดความเป็นไป
ดังนั้น ไม่ว่าจะชื่ออะไร จะเปลี่ยนกี่ครั้งก็ตาม จิตนั้น ๆ ก็ยังคงเดิม และเมื่อสสารไม่มีวันสูญสลายไป จิตย่อมกลับมาประกอบกับสสารขึ้นใหม่ โดยสะสมบุญกรรมที่ทำมาทุก ๆ ครั้ง
ไม่น่าจะมีผลกับเรื่องชื่อเสียงเรียงนามนะ
เรื่องชื่อนี่ ก็เป็นเรื่องสมมุติขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อให้มนุษย์ที่ยังโง่เขลา และโง่ขึ้นเรื่อย ๆ จากเทคโนโลยี เอาไว้แยกแยะมนุษย์อื่น ๆ 
เมื่อมนุษย์ละร่างกายไปแล้ว จิตจะยังจดจำชื่ออยู่อีกหรือ? แล้วหากมีนรก สวรรค์ เขาจะเรียกจิตนั้น ๆ ตามชื่อที่ตั้งไว้ทางโลกหรือ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองขวางโลก ยังไม่เข้าใจว่าจะไปถามเรื่องนี้กับใครดี? แล้วถามไปถามแล้ว เขาจะเข้าใจคำถามของเราไหม?

ความเชื่อในยุโรปหลายประเทศ ชื่อที่แม่เรียกเมื่อครั้งเกิดใหม่เป็นชื่อที่มีพลังที่สุด เพราะเป็นชื่อที่ผู้ให้กำเนิดเป็นผู้ตั้งให้..
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ชื่อที่ใช้อย่างเป็นทางการก็ได้.. แต่ทำไมหลาย ๆ คนชอบเปลี่ยนชื่อ ตั้งที่เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้

ชื่อมีไว้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แบ่งสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งหนึ่ง.. ไม่ได้ทำให้ผู้ที่ใช้ชื่อนั้น ๆ อยู่ ดีหรือเลว กว่าผู้อื่นนะ
ส่วนบุญกรรม ไม่สนใจชื่อหรอกว่าใครจะเป็นคนทำ เพราะจิตของคนนั้น ๆ จะรับผิดชอบโดยตัวของมันเอง

เรื่องนี้สั้น ๆ แค่อธิบายความไม่เข้าใจในเรื่องชื่อ หากใครมีความคิดเห็นยังไง รบกวนช่วยสั่งสอนด้วยนะครับ

สัตว์อื่น ๆ มันจะอยากมีชื่อเรียก หรือตั้งชื่อ หรือเปลี่ยนชื่อไหมนะ.. แล้วมันจะมีความสุขไหม
สงสัยจริง ๆ ว่าหมามันจะเรียกกันเองว่ายังไง...

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

พอ?

ช่วงนี้มีแต่เรื่องน่าเศร้า ทั้งเรื่องเกี่ยวกับพระต่าง ๆ และเรื่องการปล้นค่ายทหาร
เรื่องการปล้นค่ายทหารที่ภาคใต้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำได้อีก.. คงต้องตรวจสอบเรื่องการข่าวของเรากันละมั้ง
หลายครั้งหลายหน การให้ก้ไม่เพียงพอที่จะทำให้คนบางจำพวกกลับตัวกลับใจได้ สาเหตุหลักเกิดจากความไม่เคยพอในการได้รับ
และไม่เคยเลยในการให้ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งผมไม่เข้าใจว่าการที่ผู้ชายจะทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง ๆ นั้น จะทำไปได้อย่างไร
ไม่เข้าใจว่าคนเราจะลงมือปลิดชีวิตของมนุษย์คนอื่น ๆ โดยไม่สนใจได้อย่างไร หากเป็นการป้องกันตัวก็สามารถเข้าใจได้ แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ทางภาคใต้ที่มีปัญหา ผู้ที่สูญเสียไม่ใช่กลุ่มที่จะมีภัยคุกคามต่อผู้อื่นได้.. คนดี ๆ ต้องมาเสียไป เพราะคนบางกลุ่มที่ไม่มีทางที่จะเข้าใจการอยู่ร่วมกัน
หากพวกคุณไม่รู้จักพอ และไม่รู้จักที่จะอยู่ร่วมกัน ไม่พอใจในประเทศนี้ ก็ออกไปอยู่ประเทศอื่นเถอะครับ
ขอไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตทุก ๆ ท่านนะครับ
เรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าก็เรื่องราวมากมาย ทั้งที่มีปัญหาที่ดินทำกินกับชาวบ้าน.. พระภิกษุคือผู้ขอ ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจึงเกิดปัญหาเรื่องการสร้างที่ของสงฆ์ทับที่สาธารณะ
เมื่อชาวบ้านอยู่กันมาก่อน หากพระสงฆ์จะจัดสร้างที่ของสงฆ์คงต้องขอจากชาวบ้าน... แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?
เรื่องพระสงฆ์ปลอมทีบิณฑบาตร หาเงินไปเสพยาบ้า พระที่กลางคืนเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเที่ยว.. พวกคุณจะอยู่ในผ้าเหลืองให้ศาสนาเสื่อมทำไมกัน?
หากยังไม่รู้จักพอและรู้จักให้แล้ว กรุณาอย่าเข้ามาแอบอ้างเพื่อให้พุทธศาสนามัวหมองกันอีกเลยครับ

ช่วงนี้ก็มีการชุมนุมกันอีกแล้ว ข้ออ้างมากมาย ชื่อกลุ่มเยอะแยะ วัตถุประสงค์หลายหลาย.. เรียกร้องทุกอย่าง เรียกร้องตลอดเวลา แต่ไม่เคยให้อะไรกลับคืนมาสู่บ้านเมืองนี้ให้เป็นประโยชน์ หรือพัฒนาขึ้นมาเลย
ทะเลาะกันโดยไม่มองความเดือดร้อนในส่วนอื่น ๆ พวกคุณชอบไหม หากคุณเดินกลับบ้านตามปกติ แต่วันหนึ่งมีคนชุมนุมปิดกั้นทางเดินปกติของคุณโดยอ้างว่าเพื่อส่วนรวมทั้งที่เห็นว่าเป็นเพียงเพื่อคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น คุณจะรู้สึกอย่างไร
หากไม่รู้จักพอและไม่รู้จักประชาธิปไตยจริง ๆ อย่าออกมาเรียกร้องเลยครับ ทำไมต้องทำให้คนอื่น ๆ เขาเดือนร้อนด้วย..

เหมือนกับการทำงานร่วมกับคนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ที่ไม่เคยรู้จักพอหรือรู้จักให้
คนเรามักจะไม่รู้ตัวว่าเห็นแก่ตัว แม้ว่าความเห็นแก่ตัวจะมีอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว จะมากน้อยก็ตามแต่กันไป หากต้องการรู้ว่าเห็นแก่ตัวแค่ไหน ลองไปทำงานให้ส่วนรวมดู หากความคิดเริ่มต้นที่ตัวเองต้องสบายที่สุด นั่นแหละเป็นการแสดงว่าตัวคุณเห็นแก่ตัวขนาดไหน?

ผมอาจจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย แต่ผมมองเฉพาะความเป็นจริงเท่านั้นครับ
อย่าไปพูดเลยว่าบ้านเราเป็นเมืองพุทธ หรือแสนจะปลอดภัย เพราะมันไม่สามารถจะอ้างอิงอย่างนั้นได้
แต่ผมก็ยังมีความหวังเสมอว่ามันจะดีขึ้น แม้ไม่ใช่ในรุ่นของเรา ก็อาจจะเป็นรุ่นต่อ ๆ ไป.

ถึงจะเหนื่อยกับผู้คน เบื่อกับความเห็นแก่ตัว กลัวกับความไม่รู้จักพอ ท้อกับส่วนที่ไม่รู้จักให้..
แต่ยังไงใจก็ยังคงแข็งแกร่งพอที่จะเดินต่อไป ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง พยายามรั้งคนที่เดินทางผิดให้กลับมาเดินทางถูก..
อาจไม่ใช่เพื่อนที่เป็นแบบพวกมากลากไป แต่จะพูดตรง ๆ กับเรื่องความผิดพลาด ผิดพลั้ง จึงอาจมีสวนทางกับความรู้สึกกันบ้าง แต่ยังไงก็เป็นไปด้วยความหวังดีตลอดนะ

รู้จักพอ รู้จักให้ ผู้คนและสังคมก็ดีขึ้นมากมาย..
เหนื่อย ถึงบางครั้งท้อแท้ แต่ไม่เคยท้อถอยนะ..

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

สำรวจตัวเอง ปีใหม่ 2554

หลังจากหายไปร่วมเดือน ก็กลับมาสวัสดีปีใหม่กันหน่อยนึงนะ สวัสดีปีใหม่ 2554 นะครับทุก ๆ ท่าน เนื่องด้วยผมก็มีความสุขเพียงแค่พอตัวเท่านั้นเอง คงไม่มากพอที่จะส่งความสุขให้กับทุก ๆ คนได้
ก็ได้แต่หวังว่าทุก ๆ คนคงจะมีความสุขกับตัวเองนะครับ และที่สำคัญก็รักษาสุขภาพ และออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงกันด้วยนะ
ทั้งความสุข และสุขภาพ ขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งนั้นครับ
ปีที่ผ่านมาก็นับได้ว่าเป็นปีที่ผมสามารถทำตามความตั้งใจก่อนได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์นะ ทำงานเต็มที่ ให้เวลากับครอบครัว ดูแลพ่อแม่.. ส่วนปีนี้ก็ตั้งใจว่าจะลด เลิกสบถ ดูแลตัวเองให้เรียบร้อยขึ้นอีกหน่อย.. ส่วนที่เหลือก็คอยมาจับผิดตัวเองดูว่ายังมีเรื่องเลว ๆ อะไรอยู่ในตัวอีกบ้าง จะได้ค่อย ๆ ลดมันลง ผมอยากเป็นคนดีนะ คนเราทุกคนเกิดมาอยู่บนพื้นฐานของความดีอยู่แล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในช่วงเวลาที่เราเติบโตมานี่แหละ พ่อแม่ ครอบครัว สิ่งแวดล้อม เพื่อน.. แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เลือกให้เราเดินอยู่ในทางสายที่ดี หรือเลว กลับอยู่ที่จิตใจตัวเองทั้งนั้น.. ดังนั้นก็สำรวจตัวเองกันบ่อย ๆ เพื่อที่จะกลับตัวกลับใจ ยังไม่มีอะไรสายเกินไปหรอกครับ
ปีที่ผ่านมาได้เพื่อนใหม่ดี ๆ เพิ่มขึ้นอีกนิด ได้เห็นธาตุแท้ของบางคนที่รู้จักกันมาอีกหน่อย ถือว่าเป็นปีที่คุ้มค่าจริง ๆ ในเรื่องประสบการณ์เดินทางก็ยังเดินทางอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีสถานที่ที่ยังไม่เคยไป
เรื่องนี้ค่อยมาปรับปรุงในปีนี้ก็แล้วกัน ว่าแต่ว่า จะไปที่ไหนดีนะปีนี้..
วันนี้ขับรถมาทำงานตามปกติ หยุดรถให้คนข้ามถนนที่ทางม้าลาย กลับกลายเป็นรถคันข้างหลังบีบแตรไล่ ไม่ได้ขับรถเร็ว ค่อย ๆ หยุด จะไล่ทำไม. ทำให้มาคิดได้ว่า
คนไทยเรานี้อาจจะไม่มีความปลอดภัยในท้องถนนได้เลยละมั้ง ทางม้าลาย เป็นที่สำหรับให้คนเราข้ามถนน อย่างปลอดภัย คนที่ขับรถทุกคน ต้องมีใบขับขี่ ต้องมีการสอบเพื่อจะได้ใบขับขี่
ดังนั้น เรื่องง่าย ๆ แค่ ทางม้าลาย เป็นส่วนที่ปลอดภัยสำหรับคนข้ามถนน ทำไมคนขับรถทั่ว ๆ ไป ถึงยังไม่เข้าใจ ขนาดมองเห็นคนกำลังเดินข้ามทางม้าลาย ยังไม่ลดความเร็วลงเลย
สังเกตมาหลายครั้งแล้ว ในความคิดผม แค่เห็นคนกำลังข้ามถนน ถึงไม่ใช่ทางม้าลายก็ควรจะลดความเร็วของรถแล้ว.. เป็นสามัญสำนึกที่จะแบ่งปันให้กับเพื่อนร่วมโลกอื่น ๆ ที่ควรจะมีอยู่ในสัตว์ที่เรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ ที่เหนือกว่าสัตว์อื่น ๆ
แต่กลายเป็นว่า เห็นคนข้ามถนน ก้ไม่ลดความเร็ว ต่อให้ข้ามถนนบนทางม้าลาย ก็ยังไม่ปลอดภัย.. เมื่อสามัญสำนึกแบบนี้ยังไม่เกิดขึ้นเลยในคนทั่ว ๆ ไป แล้วนับประสาอะไรที่คนที่ยังไม่มีใบขับขี่ แล้วมาขับรถ
แค่มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว แค่นี้โลกนี้ก็น่าจะดีขึ้นอีกเยอะแล้วนะ..
วันนี้วันพระ บังเอิญออกจากบ้านช้ากว่าปกตินิดหน่อย ประกอบกับฝนตกพร่ำ ๆ เลยไม่ได้ใส่บาตรแถวบ้าน ขับมาจนเกือบถึงบริษัทฯ แล้วกว่าจะได้ใส่บาตร ไม่ใช่ไม่เจอพระ แต่ไม่มีที่จอดรถ จะจอดอย่างที่เขาจอด ๆ กัน ก็ไม่สนิทใจ ต้องหาที่จอดดี ๆ
เหมือน ๆ กับการที่ผมไม่กินรังนก หรือหูฉลาม. มันเป็นความรู้สึกที่ฝังอยู่ในตัวไปแล้วว่ามันไม่ดี หากจะทำก็รู้สึกไม่สบายใจ เลยไม่ทำดีกว่าสบายใจกว่า
ไม่ใช่เห็นคนอื่นทำได้ก็ทำบ้าง คนเรามีความคิดเป็นของตัวเอง มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นบรรทัดฐาน ดังนั้นจะทำอะไร ลองตรวจสอบความรู้สึกและจิตใจของตัวเองก่อนนะ คำตอบของทุก ๆ คำถามมีอยู่ในจิตใจของเรา ตั้งแต่เริ่มตั้งคำถามแล้วละ แต่ก็ยังเห็นบ่อย ๆ สำหรับคนที่รู้ว่าไม่ดีแต่ก็ยังทำ พอถามว่าทำเพราะอะไร ก็ตอบไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วมีคำตอบในใจตัวเองอยู่แล้ว

มื่อรู้ว่าอะไรเป็นเรื่องผิด เรื่องไม่ดี แต่ยังทำอยู่ตลอดเวลา ชีวิตคุณจะมีความสุขจริง ๆ ไปได้ยังไง ในเมื่อสามัญสำนึกมันค้านอยู่ตลอดเวลา
ปีใหม่แล้ว ใครที่ยังไม่เริ่ม ไม่รู่ว่าจะเริ่มปรับปรุงตัวยังไง ลองถามใจตัวเองดูดี ๆ คำตอบมันลอยอยู่ในนั้นนั่นแหละว่า จะปรับปรุงตรงไหน ยังไง..