วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

สถานีสุดท้าย

วันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเที่ยวสวนสนกับ นิตยสารหนีกรุง ซึ่งเป็นสมาชิกอยู่
ในทริปที่เรียกว่า แรลลี่ถ่ายรูป หนีกรุง ปู๊น ปู๊น
เป็นการจัดแรลลี่ บนรถไฟ มีการตามหาปริศนา แล้วถ่ายภาพเพื่อมาตอบปริศนา เป็นการจัดแรลลี่ท่องเที่ยวบนรถไฟที่สนุกสนานมาก อาจเป็นการจัดแรลลี่บนรถไฟ ครั้งแรกด้วยมั้ง
คำถามหนึ่งที่ถูกถามบนรถไฟคือ ครั้งสุดท้ายที่เดินทางด้วยรถไฟคือเมื่อไหร่?
คำถามง่าย ๆ แต่การตอบกลับยากเย็น ทั้งที่เคยเดินทางด้วยรถไฟมาหลายครั้งหลายหน แต่ครั้งสุดท้ายละ?
นั่งรถไฟชั้นสามไปพัทลุง นั่งรถไฟชั่นหนึ่งไปเชียงใหม่ นั่งรถไฟชั้นสามไปลพบุรี นั่งรถไฟตู้นอนไปหาดใหญ่
นั่งรถไฟไปขอนแก่น นั่งไปกาญจนบุรี เรียกได้ว่า เคยนั่งไปเกือบทั่วทุกสายของไทยละ สำหรับรถไฟ
แต่ครั้งสุดท้ายคงนานมาก นานจนลางเลือนว่าเมื่อไหร่ เห็นแค่เงาจาง ๆ ที่ไม่มีความแน่นอน
สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแน่ ๆ ของรถไฟเท่าที่จำได้เมื่อเปรียบเทียบ กับการเดินทางครั้งล่าสุดนี้ คงเป็นโบกี้โดยสาร เก่าเดิม ๆ
หัวรถจักรเดิม ๆ กลิ่นน้ำมันจากการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงเดิม ๆ การเสียเวลารอสลับรางเดิม ๆ คงเส้นคงวามากสำหรับ รถไฟไทย
หากเปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยรถไฟในประเทศอื่น ๆ ญี่ปุ่น เมืองใหญ่ ก็มีรถไฟรุ่นใหม่เร็ว ๆ รถไฟต่างจังหวัด ถึงจะดูเก่า แต่ก็สะอาดและตรงเวลามาก แล้วก็เป็นระบบไฟฟ้าที่ไม่ก่อมลพิษ ไม่รบกวนโลกใบนี้ซักเท่าไหร่
ในยุโรปก็เร็วดี สะอาดกว่าเรา แต่ก็ไม่เท่าญี่ปุ่น มาเลเซีย ก็พัฒนาไปเยอะ
ยังไงการขนส่งระบบรางก็ตอบโจทย์ในการขนส่งจำนวนมาก ๆ หนัก ๆ และหากจัดการดี ๆ ก็รวมไปถึงเรื่องความประหยัดเวลาด้วย ถ้าบ้านเราจะพัฒนาการขนส่งระบบรางจริง ๆ ก็คงจะเป็นประโยชน์มาก นี่หมายถึงกรณีที่มีการพัฒนากันอย่างจริงจังและจริงใจนะ

การไปเที่ยวครั้งนี้มีการประกวดภาพถ่ายด้วย ในหัวข้ออารมณ์รถไฟ แน่นอนว่าต้องมีคนมาเป็นส่วนประกอบอยู่ในภาพ เพื่อแสดงอารมณ์ในการสื่อสารได้ง่ายขึ้น
และก็แน่นอนสำหรับคนที่มองเห็นความงามในตัวมนุษย์ได้น้อยอย่างผม ย่อมไม่อยากให้มีคนมาร่วมอยู่ในภาพให้เสียความรู้สึก จึงสื่อสารแตกต่างจากคนอื่น
ยากที่จะสื่อสารกับผู้อื่น หากมีพื้นฐานความคิดที่ไม่เหมือนกัน

การไปเที่ยวครั้งนี้ปิดท้ายขากลับ ด้วยมินิคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในตู้โบกี้โดยสาร ซึ่งแปลกใหม่ ใกล้ชิดและสนุกสนานมาก ก็ไม่เคยดูคอนเสิร์ตบนรถไฟมาก่อนนี่นะ สนุกกันดี ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ความรู้ใหม่ ๆ และได้ย้ำเตือนถึงความทรงจำเก่า ๆ

ความทรงจำก็เหมือนรางรถไฟ ยิ่งอายุมากขึ้น มองกลับไปก็เห็นรางรถไฟยาวขึ้น แต่มองไปไกล ๆ ก็ย่อมเลือนราง เมื่อหันมามองข้างหน้ามองเห็น แต่ก็ไม่ชัดเจนอยู่ดี
เมื่ออยู่บนโบกี้ ระหว่างการเดินทาง ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ มองภาพข้างทาง ความทรงจำต่าง ๆ ให้มากที่สุด เมื่อถึงสถานีสุดท้าย จะได้ไม่ต้องมาเสียดายว่า
ระหว่างเดินทางไม่ได้มองข้างทางเลย ไม่มีความทรงจำดี ๆ ก็ถึงสถานีสุดท้ายซะแล้ว
รออยู่บนชานชาลา จะไปต่อก็ไม่ได้ จะถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ยูโธเปีย สังคมที่ไม่มีอยู่จริง

เพิ่งอ่านเรื่องยูโทเปีย "Utopia" งานเขียนของเซอร์ โธมัส มอร์ (Sir Thomas More) ชาวอังกฤษจบ
เป็นหนังสือที่เริ่มเขียนจากภาษาละติน แล้วได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ หลังจากที่ผู้เขียนเสียชีวิตไปแล้วหลายปี
ในหนังสือกล่าวถึเรื่องของสังคมในอุดมคติแห่งหนึ่ง ที่ไม่มีคนใดยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น เงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญในการใช้ชีวิต ข้าวปลาอาหารต่างหากที่สำคัญ ทรัพย์สินอื่น ๆ ก็ไม่มีความเป็นของส่วนตัว เป็นแต่ของที่ทุก ๆ คนในสังคม สามารถทำงานเพื่อแลกกับการได้มา ทุกคนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทำงานทุก ๆ อย่าง เพื่อจะได้สามารถทำงานได้รอบด้าน ผู้ปกครองได้รับเลือกจากความดีและประสบการณ์ ทุกคนมีน้ำใจ แบ่งปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นับถือศาสนาใด ๆ ก็ได้ โดยไม่มีการดูถูกกัน
ผมไม่มีความสามารถพอที่จะวิจารณ์หนังสือเล่มใด ๆ ได้ ผมบอกได้แค่ว่าผมชอบหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่ให้ความคิดได้ดีนะ วิธีการเล่าเรื่องก็เขียนซะเกือบแยกเรื่องจริงกับเรื่องแต่งไม่ออก
ใช้ชื่อคนจริง ๆ ที่มีอยู่ในยุคสมัยนั้นเป็นตัวเกริ่นเรื่อง ใช้ชื่อสมมุติให้กับคนที่เล่าเรื่อง ใช้สถานที่จริงเป็นแหล่งอ้างอิง
ยังดีที่ชื่อสถานที่ แม่น้ำ ภูเขา ยังเป็นชื่อที่ให้ความหมายว่าไม่มีอยู่จริง เหมือนชื่อเรื่อง Utopia ที่แปลว่าไม่มีอยู่จริงเลย
เรื่องราวของสังคมยูโธเปีย คล้ายจะเป็นแนวความคิดแบบคอมมิวนิสต์นะ คือให้ผู้คนเป็นใหญ่และทุกสิ่งทุกอย่างต้องแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียม และแน่นอนสังคมคอมมิวนิสต์ไม่สามารถดำเนินอยู่ได้และล่มสลายไปเรื่อย ๆ ก็เพราะคนนั่นเอง และก็เป็นสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตย และให้ความอิสระแก่คนในสังคมสูง นับถือศาสนาใดก็ได้ เลือกอาชีพใดก็ได้ เดินทางไปไหนมาไหนก็ได้ เลือกผู้ปกครองกันเอง
อ่านไปคิดไปก็เห็นได้ว่า สังคมจะเป็นแบบนี้ได้ คงต้องลดความเป็นปัจเจกลง ความเห็นแก่ทรัพย์สินส่วนตัว ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้
ตราบเท่าที่คนที่มาปกครอง คิดแต่จะเอาประโยชน์เข้าตัว พวกคนใกล้ชิดก็จ้องจะกินส่วนที่เหลือ พวกสนับสนุน ก็คอยแทะเศษซากที่เขาทิ้งไว้ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่มีความคิดที่จะรับฟังคนที่ไม่เห็นด้วยกับตัว แล้วที่สุดหากไม่เห็นด้วย จะต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองเสมอ ยูโธเปียคงไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมา
เพราะคนเราเป็นอย่างนี้ เพราะถ่ายทอดกันมาอย่างนี้ สังคมถึงเป็นอย่างนี้
ยูโธเปียไม่มีทางเป็นจริงได้ในโลกเราปัจจุบันนี้ เพราะมีมนุษย์อย่างเรา ๆ นี่แหละที่ทำให้เป็นไปไม่ได้
ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่จำเป็นมากเกินไป ครอบครองมากเกินไป เห็นแก่ตัวจะจ้องจะเอาเปรียบคนอื่นเสมอ ๆ รวมไปถึงระบบอุปถัมถ์ที่ปิดกั้นคนดีคนเก่ง ไม่ให้เติบโตขึ้นมาพัฒนาสังคม เมื่อไม่เห็นด้วยกับระบบอุปถัมถ์ก็มักจะโดดเดี่ยว

เซอร์ โทมัส มอร์ ตายไปแล้ว ถูกประหารชีวิต เพราะยืนยันในความเชื่อ ความคิดของตัวเอง
สังคมของเราก็ตายไปแล้ว เพราะมีมนุษย์ที่เป็นมนุษย์อยู่ในสังคมนี่เอง

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พิธีกรรม

เพราะประสบการณ์เป็นสิ่งที่ซื้อหามาไม่ได้ และประสบการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเรียนรู้ที่จะนำเอาไปปรับใช้กับชีวิตในอนาคต เรื่องราวหลากหลายในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ย่อมสั่งสอนสิ่งต่าง ๆ หลายหลาก เพื่อให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างเหมาะสมและมีความสุขมากขึ้น หลายอย่างที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจ สอนเราว่า หากเราทำดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังมีผลเช่นนั้น ก็ไม่ควรทุกข์อยู่กับมันมากเกินไป
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบมาให้ ขอบคุณทุก ๆ คนที่อยู่เคียงข้างกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปชมพิธีกรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ เป็นพิธีกรรมที่นำเอาพุทธและผีมาหลอมรวมกันไว้ได้อย่างลงตัว
เป็นพิธีลักษณะที่เป็นการตัดการเชื่อมต่อกันระหว่างผู้ที่ยังอยู่และผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้ว
โดยความตั้งใจเริ่มแรกที่จะไปร่วมพิธีกรรมนี้ พร้อมกับการถ่ายรูปเพื่อนำกลับมาเขียนเป็นสารคดีสั้น ๆ ส่งนิตยสาร
กลับกลายเป็นการต้องการร่วมพิธีเพื่อมองดูให้ลึกซึ้งเพียงอย่างเดียว
พิธีกรรมทั้งหลายบนโลกใบนี้ล้วนมีกุศโลบายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพื่อสร้างความศรัทธา เพื่อสร้างความสบายใจ
แม้กระทั่งพุทธเอง ซึ่งไม่มีพิธีกรรมใด ๆ เพราะมุ่งเน้นที่การหลุดพ้น ก็ยังต้องนำพิธีกรรมจากศาสนาเดิม ๆ มาหลอมรวม  เพื่อให้ผู้คนที่ศรัทธาในศาสนาเดิม เข้าใจและเข้าถึงได้มากขึ้น เช่นเดียวกับทุกศาสนา ที่ย่อมต้องรับเข้าศาสนาเดิมในพื้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่ง
พิธีกรรมที่ได้มีโอกาสไปเข้าร่วมมานี้ ก็เช่นกัน เป็นการหลอมรวม พุทธ และผี โดยมีทั้งการบูชา พระพุทธเจ้า การบูชาพญาแถน การขับไล่ผีร้าย ใช้ทั้งภาษาบาลีและคำพื้นเมือง เข้ากันอย่างเหมาะจงลงตัว จนแยกคำต่าง ๆ แทบไม่ออก กุสโลบาย ในการที่ให้ทิ้งผ้าที่ใช้เมื่อเข้าพิธีกรรม เพื่อสร้างความเชื่อในส่วนของการละทิ้งความโชคร้าย เคราะห์ร้าย การลอดตะแหลว ซึ่งเปรียบเหมือนการเกิดใหม่
พิธีกรรมที่ต้องกระทำในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ มีทางน้ำไหล แสดงการเคารพต่อธรรมชาติ ต่อพุทธ ต่อผี ไม่มีอาการหยาบกระด้าง ก้าวร้าวต่อสิ่งใด ๆ
มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสบายใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าพิธีและญาติพี่น้อง

ในสายตาชาวบ้าน นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ชีวิตกลับสู่ความเป็นปกติ
ในสายตาผม นี่เป็นพิธีกรรมที่สวยงามและมีความหมายลึกซึ้ง
ในสายตานักวิชาการ นี่อาจเป็นเรื่องงมงาย

สายตาทุกคู่ มนุษย์ทุกคน มีพื้นฐานความคิด ความรู้ ความเข้าใจไม่เหมือนกัน
สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านสายตา ย่อมให้ความหมายที่แตกต่างกัน
พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้ครบถ้วนเหมาะสม 
แล้วจะพบความสงบสุขในทุก ๆ สิ่ง

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

สวนลุมพีนี สวัสดีจ้า


อากาศเย็น ๆ ทั้งที่เป็นหน้าร้อน ก็ให้ความรู้สึกเหมือนปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่เลยนะ ได้แต่หวังว่าจะไม่หนักหนาเหมือนครั้งก่อน

ช่วงนี้เช้า ๆ ไปวิ่งอยู่ที่สวนลุมพีนี สวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางกรุง ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
บรรยากาศดี วิ่งไปชมนก ชมไม้ ดูอีกาเดินบนสนามหญ้าเพื่อหาอาหาร หรือตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่ ๆ เดินตามขอบสระ หรือไม่ก็ว่ายน้ำอยู่
พูดถึงตัวเงินตัวทองนี่ ใครจะว่ายังไงผมไม่รู้แต่สำหรับผม มันเป็นสัตว์ที่สวยดี โดยเฉพาะ เวลาที่มันว่ายน้ำ ผมว่ามันว่ายน้ำได้สวยงามทีเดียวนะ
รวมถึงประโยชน์จากการที่มันเป็นสัตว์กินซาก เลยช่วยธรรมชาติในการกำจัดซากสิ่งมีชีวิตที่เกินกว่าความพอดีอีกด้วย
สัตว์ทุกตัวมีประโยชน์กับธรรมชาติและระบบนิเวศทั้งนั้น แล้วคนเรานี่มีประโยชน์กับธรรมชาติตรงไหนนะ

อีกอย่างที่มาวิ่งแล้วได้พบเจอก็คือการแสดงความรัก สวนลุมเป็นสถานที่ที่คนที่ไม่เชื่อหรือผิดหวังในความรักควรจะมาเดินดูเป็นอย่างยิ่ง
ภาพที่ลูกชายประคองแม่แก่ ๆ นั่งลงบนรถเข็น ก่อนจะสวมหมวกให้ แล้วเข็นไปคุยไป ภาพคุณตาเดินจูงมือคุณยาย พลางหยิบขนมในถุงป้อนให้
ภาพคู่รักหนุ่มสาว เดินทอดน่องด้วยกันไปเรื่อย ๆ ภาพคุณลุงคุณป้านั่งจิบกาแฟบนสนามหญ้าริมสระ ภาพกลุ่มคนมีอายุรวมตัวกันรำมวยจีน หรือไม่ก็รำกระบี่ รำพัด
ภาพของคู่รักชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง เดินหรือวิ่งไปเป็นคู่ ๆ ภาพอีกา ตัวเงินตัวทอง และสัตว์อื่น ๆ จีบกัน
วิ่งไปมองไปก็ย้อนคิดได้ถึงความรักในหลายแง่มุมนะ ทุกแง่มุมล้วนสวยงามในมุมของมันเสมอ

มีสาระซักนิดนะ ประวัติของสวนลุมพีนี
สวนลุมพีนีเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของไทยเรา ก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่7 ตั้งอยู่บนถนนพระราม4 ล้อมรอบด้วยถนนวิทยุ ถนนราชดำริ และซอยสารสิน
อยู่ใกล้ ๆ กับโรงพยาบาลจุฬาฯ และสถานที่รถไฟใต้ดินสีลมและลุมพีนี ชื่อลุมพีนี ห็ตั้งตามชื่อสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ประเทศเนปาลนะครับ
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ยังเคยถูกใช้เป้นที่ตั้งของค่ายทหารญี่ปุ่นอีกด้วยนะ

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สวัสดีบึงแก่นนคร


อันเนื่องมาจากการไปทำงานต่างจังหวัด คราวนี้มาขอนแก่น อยากลองเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต สำหรับการมาทำงานต่างจังหวัดดูบ้าง
พอไปถึงเลยออกไปวิ่งรอบบึงแก่นนคร จุดประสงค์หลักคือต้องการเอาชนะใจตัวเอง ที่มันไม่ได้วิ่งมาเป็นปีแล้ว ดูซิว่าจิตใจยังแข็งแกร่งพอที่จะส่งแรงไปให้กับร่างกายได้ไหม?
เดินจากที่พัก ไปจนถึงบึงแก่นนคร แล้วจึงวิ่ง ๆ เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ ครบรอบบึงแล้วเดินกลับที่พัก ด้วยระยะทางรอบบึงประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ทำให้มองเห็นอะไรได้หลายอย่าง ทั้งที่มาขอนแก่นเป็นสิบครั้ง มาที่บึงแก่นนครตามหลายครั้ง แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
ระหว่างที่วิ่งมองไปรอบตัวก็พบเห็นกับหลายสิ่งหลายอย่าง คนมาวิ่งออกกำลังกาย มาเดี่ยว มาคู่ บางคนจูงหมามาเดินเล่น บ้างขี่จักรยาน บ้างมานั่งพักผ่อน บ้างก็มีของกินมานั่งกินกันด้วย
หลายคนก็เดินไปเรื่อย ๆ มีทุกวัย ทั้งเดิน วัยรุ่น หนุ่มสาว และสูงอายุ คนเหล่านี้ เมื่อหมดหน้าที่ในชีวิตประจำวันก็คงมาที่บึงแก่นนครนี่แหละ
เพื่อผ่อนคลาย เพื่อออกกำลัง เพื่อมาเดินชมนกชมไม้ เพื่อมาเดินชมสาว ๆ แต่สิ่งที่เหมือน ๆ กันก็คือ ชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ไม่กดดัน ไม่เครียด

เป็นการออกวิ่งในสถานที่แปลกใหม่ ที่มีความสุขมาก เพราะเพียงเห็นคนมีความสุข หรือเมื่ออยู่ในกลุ่มคนที่มีความสุข ตัวเราเองก็มีความสุขไปด้วยแล้ว
เมื่อกลับมาสำรวจตัวเอง ก็พบว่าจิตใจยังแข็งแกร่ง พอที่จะส่งแรงไปให้ร่างกายทำจนครบตามความตั้งใจได้ แม้ว่าผลลัพธ์จะทำให้แข้งขาตึงไปหมด
แต่ทั้งร่างกายและจิตใจก็แข็งแรงขึ้นตามไปด้วย ไม่มีการเจริญเติบโตใด ที่ไม่แลกมาด้วยความเจ็บปวดหรอก

โลกเรานี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ลองทำ หรือพบเห็น หากไม่เริ่มและเมื่อไหร่จะเจอะเจอ
สวัสดีบึงแก่นนคร

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สวนสัตว์มนุษย์


สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ไปทำงานที่จังหวัดสุโขทัย ซึ่งถ้านับจากครั้งสุดท้ายที่ได้ไปก็เจริญขึ้นมาอีกหน่อยนึง และยังเป็นจังหวัดที่น่าอยู่เหมือนเดิม

สิ่งหนึ่งที่ต้องเจอคือผู้คนใหม่ ๆ ที่หลากหลายทั้งเรื่องพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม และความรู้ความเข้าใจในส่วนต่าง ๆ เหมือนที่ผมเคยบอกว่าผมอาจเก่งในเรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่มีทางเก่งกว่าชาวนาในเรื่องการทำนา ไม่มีทางเก่งกว่าชาวประมงถ้าต้องไปจับปลา

เรื่องพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งที่บอกได้ว่า มนุษย์เราเท่าเทียมกันทุกคน เพราะไม่มีคนไหนที่จะรู้ไปทั้งหมด เก่งไปทุกเรื่อง ทำได้ไปทุกอย่าง มนุษย์จึงต้องการการอยู่เร่วมกันเพื่อให้ได้ทุกอย่างตามความต้องการของตน เพื่อความอยู่รอด แต่ก็แปลกนะที่บางกลุ่ม บางประเทศ จ้องแต่จะทะเลาะกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
คนที่ต้องการแต่ประโยชน์ส่วนตัวนี่ เป็นพวกที่น่าสงสารนะ เพราะเขาไม่สามารถเอาชนะสัญชาตญาณพื้นฐานได้ ทำให้ไม่ต่างกับสัตว์โลกทั่ว ๆ ไปที่ไม่คิดถึงเรื่องใด ๆ นอกจากตามใจสัญชาตญาณของตัวเอง

ส่วนหนึ่งก็มาจากคำถาม ที่มาจากผู้คนใหม่ ๆ ที่ได้เจอกันครั้งนี้ คำถามที่ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเจอถามเมื่อไปยังที่ใหม่ ๆ ก็คือมาถึงยัง? ซึ่งหมายถึงว่า ได้นอนกัผู้หญิงที่นี่หรือยัง?
ผมคิดว่าหลาย ๆ คนคงเคยโดนคำถามประเภทนี้มาบ้าง ซึ่งไม่แปลกที่เขาจะถามเพราะ ความเข้าใจ ความเชื่อของพวกเขายังคงเป็นเช่นนั้น
และเนื่องจากพวกเขาไม่รู้จักผมมาก่อนจึงถาม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้ม ๆ แล้วตอบปฎิเสธ ผมเรียนรู้มาแล้วว่ามนุษย์ ยอมรับไม่ได้กับคนอื่น ๆ ที่ดำรงชีวิตไม่เหมือนตน และจะเริ่มต่อต้าน
หากบอกไปว่าคนที่เดินทางตลอดเวลา ไปไหนมาไหนมาทั่ว ไม่เคยเที่ยวผู้หญิง คนเขาก็ไม่เชื่อ สู้เงียบไว้ดีกว่า
โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่สนับสนุนพวกที่เที่ยวผู้หญิงเพราะผมคิดว่าเป็นการไม่ให้เกียรติผู้หญิงอย่างหนึ่ง แต่ผมไม่ได้ต่อต้านผู้หญิงที่ทำงานแบบนี้ เพราะพวกเธออาจมีทางเลือกที่น้อยกว่าคนอื่น
แต่ผู้ชายที่ไปซื้อบริการนี่ คงเรียกได้ว่าไม่ให้ความสำคัญกับเพศหญิง และเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ อันค่านิยมที่ยังคงมีมากอยู่ในบ้านเรามั้ง สืบเนื่องมาจากกการที่จำเป็นต้องมีลูกมาก ๆ เพื่อสืบสกุล และเผื่อไว้ถ้ามีการตาย ตั้งแต่ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีการแพทย์ที่เจริญอย่างทุกวันนี้ ผู้ชายไทยเลยคิดว่าการมีผู้หญิงมาก ๆ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถ้าจะแก้ค่านิยมนี้ คงต้องเริ่มจากตัวอย่างของคนในวัยเราละนะ
อีกส่วนหนึ่งคือการที่ไปนั่งมองดู ผู้หญิงเต้นรูดเสา หรือ โคโยตี้  ก็เป็นอีกอย่าง เมื่อก่อนผมก็ชอบไปนะ แต่หลายปีหลังมานี่ กลับรู้สึกว่า การไปนั่งดูเรื่องพวกนี้ เหมือนกับการเข้าไปสู่ สวนสัตว์มนุษย์นะ
และผมไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้เกิด สวนสัตว์มนุษย์ เลยเกิดความรู้สึกไม่อยากดูขึ้นมาละ
เวลาที่ผมจะอธิบายเรื่องที่ผมไม่เที่ยวผู้หญิง คนก็มักจะรู้สึกหมั่นไส้ หรือไม่เชื่อ แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ นะ เลยไม่ค่อยอธิบายให้ใครฟัง
คนเราจะมีสัมพันธ์กันมันควรเกิดมาจากความรักความชอบไม่ใช่หรือ คนเราไม่ใช่สัตว์ที่จะมีสัมพันธ์กับใครก็ได้ ตามความต้องการ ตามสัญชาตญาณในการสืบพันธ์ของตัวเอง
สัตว์มนุษย์ แตกต่างกับสัตว์อื่นตรงที่มีความคิด มีจิตใจ ไม่ได้ทำตามสัญชาตญาณอย่างเดียว

และผมก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น ถึงแม้ว่าในหลาย ๆ ครั้งผมจะรู้สึกแปลกแยก ผิดที่ผิดเวลา แต่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะรักษาตัวตนของตัวเองให้อยู่ได้ในหลายๆ สภาวะ

หากคนเรายังมีค่านิยมแบบนี้อยู่ คนเรามีความรู้สึกพึงพอใจ กับการเห็นคนอื่น ๆ มาแสดงสัญชาตญาณพื้นฐานให้ อีกหน่อย คงได้เห็น สวนสัตว์มนุษย์ จริง ๆ ขึ้นมา
มีการเก็บค่าเข้า มีป้ายแสดง มุมนั้น กระเหรี่ยงคอยาว มุมโน่นโคโยตี้ เลี้ยวขวาข้างหน้าเป็นการเต้นรูดเสา แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายเป็นโชว์ชายชาย

รู้สึกว่าตัวเองเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมนี้ยังไงไม่รู้แฮะ
แต่เป็นชนกลุ่มน้อยที่รักสันโดษด้วยความพึงใจของตัวเองนะ

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โทสะบังตา อคติบังใจ


ปล่อยมาซะนานหลังเรื่องล่าสุด เรื่องที่คิดและอยากบันทึกยังมี แต่ยังไม่อยากเอาออกมา เวลาที่ผ่านมา ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลความคิดและจิตใจของตัวเองเป็นหลัก จนคิดว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีบทพิสูจน์ ครึ่งเดือนก่อน ก็ได้พิสูจน์กันว่า ยังคงปล่อยให้ความไม่พอใจ เข้าครอบงำได้ง่าย สำหรับเรื่องบางเรื่อง
ความไม่พอใจ ที่เกิดจากผู้อื่น กลับทำให้ขาดความระมัดระวังในการขับรถ ถอยรถเข้าบ้านตัวเอง ชนเสาบ้านซะอย่างงั้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คิดได้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ หากปล่อยให้ความโกรธ ความไม่พอใจ เข้ามาครอบงำ ก็คงเป็นกับคนหูหนวก ตาบอดที่ไม่สามารถเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องได้

การที่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่กับความเศร้า จากการที่แมวตาย ถึงจะรู้สึกว่าช่วยมันไว้อย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังคงปล่อยให้จมอยู่กับความเศร้านั้นตั้งนาน

เรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงนี้ก็อย่างเรื่องของการทำงานร่วมกับผู้อื่น บางครั้ง คนที่เคยทำงานมานานแต่ไม่ใช่งานที่มีการคิด ประมวลผล แก้ปัญหา และวางแผน เมื่อมาทำงานของตัวเองแล้ว คงต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งมันสิ่งที่เห็นได้ชัดว่า ประสบการณ์และความรู้ย่อมต้องไปด้วยกัน เพื่อให้ประสบผลได้ดียิ่งขึ้น

หลากเรื่องหลายราว คงนำมาแปลงเป็นข้อความเพื่อลดภาระการจดจำของสมองตัวเองลงกันบ้าง คงไม่เฉพาะเจาะจงกันบ้างว่าจะเขียนในช่วงไหน เอาเป็นว่าทุกวันอาทิตย์หลังเที่ยงก็แล้วกัน
เป็นการสัญญากับตัวเอง สัญญาเพื่อที่จะรักษาสัญญา

อ่านเรื่องขององค์ทะไลลามะ ใน National Geographic Thailand เล่มล่าสุด แล้วก็เห็นว่ามีความคิดไปในแนวทางเดียวกัน "การศึกษาเป็นเรื่องสากล ศาสนาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเป็นสากล"
อย่าไปยึดมั่น ถือมั่นกับอะไรกันมากนักนะ

ปล่อยให้โทสะบังตา ก็เหมือนคนที่ปิดตาไปข้างหนึ่ง
หากปล่อยให้อคติบังใจด้วย ตาอีกข้างก็คงถูกปิดไปด้วย

ขอให้ทุกคนละโทสะ วางอคติ ได้มาก ๆ นะ เพื่อจะได้มองโลกนี้ได้กว้าง ๆ เต็มตาตัวเอง อย่างที่โลกใบนี้เป็น จะได้พบกับแง่มุมใหม่ ๆ จริง ๆ