วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ว่าด้วยเรื่องไทย ไทย

นานมาแล้วเคยคุยกับพี่คนนึงเกี่ยวกับเรื่องลักษณะนิสัยของคนไทย แล้วสรุปกันว่าตรงกับที่เคยได้ยินมาเลยว่า "ทำอะไรตามสบายคือไทยแท้" และในความคิดของผมแล้ว ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และความอุดมสมบูรณ์เป็นต้นเหตุของลักษณะนี้
คนไทยไม่ชอบวางแผนการทำงาน, ไม่ชอบกฎระเบียบ แล้วก็ไม่ตรงเวลา สาเหตุก็เนื่องมาจากที่ลักษณะอากาศบ้านเรานั่น ไม่มีฤดูไหนที่ไม่สามารถหาอาหารได้ หรือไม่มีฤดูไหนที่เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้
ด้วยลักษณะอากาศเช่นนี้ ทำให้คนไทยไม่จำเป็นต้องวางแผนตระเตรียมอะไรนัก ในการดำเนินชีวิตในปกติสุข
แตกต่างกับประเทศเมืองหนาว เมื่อถึงฤดูหนาว นั่นหมายความว่าพวกเขต้องมีอาหารกักตุนไว้เพียงพอกับการกินการอยู่ตลอดทั้งฤดู เพราะการจะออกไปหาอาหารนั้นต้องฝ่าทั้งหิมะที่หนาวเย็น และยังมีโอกาสหาอาหารได้น้อยอีกด้วย
พืชผักต่าง ๆ โดนหิมะเข้าก็พักตัว ไม่เจริญเติบโตซะงั้น เพราะมีฤดูหนาวที่รุนแรงนี่เอง ทำให้คนในเมืองหนาวต้องวางแผนการเตรียมอาหารสะสมไว้ ในระหว่างฤดูอื่น ๆ ที่ยังหาอาหารได้สะดวก ทำให้ติดเป็นนิสัย ต้องวางแผนในการทำงานเสมอ
พอคนไทยไม่ต้องวางแผนในการดำรงชีวิตแล้ว ก็แล้วเลยไปถึงการที่ไม่ชอบกฎระเบียบเพราะรักความสะดวก และคิดว่าสามารถจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเลยไปถึงการที่ไม่รักษาเวลาด้วยเลย
การอยู่ในบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์นี่ ก็ทำให้คนนิสัยเสียได้นะ
แต่ความอุดมสมบูรณ์ก็ทำให้เกิดลักษณะนิสัยที่ดี ๆ เช่นกัน เพราะการที่มีข้าวปลาอาหารอยู่อย่างมากมาย จึงกลายเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเห็นอกเห็นใจ แล้วก็มีน้ำใจระหว่างกัน แต่ในปัจจุบันคงจะลดลงไปทุกทีแล้วละ เอาแค่ในชีวิตผมนี่ ผมเห็นคนที่เป็นคนดีจริง ๆ ในประเทศไทยนี่เป็นส่วนน้อยแล้ว
สมัยก่อนตอนที่ผู้คนยังไม่มากขนาดนี้ ก็ยังคงสภาพสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้อยู่หรอกนะ ความเจริญที่เข้ามาคงทำให้ใจของคนเหือดแห้งลงไปด้วย
เรื่องเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของคนไทยนี่คิดมานานแล้ว ก็คิดว่าทำไมไม่มีใครคิดอย่างเราหว่า พอดีได้หนังสือของคุณ ส.ศิวรักษ์ เรื่อง ตายประชดป่าช้า ที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2514 ในเล่มก็มีเรื่องของผู้ที่คิดคล้าย ๆ กับผม ก็ดีใจว่าเราก็คิดได้คล้าย ๆ ผู้รู้เหมือนกันนะเนี่ย

เมื่อเดือนก่อน พ่อกับแม่ก็มาบ่นให้ฟังถึงเรื่องเกี่ยวกับน้ำใจกับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ฟัง ปกติแถว ๆ บ้านจะมีคนรู้จักกัน ขับมอเตอร์ไซค์มาขายห่อหมกปลาอยู่บ่อย ๆ บางครั้งเขาก็มาสั่งเอาใบตองกับแม่ผม เพราะมันถูกกว่าที่ตลาด คือพอแม่ผมตัดใบตองแล้ว ส่วนใหญ่จะเอาไปขายตลาด (แหม เหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลยนะ)
เราก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่บ้านผมน่ะซื้อของเขาบ่อยกว่านะ แล้วก็เป็นเรื่องให้หงุดหงิดกันจนได้ เพราะตอนเขามาสั่งใบตอง แม่ผมบอกว่าเอาเป็นแลกกับห่อหมกห่อนึงละกัน เขาก็ตกลง พอตอนเย็นเขามาเอาใบตองเค้าก็เตรียมห่อหมกมาเป็นพิเศษเลย เพื่อแลกกับใบตองเราเลย ในราคาเท่ากันนะ
พอพ่อผมเขาแกะห่อหมกจะกิน ปรากฎว่า มีเนื้อห่อหมกนิดเดียว ที่เหลือเป็นผัก...อืม น้ำใจที่เราให้คนอื่น อาจจะโดนตอบแทนด้วยความเห็นแก่ตัวก็ได้นะ
ตอนนี้ไม่รู้ว่า พ่อแม่ผมยังซื้อห่อหมกของคนนี้อยู่หรือเปล่านะ แต่เห็นแกก็ไม่คิดอะไรเท่าไหร่ แค่บ่น ๆ ในฟัง
ก็ทำให้เห็นว่าคนเรานี่พร้อมที่จะเอาเปรียบคนอื่นอยู่เสมอ ก็คงได้แต่คอยระวังใจระวังตัวเองไม่ให้เอาเปรียบใคร แล้วอย่าให้ใครเอาเปรียบก็พอนะ

อย่าให้ภูมิอากาศ ภูมิประเทศมาทำให้เราเป็นเลย ใจของเรารู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรที่ดี อะไรที่ไม่ดี
อย่าให้ใจเราเหือดแห้ง เพราะความเจริญที่เพิ่มขึ้น เติมน้ำในใจให้เต็มและพร้อมจะแบ่งปันอยู่เสมอ สังคมไทยจะน่าอยู่ขึ้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรื่องแปลก ๆ

เมื่อวานเป็นวันที่น่าผิดหวังอีกวันนึงแล้ว
ไม่ได้เขียนบันทึก แล้วยังทำอะไร ๆ ที่ว่าจะไม่ทำแล้วอีก ... เอาน่ะ พลาดกันได้นะ

เรื่องแปลก ๆ ที่ขึ้นหัวไว้น่ะ น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุก ๆ วันนั่นแหละนะ
ตอนเช้าเดินทางไปทำงานก็คิดไปด้วย ว่าทำไม บ้านเราถึงได้มีจราจรที่ติดขัดกันนัก
จากประสบการณ์ที่เดินทางไปมาหลาย ๆ ที่ ผมว่า บ้านเรานี่แหละ รถติดมาก ๆ เลย
ก็เลยคิดออกมาได้เป็นหลายเงื่อนไขนะ เช่น การที่คนไทย ไม่ปฏิบัติตามกฎจารจร, การที่ไม่เอื้อเฟือเผื่อแแผ่กันและกัน, ความเห็นแก่ตัว, ความประมาท ฯลฯ
การไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ก็เห็นได้ง่าย ๆ นะ การขับรถผิดเลน ขับรถคร่อมเลน จะไปตรงแต่วิ่งเลนซ้าย ที่เขาไว้ให้รถเลี้ยว จอดรถเลยเส้น เข้าไปในทางม้าลาย การจอดรถข้างถนน ขับรถสวนเลน เยอะแยะ ซึ่งทำให้รถติดอย่างมาก ๆ
การไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็อย่างการไม่ยอมชะลอให้คนข้ามถนน การไม่ยอมให้รถที่เปลี่ยนเลน การบังทางวิ่งที่มอเตอร์ไซค์วิ่งได้ การบีบแตรไล่ทั้ง ๆ ที่รถก็ติด อืม... แปลกนะ "เมืองพุทธ"
ความเห็นแก่ตัว ก็เป็นเหตุให้เกิดเรื่องของการผิดกฏจราจรและการไม่เอื้อเฟือเผื่อแผ่นั่นแหละ
ส่วนความประมาทก็เห็นกันอยู่ทุกวัน ๆ การขับรถเร็วโดยไม่จำเป็น ขับมอเตอร์ไซค์ไม่สวมหมวกกันน็อก การแซงในระยะกระชั้นชิด การฝ่าไฟเหลือง ไฟแดง การเร่งออกรถก่อนไฟเขียว....
ถ้าคุณลองพยายามขับรถอย่างถูกกฏจราจรดู คุณก็จะพบการโดนบีบแตรไล่ การขับปาดหน้าเพื่อแสดงความไม่พอใจ และอื่น ๆ นั่นเป็นเพราะคนส่วนมากเห็นว่าการทำความผิดเป็นเรื่องปกตินะซิ ผมเห็นด้วยกับป้ายรณรงค์ที่ติด ๆ กันอยู่นะ "วินัยจราจร สะท้อนวินัยชาติ" เป็นข้อความที่ถูกต้องมาก ๆ
ลองคิดกันดูเล่น ๆ มันน่าแปลกไหม ที่การที่จราจรติดขัด เป็นปัญหาจากผู้ขับขี่เอง แต่ทั้งผู้ขับขี่และผู้มีอำนาจบอกว่า มันเพราะถนนไม่พอต้องขยายถนน... โอ... ถนนมากขึ้น รถมากขึ้น น้ำใจน้อยลง...

ปีก่อนได้มีโอกาสไปที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น นั่งรถเมล์เมืองเขา ข้อนึงที่รู้อยู่แล้วว่า ความสะอาดของรถและมารยาทของคนขับเหมือนอยู่คนละโลกกับบ้านเราเลย... เคยนั่งมาแล้วในเมืองอื่น ๆ นี่เป็นครั้งแรกในเกียวโต คนขับเขาดับเครื่องเมื่อจอดรถทุกครั้งเลยนะ เห็นอย่างนั้น พอกลับมาเวลาขับรถติดไฟแดง ผมก็ดับเครื่องบ้าง ไม่ได้คิดถึงการประหยัดน้ำมันเท่าไหร่ แต่คิดถึงการปล่อยคาร์บอนไปสู่บรรยากาศต่างหาก พอทำก็คงมีหลาย ๆ คนแหละที่ว่าแปลก แล้ว ณ วันนี้พอจอดติดไฟแดง ผมเริ่มเห็นคนอื่น ๆ เริ่มดับเครื่องบางแล้ว คงต้องลองด้วยตัวเองนะ ถึงจะรู้ว่าเมื่อทำแล้วจะเกิดความรู้สึกลักษณะใดขึ้นมา อย่าเห็นแก่ตัว แล้วทำร้ายโลกกันนักเลยนะ

ต้นปีนี้ก็ไปทำงานที่เมืองนารา ญี่ปุ่นอีก ปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี เพื่อนญี่ปุ่นที่รู้จักกันหลาย ๆ คนเริ่มเอาข้าวกล่องมากินที่ทำงานแล้ว ถึงที่ทำงานที่ญี่ปุ่นจะมีโรงอาหารที่ขายอาหารราคาถูกกว่าข้างนอก เขายังเอาข้าวกล่องมากินเลย ไปมาตั้งหลายครั้งไม่เคยเห็นเขาทำ แต่รอบนี้หลาย ๆ คนเปลี่ยนไปกินข้าวกล่อง
กลับมาก็เลย เอาบ้าง เอาข้าวกล่อง ไปกินที่ทำงานบ้าง แน่ละ เพื่อนก็มองว่าแปลกแน่ ๆ แต่ลองคิดดูดี ๆ ผมสบายใจกับอาหารที่เอาไป เพราะเช้า ๆ แฟนผมเขาทำกับข้าวทุกวันอยู่แล้ว แปลกอะไรละที่ผมจะเอากับข้าวและข้าวที่เหลือไปกินที่ทำงาน สะอาดและประหยัด สบายใจ และจำกัดปริมาณการกินได้ แล้วก็ได้กินข้าวกล้องด้วย ก็ร้านแถวบริษัทผมเขาไม่มีขายข้าวกล้องนะ แต่ที่บ้านกินอยู่แล้ว ก็เป็นกำไรให้กับชีวิตอีกอย่างนะ ไม่แปลกหรอก..

เมื่อวานไม่มีข้อความอะไร วันนี้เดี๋ยวเขียนให้ 2 ชุดเลย พอเริ่มเขียนบันทึกก็รู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องที่คิด ๆ ไว้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย

เรื่องแปลก ๆ ที่อยู่รอบตัวเรานะมีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี ถ้าเราเอาเรื่องแปลกที่เป็นเรื่องดีมาทำจนหลาย ๆ คนเปลี่ยนมาทำตาม โลกก็ดีขึ้น แต่ถ้าเอาเรื่องไม่ดีมาทำเพราะคิดว่าดี โลกก็คงแย่ลงเรื่อย ๆ นะ
พลังจากคนเพียงคนเดียว แต่ทำอย่างมั่นคงและมั่นใจ ก็คลอนโลกได้

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความนับถือความคิด

สองสามปีมาแล้วที่ผมแทบจะไม่ซื้อของปลอมเลย ไม่ว่าจะเป็นเพลง, หนัง, เกมส์ หรือเสื้อผ้า
ก่อนหน้านั้นผมก็พยายามใช้แต่ของแท้นะ แต่ก็มีบ้างที่ใช้ของปลอม แล้วก็ตามใจตัวเอง ซื้อซะบ่อย ๆ
แต่หลัง ๆ นี่ก็ซื้อน้อยลงมาก ๆ จนมาปีนี้ ก็ตั้งใจไว้เลยว่า จะซื้อเฉพาะของแท้เท่านั้น แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังสามารถทำได้อยู่ และตั้งใจจะทำให้ได้ตลอดไปด้วยนะ

สาเหตุที่ผมใช้แต่ของแท้ไม่ใช่ว่ารวย หรือเป็นคนดี หรือ หาซื้อของปลอมไม่ได้หรอก แต่เพราะความคิดผมมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะละมั้ง


ผมเป็นคนที่คิดโน่น คิดนี่ แล้วก็พยายามทำอยู่ตลอดเวลา ผมเลยรู้ว่าความคิดแต่ละอย่างกว่าจะออกมาเป็นชิ้น เป็นอันได้ มันลำบากมาก

ในที่ทำงาน ผมคิดและวางแผนการทำโน่น ทำนี่ ออกมาเป็นรูปแบบการนำเสนอ เยอะแยะ มีทั้งที่นำมาทำจริง และไม่ได้ทำ รวมทั้งได้ทำ แต่เป็นชื่อคนอื่น!!
นั่นเป็นเหตุผลนึงว่าผมเข้าใจว่าคนที่ถูกขโมยความคิดไปใช้น่ะ เป็นยังไง มันน่าเจ็บใจนะ เพียงแต่ผมคิดว่าถ้ามันเป็นประโยชน์ก็ช่างมันเถอะ T_T
เหตุผลอื่น ๆ ก็อย่างเช่น แผ่นดีวีดี ของปลอมคุณอาจจะซื้อได้ในราคา 50-60 บาท แต่ของแท้ต้องใช้เงิน 200-500 บาท ก็สามสี่เท่าของราคาของปลอมเลยนะ
แต่ผมก็ยอมซื้อของแท้นะ บางเรื่องก็ซื้อตอนออกแรก ๆ บางเรื่องก็ซื้อตอนออกมานานแล้ว ราคาลดลงบ้าง ก็ดี ลองคิดดูนะ ซื้อแผ่นปลอม ราคาถูก ทำให้เราตามใจตัวเองง่ายขึ้น คิดจะซื้อก็ซื้อเลย โดยไม่พิจารณาก่อนว่าหนังเรื่องนั้น ๆ เราชอบจริง ๆ หรือดีจริง ๆ หรือไม่ เนื่องจากมันถูก ก็สักแต่ว่าซื้อไปก่อน แล้วค่อยดูทีหลัง แต่การซื้อแผ่นแท้ต้องพิจารณาก่อนว่าชอบจริง ๆ หนังดีจริง ๆ จึงตัดสินใจซื้อ

หากเปรียบเทียบกันจริง ๆ ซื้อแผ่นแท้เดือนละแผ่น ราคาสามร้อยบาท ได้ดูอย่างเต็มที่ก็แสนคุ้ม แต่แผ่นปลอมตอนซื้อก็เอาโปรโมชั่น ซื้อห้าแถมหนึ่งอะไรอย่างนี้
ได้หนัง 6 เรื่อง ราคาพอ ๆ กับแผ่นแท้เรื่องนึง แต่ได้ดูจริง ๆ กี่เรื่อง คุ้มจริง ๆ หรือ? โดยตัวผมเองผมว่าไม่คุ้ม เพราะเห็นว่าราคาถูก ซื้อง่าย แต่ไม่ได้ดู หรือดูไม่จริง ๆ จัง ๆ ก้เหมือนเอาเงินไปทิ้งนั่นเอง

ที่บ้านผมนี่น่าจะมีของแท้เกินกว่าครึ่งนะ สำหรับแผ่นดีวีดี ส่วนซีดีเพลงนะ ไม่ของปลอมไม่ถึงสองเปอร์เซ็นต์หรอก
ผมว่าคุณภาพเสียงมันสู้ของแท้ไม่ได้เลย จริง ๆ นะ การที่เราจะซื้อเพื่อความบันเทิงนี่ ไหน ๆ ก็จะเสียเงินแล้ว ขอให้มันมีคุรภาพดี ๆ แล้วก็เก็บไว้ได้นาน ๆ หน่อยเถอะ
แต่ปัญหาใหญ่ช่วงหลัง ๆ คือร้านขายแผ่นแท้ๆ น้อยลงทุกที อีกไม่นานคงเข้าสู่ยุดดิจิตอลโหลด ซึ่งผมคงไม่ปลื้มหรอกเพราะดิจิตอลมันจับต้องไม่ได้น่ะ

เฮ้อ ! คิดแล้วก็ได้แต่สงสารคนที่เขาทำเขาคิดออกมา ถ้าไม่ใช้ของจริงกัน แล้วอีกหน่อยใครเขาจะคิดงานดี ๆ ออกมาให้เราได้เสพกันละ

เคยบอกแล้วว่าผมเป็นคนที่ชอบเล่นเกมส์ ตอนที่ Sony Playstation เครื่องแรกออกมานะ อุตส่าห์ซื้อมาจากญี่ปุ่นนะ เอามาเล่นกับแผ่นแท้ มีแผ่นแท้แค่ 3-4 แผ่นก็เล่นได้ยาว ๆ พอแผ่นปลอมออกมา ก็เปลี่ยนไปเล่นแผ่นปลอม แล้วก็ไม่รู้สึกว่าผิดนะ (ช่วงนั้น) ถ้าพูดกันตรง ๆ เกมส์ที่ซื้อมามีไม่กี่เกมส์ที่เล่นจนจบ เพราะความรู้สึกที่ว่าไม่เสียดายนี่เอง แล้วก็ซื้อแผ่นปลอมจนราคารวม ๆ ซื้อแผ่นแท้ได้อีกกี่แผ่นไม่รู้
ต่อมาพอเลิกเล่น Play1 ก็ขายไป ซื้อ Sega Saturn, Dream cast, Play2 ถึงตอนนี้ไม่มีแล้วขายไปหมดแล้ว กำลังเก็บเงินรอซื้อเครื่องใหม่อยู่ เลยตัดสินใจไว้ว่าจะเอา Play Station3 นะ เพราะไม่มีแผ่นปลอม
มาทำให้ลังเลใจ รวมทั้งเทคโนโลยีบลูเรย์ดิสก์ ที่อยากได้ก็ยังไม่มีแผ่นปลอม จะได้เป็นเครื่องที่ตอบสนองความต้องการทางจิตใจของผมได้ตรงที่สุดทั้งเทคโนโลยี เกมส์ บูลเรย์ แล้วก็ใช้ของแท้
แต่ไม่ได้รีบซื้อนะ เพราะตั้งใจจะเก็บตังค์ ไปซื้อเป็นเงินสดน่ะ จะได้ไม่มีหนี้บัตรเครดิตเพิ่ม ฮา..

โดยหลัก ๆความคิดของผมนั้นคิดว่าปัญหาเรื่องของการไม่นับถือความคิดของคนอื่น เป็นสาเหตุของปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์

การที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบอกว่าไม่รู้ว่าที่ไหนบ้างที่มีปัญหาพวกนี้นะ จริงหรือ? ถามเด็กประถมเอายังรู้เลยว่าจะซื้อแผ่นปลอม, ของปลอมที่ไหน
พ่อแม่ ก็เป็นตัวอย่างซื้อแต่ของปลอม ลูก ๆ เห็นก็ทำตาม ครูบางที่ยังใช้แผ่นปลอมประกอบการสอนเลย
ปัญหานี้ ผมว่าแก้ในชั่วคนเดียวไม่ได้หรอก คงต้องเริ่มกันตั้งแต่ ระบบครอบครัวที่ไม่ทำให้เห็นการซื้อของปลอมเป็นเรื่องปกติ, การศึกษาที่เน้นให้คนเรียนคิดเป็น คิดได้ ไม่ใช่ท่องจำแล้วเอาไปสอบนะ
จากนั้นก็ต้องสอนให้เข้าใจหลักการของศีลธรรมและจริยธรรมอีกด้วย ในส่วนของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ต้องจริงจังในการปราบปรามพวกของปลอม และการสนับสนุนของแท้ โดยไม่เห็นกับผลประโยชน์
อืม.. ว่าไปก็เป็นเรื่องยากนะเนี่ย เอ.. จะใช้คำาว่า "difficult" หรือ "impossible" ดีนะเนี่ย

เอาเป็นว่าเริ่มจากตัวเองก่อนก็ละกัน จากจุดเล็ก ๆ ถ้าคนรอบ ๆ ตัวเรา เห็นแล้วเห็นด้วย จุดเล็ก ก็ค่อย ๆ ซึมขยายออกไปได้เองแหละ
เหมือนผ้าที่โดนหมึกซึม จากจุดเล็ก ๆ ถ้าซึมอย่างต่อเนื่องมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เอง

เพราะนับถือความคิดของตัวเองแล้ว จึงทำให้ยอมรับที่จะนับถือความคิดของคนอื่น ๆ ด้วย

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เคารพตัวเอง

เคยมีคนที่ forward mail ที่ว่าเป็นคำสอนจากองค์ดาไลลามะ ของทิเบต จำได้ข้อนึงว่า "Respect"
ให้เคารพตัวเองน่ะ หมายความว่าอย่างไร?

ก่อนจะเข้าเรื่อง ก็คงต้องอธิบายกันก่อนว่าที่หายไปวันนึง ไม่ได้มาเขียนลงในบล็อกเมื่อวาน ไม่ใช่ว่าขี้เกียจเขียนนะ แต่ตั้งใจจะทำอย่างอื่นมากกว่า
เมื่อวานเป็นวันอาทิตย์ เช้า ๆ หลังจากส่งแม่ไปตลาดแล้วก็กลับมาให้ปุ๋ยกล้วยไม้ในบ้าน กว่าจะเสร็จก็เกือบชั่วโมงนึงแล้ว กินกาแฟ แล้วก็อาบน้ำให้มะลิกับมะระ (หมาที่บ้าน) บ่าย ๆ ก็ไปช่วยแม่ห่อข้าวต้มมัด
ตกเย็นเข้าสวนรดน้ำต้นไม้กันหน่อย หน้าแล้งก็ทำให้รดน้ำยากขึ้น เพราะน้ำในท้องร่องก็แห้งตักแต่ละทีก็ได้โคล ได้เลนติดมาด้วย
นี่พ่อกับแม่ผมเขาเลยตักขี้เลนมาตากบนสังกะสี ไว้เป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ ตอนที่รดน้ำก็ฟังเสียงกระรอกแทะมะพร้าวอยู่บนต้น ฟังเสียงนกกาเหว่าร้อง เสียงปลาฮุบน้ำ เสียงนกกวัก โอ้ย! เยอะแยะ เป็นเสียงที่ฟังแล้วผมมีวามสุขนะ จิตใจสงบ ไม่มีเสียงคนมารบกวนโสตประสาท เพราะนี้แหละ พอวันหยุดผมเลยชอบเข้าสวน
ความสุขของผมน่ะ อยู่ระหว่างที่กำลังรดน้ำนะ สวน 2 ขนัด รดน้ำก็ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง พอ ๆ กับดูหนังเลย แต่ความสงบ สบายใจ ต่างกันลิบลับ
ลองมองหาความสุขใกล้ ๆ ตัวดูกันบ้างซิ แล้วจะเห็นว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่พวกคุณ ๆ คิดกันหรอก

กลับเข้ามาบ้าน ล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ ก็มีเสียงตูมตาม ๆ อยู่ที่บ่อน้ำหน้าบ้าน ออกไปดูก็เห็นมะลิกับมะระ กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ผมก็ได้แต่ขำนะ ตอนสาย ๆ อาบน้ำให้มะลิมันร้องจะเป็นจะตาย

ตกเย็นลงเล่นน้ำกันให้ครึก แหมนี่มันบ่อเลี้ยงบัวนะ ดินเพียบ มะลิ กับมะระ ตัวขาว ๆ เลยกลายเป็นหมาเลน ไปอีก แถมบัวก็พังเกือบหมดบ่อ ไม่รู้ว่ากุ้งก้ามกราม ปลาตะเพียน ปลากราย ปลาก้างพระร่วง ปลาปีกไก่ จะรอดกันรึเปล่า เดี๋ยวค่อยดูเอาวันนี้ มันก็แค่บ่อน้ำน่ะ พังก็ทำใหม่ ไม่ต้องคิดมาก แค่นี้ก็สบายใจแล้ว

กลับมาที่เรื่องการเคารพตัวเอง ถ้าถามว่าผมเป็นคนที่เคารพตัวเองไหม คงตอบได้ว่ามาก ๆ ผมให้ความเคารพทั้งต่อตัวเองและคนอื่น ๆ
ในส่วนของการทำงาน สิ่งที่ผมจะถามตัวเองตลอดคือ ถ้าผมเป็นเจ้าของกิจการ ผมจะจ้างลูกจ้างมาทำงานแบบผม ด้วยเงินเดือนเท่านี้ไหม?แล้วก็เป็นคำถามที่ผมถามกับเพื่อน ๆ หรือคนอื่น ๆ ตลบอดเวลาที่พวกเขาบ่นเรื่องเงินเดือนน้อย หรือโบนัสน้อย
ผมเคารพตัวเองที่ไม่เคยโกงใคร ถึงแม้ว่าจะมีโอกาส (ไม่เกี่ยวกับการเล่นเกมนะ อันนั้นมีโกงบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ) เพราะว่าผมมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีพอที่จะอยู่ได้โดยไม่โกงใคร ๆ ถึงเงินเดือนจะไม่มาก เที่ยว หรือ ฟุ่มเฟือยไม่ได้ แต่ความสบายใจ ความภูมิใจจากการใช้เงินที่หามาด้วยความสุจริตนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นสบายใจมาก ผมจึงรู้สึกแปลกใจที่เห็นคนหลาย ๆ คน ทำเรื่องผิด ๆ จนเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
พวกเขาจะตอบคนที่เขารัก หรือลูกหลานได้อย่างเต็มปากได้ยังไง ว่าหาเงินมาจากไหน? หรือต้องโกหกต่อไปอีก เพื่อให้คนที่เขารัก รู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นคนผิด หรือพยายามยกเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ มาพูดเพื่อให้ตัวเองไม่ผิด แค่คิดผมก็เหนื่อยแทนแล้วละ
เรื่องการโกหกก็เหมือนกัน เป็นอีกเรื่องที่ผมเคารพตัวเอง เคารพคำพูดของผม ทุกคำที่พูดออกไปต้องพยายามทำให้ได้ เพื่อไม่ให้คำพูด เป็นเพียงลมผ่านปาก
หากคนเราโกหกแล้วคั้งนึง มันก็จะมีครั้งต่อ ๆ ไป แน่ ๆ ผมจึงแทบจะไม่โกหกเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
แต่ใช่ว่าผมจะทำอะไรที่ถูกต้องทุกอย่างนะ คนเราก็ต้องมีทั้งดีทั้งเลวปะปนกันไป สำหรับผมน่ะ คนที่ดีพร้อมตายไปหมดแล้ว เหลือแต่คนที่เลวมาก เลวน้อยเท่านั้นแหละ
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายหลายเรื่องที่น่าจะมาเล่าให้ฟัง แต่คิดว่าเอาไว้คราวหน้าดีกว่าครับ

เมื่อเราเคารพตัวเอง สิ่งที่ตามมาก็คือความเคารพต่อผู้อื่นด้วยเสมอ
แล้วคุณ ๆ ละ รู้สึกอย่างไรกับตัวเอง?

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ชนะ!

คุณคิดว่าการที่เราจะชนะอะไรสักอย่างน่ะ อะไรน่าจะดีใจที่สุด?
ส่วนตัวผมว่าคงจะเป็นการที่เราจะชนะใจตัวเองนะ เหมือนที่ผู้รู้ทั้งหลายรู้สึกน่ะแหละ
วันนี้คงเขียนปล็อกแค่สั้น ๆ เป็นสัญญาให้กับตัวเอง เพื่อช่วยให้สามารถชนะใจตัวเองได้
การสัญญากับตัวเอง โดยเป็นลายลักษณ์อักษรนี่ ก็เป็นสิ่งที่ผมใช้ช่วยอยู่บ่อย ๆ นะ เพียงแต่คราวนี้ จะจริงจังให้มากที่สุด เท่าที่เคยทำมาเลย
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอยากจะทำแต่ไม่ได้ทำ และหลายอย่างที่ได้ทำไปแล้ว
เอามาบรรยายให้อ่านกันไม่หวาดไม่ไหวหรอกคุณ.
อย่างเช่น ตั้งใจจะเขียนบันทึก หรือความคิดตัวเองไว้ในบล็อกนี้ทุกวัน วันนี้ก็เพลินซะเกือบไม่ได้เขียนซะแล้ว
ทั้งที่พอเขียนแล้วมีความรู้สึกว่าผมรวบรวมความคิดของตัวเองได้ดีขึ้นนะ นี่ก็เล่นมาเขียนซะเกือบข้ามวันแล้ว

นี่เขียนแล้ว ถือว่าผมชนะตัวเอง เรื่องนึงละ

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เวลา

คุณเคยอ่านเรื่อง "โมโม่" มิชาเอล เอ็นเด้ ไหม? น่าสนใจนะ เป็นหนังสือที่ผมอ่านไปประมาณ 3-4 รอบได้ เรื่องเค้าเล่าถึงเด็กผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากความสุข และเวลาที่มีอยู่มากมาย ถ้ายังไม่อ่าน ก็ลองหามาอ่านดูนะ

ตอนที่ผมอ่านจบครั้งแรก ผมมีความคิดว่าตัวเองเป็นอะไรที่อยู่ครึ่ง ๆ ระหว่าง โมโม่ กับ พวกที่ถูกขโมยเวลาไป แล้วผมก็เฝ้าถามตัวเองอยู่ว่า
ผมอยากเป็นอย่างไหน หรือ มีความสุขกับอย่างไหนกันแน่..
สำหรับผมเวลาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แล้วก็ไม่มีหน่วยวัดที่แน่นอน เหมือนกับหน่วยนับอื่น ๆ อย่าง หนึ่งกิโลเมตร ยังไงมันก็มาจาก หนึ่งพันเมตร หรือว่าเราจะวัดยังไง มันก็เท่าเดิมอยู่ดี หรือน้ำหนัก สิบกรัม ยังไงมันก็เป็นสิบกรัมอยู่ดี จริงไหม? แต่เวลานี่ซิ คุณรู้สึกได้ยังไงว่าเวลามันเร็วหรือช้า หนึ่งวินาที มันจะเท่ากับ หนึ่งวินาทีตลอดไปจริงหรือ? คำตอบสำหรับผมคือไม่! คุณเคยรู้สึกไหมว่าเวลาดูหนังบางเรื่องจบเร็ว บางเรื่องจบช้า ทั้ง ๆ ที่บอกว่าฉายเวลาเท่า ๆ กัน หรือ ช่วงเวลาที่กำลังเล่นอะไรซักอย่างนึง กำลังเพลิน ๆ เผลอแป๊บเดียว ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ตอนที่ทำงานหรือเรียน เวลา หนึ่งชั่วโมง รู้สึกว่ามันช้ามาก

หรืออย่างเมื่อวานนี้ ผมแวะเข้าไปที่ทำงานเพื่อน เพื่อนกำลังนั่งทำงานอยู่ พอผมจัดการกับธุระของตัวเองเสร็จ เพื่อนยังไม่เสร็จงาน ก็นั่งรอ เป็นครั้งแรก ๆ ที่เวลาไปรออะไร
แล้วไม่ได้พกหนังสือไปด้วย ความรู้สึกของผมจาก สิบเอ็ดโมง จนถึงเที่ยง แค่ชั่วโมงเดียว รู้สึกว่ามันช้า ช้ามากๆ ช้ากว่าที่ผมเข้ามาเริ่มทำธุระจนเสร็จซะอีก ทั้งที่ผมใช้เวลาช่วงแรกไปสองชั่วโมง กลับรู้สึกว่าเร็วกว่าเวลาที่นั่งรอหนึ่งชั่วโมงมากเลย แต่ผมไม่ได้หงุดหงิดเรื่องความเร็วความช้าอะไรหรอก เพราะเวลาน่ะผมมีอย่างเหลือเฟือ ที่จะทำอะไรก็ได้ โดย จริง ๆ นะ ถึงจะมียี่สิบสี่ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ของผมมีเยอะกว่าของหลาย ๆ คนเลยละ
มีคนถามบ่อย ๆ ว่า เอาเวลาที่ไหนไปทำอะไร ตั้งเยอะตั้งแยะ ผมไม่อยากบอกพวกเขาหรอกว่า ก็เพราะเวลาผมมีเยอะแยะน่ะซิ ผมเลยได้แต่ยิ้มตอบไป


หากจะเปรียบเทียบกันอีก ในหนึ่งปี ผมว่าเวลาที่ผ่านไปนั้นเร็วมาก ๆ แต่ก็ไม่มากจนตามไม่ทัน เหมือนเวลาที่เราเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยอะไร ถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมาก ๆ เราก็จะมองไม่เห็นสองข้างทาง

ถูกไหม? แต่ถ้าเราลดความเร็วลง เราก็มองสองข้างทางได้เต็มตาขึ้น มากขึ้น แล้วยังถึงจุดหมายเหมือน ๆ กันอยู่ดี หรืออย่างการไปเที่ยวที่ไหนซักแห่ง อย่างเช่น น้ำตก หลาย ๆ คนจะรีบเดินทาง เริ่มจากทางเข้า เพื่อไปให้ถึงตัวน้ำตกโดยเร็วที่สุด แล้วคนพวกนั้นจะเห็นหรือว่าระหว่างทางมีอะไรบ้าง มีมอส มีไลเดนท์ ที่สวย ๆ มีแมลงแปลก ๆ ดอกไม้ ดอกหญ้า หิน ดิน ใยแมงมุม ทุอย่างสวยงาม เพียงแต่พวกเขาไม่เห็นมันเพราะบอกกับตัวเองเพียงว่าเวลามีน้อย รีบไปดู ไปเล่นน้ำตกดีกว่า แค่เพียงเราลดความเร็วของเวลาลง เราก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

นั่นทำให้ผมเป็นคนที่มีเวลาอยู่กับตัวเยอะแยะ มีเวลาที่จะให้กับพ่อแม่ พี่น้อง คู่ชีวิต เพื่อน ๆ หมา ๆ แล้วก็อื่น ๆ อีกมากมาย โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกว่าเวลามันหายไปไหนเลย


เมื่อเช้าพอกินข้าวเช้าเสร็จ ผมก็เล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมไปเรื่อย แฟนกำลังล้างชามอยู่ก็บอก เร็วคะเดี๋ยวไปไม่ทัน ซึ่งหมายถึงผมจะไปส่งเธอไปทำงานไม่ทัน แต่ผมกลับคิดว่าผมยังมีเวลาอีกเยอะแยะ ก็เลยเดินเอาข้าวผัดไปให้แม่ที่บ้าน กลับมาเล่นกับหมาอีกนิดหน่อย แล้วก็ไปส่งแฟน ก็ยังทันอยู่ดี แสดงว่าเวลาเท่าๆ กัน มันอาจจะเร็วช้าไม่เท่ากันได้ในแต่ละคน

เมื่อก่อนนี้ผมก็เป็นคนที่ใช้เวลาอย่างสิ้นเปลือง แล้วบ่นว่าไม่มีเวลาเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว อาจจะเปลี่ยนมาหลายปีแล้วก็ได้นะ ทำให้ผมสามารถทำอะไร อะไร ได้มากขึ้น โดยที่ไม่รู้สึกว่าเสียเวลา หรือไม่มีเวลาซักที อาจจะมีบ้างบางครั้งที่งานเสร็จไม่ทันกำหนด แต่พอเริ่มรู้สึกว่าเวลาไม่ทันแล้ว ผมก็จะบอกกับตัวเองใหม่ว่า ไม่ทันได้ไง ในเมื่อผมมีเวลาอยู่เยอะแยะ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ หลาย ๆ ครั้งคนมักถามถึงเรื่องงานว่า ทำไปได้ยังไง เวลาแค่นี้ ก็ผมมีเวลาอยู่อย่างเหลือเฟือนั่นไงคำตอบ

เวลา ไม่มีหน่วยนับที่แน่นอนหรอก หน่วยวัดนั้นอยู่ที่ใจเรามากกว่า ว่าอยากให้มันเร็วหรือช้า เพียงพอ หรือ ไม่พอเพียง

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผมเป็นคนที่มีความสุข

หรือจะพูดให้ถูกคงต้องเรียกว่า ผมในเวลานี้ เป็นคนที่มีความสุข
ความสุขยังไงน่ะเหรอ ความสุขนั้นมันอยู่ที่ใจนะครับ หากคิดว่าเป็นความสุข มันก็เป็นความสุขแล้วละครับ
มีบ้านหลังเล็ก ๆ มีแฟนที่น่ารัก มีหมาตลก ๆ มีพ่อแม่พี่น้องที่เข้าใจ มีเพื่อน ๆ ที่รักกันดี แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
เมื่อก่อนนี้ ผมเอาเป็นคนที่ไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ในใจคิดว่ามีความสุขก็ได้นะ

ไม่เคยอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะไม่อยากผ่อนไม่อยากเป็นหนี้ แต่กินเหล้า เที่ยวเตร่ ใช้จ่ายซะ แบบว่าใจใหญ่ หนี้บัตรเครริตพุ่งกระฉูด ตรงไหนเป็นความสุขที่ไม่อยากเป็นหนี้ มันก็เป็นหนี้ เหมือนกันนั่นแหละ
เมื่อเที่ยวมาก ๆ ดื่ม มาก ๆ มันก็ทำให้ใจของเรามันเป็นไปตามนั้นด้วย โดยเห็นว่ามันเป็นความสุข ที่ได้เที่ยว ได้ดื่ม แล้วด้วยงานที่ทำต้องเดินทางบ่อย ๆ ทั่วประเทศ แล้วบางครั้งก็ต่างประเทศมันก็เลยยิ่งแล้วใหญ่ ตื่นตา ตื่นใจ ไปกับสถานที่ใหม่ ๆ เสมอ

ไม่เคยอยากมีครอบครัว เพราะทะนงตัวว่าสามารถหาแฟนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้คารมดี แต่ดวงดีเรื่องผู้หญิง ต้องบอกไว้ก่อน เดี๋ยวใครอ่านแล้วจะคิดว่าหลงตัวเอง ซึ่งเมื่อก่อนนี้ก็คงหลงตัวเองจริง ๆ นั่นแหละ เคยคบผู้หญิงทีละหลายคน คุณว่ามีความสุขไหม กับการที่ต้องไปดูหนังเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ 3 รอบ 4 รอบ กับแฟน ๆ แต่ละคน แล้วยังพาลทำให้เราเป็นคนขี้หึง ขี้ระแวงอีก เพราะว่าเราคบหลายคน แล้วคนที่คบกับเราละ เพราะเราทำเราจึงคิด เพราะเราเป็นเราจึงเห็น ก็กลายเป็นปัญหาพ่วงมาเป็นการที่ไว้ใจคนยากอีก เฮ้อ... แต่ผมก็เป็นคนที่ไม่เคยเห็นผู้หญิง เป็นสินค้านะครับ ไม่เคยไปซื้อบริการ ไม่เคยสนับสนุน แต่ไม่ได้ดูถูก หรือคบไม่ได้

วันนึงเรื่องทั้งหมดที่เคยเห็นว่า ดี ว่าสนุก ว่ามีความสุข ก็เปลี่ยนไป หมายถึงว่าวันนึงก็คิดเลยนะ แล้วก็เลยบอกกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้ายังเคลียร์หนี้บัตร ไม่หมด ก็ ไม่กินเหล้า
แล้วก็เริ่ม คิดเรื่องปลูกบ้าน โชคดีที่มีที่ดินที่พ่อแม่ให้ไว้ เลยปลูกบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ แค่ถมดิน ก็หมดเป็นแสน สองแสนแล้วนะ นั่นแน่ คนที่อ่านน่ะ อย่าคิดว่าผมรวยนะ ถ้าคิดแสดงว่าคุณคิดกันผิด ซะแล้ว ผมเป็นแค่คนธรรมดา พอมีพอกิน มีพ่อเป็นทหารชั้นประทวน กับแม่ที่เป็นชาวสวน เงินเดือนก็ปานกลาง ปลูกบ้านผ่อนกัน 30 ปีน่ะ เดินเรื่องทุกอย่างเองหมด ตั้งแต่แบบบ้าน ขออนุญาตปลูก ขออนุญาตกู้เงิน เดี๋ยวค่อยเขียนให้อ่านกันวันหลัง ปวดหัวอยู่กับการปลูกบ้าน 8 เดือน พอบ้านเสร็จ ก็รู้สึกดีขึ้นมาก ๆ แฟน, ครอบครับ, เพื่อน ๆ คอยให้กำลังใจตลอด พอบ้านเสร็จ เลยเปลี่ยนสถานะแฟนมาเป็นคู่ชีวิตซะเลย

อะไร อะไร ที่เคยทำให้ชีวิตวุ่นวาย ก็น้อยลง
วุ่นวายน้อยลง จิตใจก็สงบขึ้น มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น
มองโลกในแง่ดีมากขึ้น

เหล้านี่ กินเข้าไปเช้าก็ปวดหัว แต่ยังอยู่ในวงเหล้าได้เพราะบรรยากาศมันสนุก แต่กินน้อยลงมาก ๆ
เที่ยวกลางคืนนี่แทบไม่ไป เพราะขี้เกียจ แล้วเคยเห็นคนแก่ หรือคนจรจัด ไม่มีที่อยู่ที่เขากินกันไหม?
เห็นแล้วไม่อยากไปเที่ยวกลางคืน กินของแพงๆ เพราะเห็นความแตกต่างระหว่างโลก เฮ้อ...

ผมเป็นคนที่ชอบต้นไม้ แล้วก็ธรรมชาติมาก ทีค่บ้านปลูกกล้วยไม้ กับต้นไม้ไว้เยอะแยะ จนแฟนแซวว่าเป็นสวนพฤกษศาสตร์ ไปแล้ว พอเลี้ยงหมา หมาเด็กมันก็กัดเล่นซน ไปตามประสา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงหงุดหงิดตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ ก็แค่คิดว่า มันซนดีจริง ๆ เดี๋ยวค่อยปลูกเอาใหม่ ซึ่งคิดอย่างนี้ ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นนะ

ผมเป็นคนชอบถ่ายรูป แล้วก็ถ่ายรูปมานานแล้ว เป็นสิบ ๆ ปีละมั้ง พอโลกเปลี่ยนมาเป็นยุคดิจิตอล กล้องดิจิตอล ความอยากก็บังเกิดอีก แต่ตอนนี้คิดว่าถ้าจะเอากล้องตัวใหม่ ถ้าไม่ได้ซื้อ Leica M8 ด้วยเงินสด ไม่ซื้อ คิดแล้วก็สบายใจ แล้วอีกอย่างก็ถ่ายรูปมาเยอะ บอกกับใคร ๆ ได้แล้วว่า กระบี่มันอยู่ที่ใจ กล้องอะไรก็ได้ ถ่ายได้ทั้งนั้นแหละ แค่นี้ ก็มีความสุขแล้ว

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ มีหนังสืออยู่ 2 ตู้เต็ม ๆ ซึ่งอ่านแล้วเกือบทั้งหมด เมื่อก่อนนี้ พอเห็นหนังสือใหม่ อ่านคำนำ ถ้าถูกใจก็ซื้อเลย เดี๋ยวนี้ ค่อย ๆ อ่านคร่าว ๆ ถ้าถูกใจค่อยซื้อ ชีวิตเหมือนจะช้าลง แต่เป็นสุขมากขึ้น

มีความรู้สึกว่าช่วงนี้ ชีวิตช้าลง ทำให้มองเห็นโลกกว้างขึ้น
ความอยากได้อยากมีต่ำ จิตใจสงบ ความสุขก็มาเอง

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

จุดเริ่มต้น

การที่ออกดินทางไปพบเจออะไรมามากมาย
การได้อ่านหนังสือทั้งที่ดี ๆ และไร้สาระมาเยอะ
การได้พบปะ คบหากับผู้คนหลายหลาก
ทำให้เกิดความคิดที่แปลกแยกออกจากเดิม


เลยมีความคิดที่จะเขียนบันทึกขึ้นมาบ้าง (แต่เคยเขียนนิยายมาแล้วนะ ถ้าเอามาเขียนใหม่ก็จะลงไว้ในนี้แหละ) โดยอาศัย blog นี้เป็นหลัก
ไม่มีมีจุดประสงค์อื่นใด นอกจากอยากเพิ่มงานให้ตัวเอง เพื่อบันทึกเป็นความทรงจำดี ๆ ไว้ และโดยไม่สนใจความสวยงามของภาษาด้วย
และเมื่อคิดแล้วก็คงจะทำเลยนะ
พรุ่งนี้ 18 ก.พ. 52 จะได้เริ่มกันละ