วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หลักการใช้ชีวิต 3 ข้อหลัก ๆ

ตึกราม บ้านช่อง พัง สร้างใหม่
ร่างกาย บอบช้ำ ล้ำ สร้างได้
จิตใจ มั่นคง ไว้ คงอยู่
กอบกู้ ทุกสิ่ง นั่น ต้องใช้ ปัญญา

สิ่งเลวร้ายอะไร ผ่านแล้วก็ให้มันผ่านไป ร่วมมือร่วมใจสร้างขึ้มมาใหม่ได้เสมอ
เพียงเอาอคติออกจากใจ มองสิ่งต่าง ๆ ด้วยความจริง และเริ่มออกเดินกันใหม่...
เพียงตั่งมั่นไว้ในสิ่งที่เราทุกคนเรียนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แค่ 5 ข้อ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แล้วนะครับ
อย่าหลุดออกจากศีล 5
ทำทุกอย่างอย่างมีสติ
ใช้ปัญญาไตร่ตรองทุกอย่าง..

ตั้งตนมั่นอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วเดินตามทางนั้น..

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฟ้าร้อง...

ครืน... ครืน ....
เสียงฟ้าร้องดังสนั่น เมื่อวานนี้ตอนที่ฝนเริ่มตก ซักพัก..
ระหว่างที่ผมกำลังเตรียมเอาผ้ามาปูรองนอนที่ห้องโถง เพราะเหนื่อยจากการเดินทางกลับจากเชียงใหม่
แล้วยังมีไข้อีก ก็ธรรมดาไม่ค่อยได้นอนกลางวันน่ะนะ ช่วงนี้ เจ้ามะระก็กระโจข้ามรั้วกั้นบันได แล้วก็ขึ้นมา เปิดประตูเข้ามาอยู่ในบ้าน ชั้นบน..
ก็รู้นะว่าเจ้ามะระ กลัวเสียงฟ้าร้อง เสียงพลุ แต่ไม่คิดว่ามันจะเริ่มเร็วอย่างนี้นะ
ผมก็พาลงไปข้างล่างนั่งเก้าอี้ที่เอนนอนได้ เจ้ามะระกระโดดขึ้นนั่งตักทันที เกือบสามสิบกิโลนะนั่น...
หนูมะลิก็เดินมาดึงขาเจ้ามะระลง เพราะอิจฉาอยากขึ้นบ้างละมั้ง แต่เจ้ามะระก็ไม่ยอมลงนะ จับลงก็โดดขึ้นอีก
ทำยังไงได้ก็มันกลัวนี่ ฟ้าก็ร้องไม่ยอมหยุด ไอ้ผมก็มึน ๆ ปวดหัว ก็หลับ เจ้ามะระได้ทีก็หลับไปด้วย
แม่มันเดินลงมาเห็นเลยถ่ายรูปไว้ คนหนึ่งหลับเพราะเหนื่อยและเป็นไข้ หมาหนึ่งหลับเพราะอุ่นใจที่มีคนคุ้มครอง จากความกลัว

มะระกลัวเสียงฟ้าร้องเพราะมันไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องฟ้าร้อง
มะระกลัวเสียงพลุ เพราะมันดังเหมาะฟ้าร้อง
มะระอุ่นใจ สุขใจ เมื่อผมหรือแม่มันอยู่ด้วย เพราะมันคิดว่าสามารถคุ้มครองมันได้..


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนเราคือความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ต้องแสวงหา
หากจมอยู่กับความไม่รู้ ย่อมจมอยู่ในความหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา

ทานขันดอก วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่

ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยดีนะครับ
หากจะเปรียบเทียบเหตุการณ์ครั้งนี้ กับครั้งก่อน ๆ ในเรื่องสถิติต่าง ๆ
อย่าลืมคำนวณเรื่องที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้ประท้วงมีอาวุธสงครามด้วยนะครับ

เมื่อสัปดาห์ก่อนไปทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ มีพี่ ๆ ไปด้วย พอเลิกงานก็พาไปเที่ยววัดพระสิงห์ วัดอุปคุต
แล้วยังโชคดีที่เป็นช่วงที่มีประเพณี "ทานขันดอก" ที่วัดเจดีย์หลวงด้วย เป็นงานที่ไปทำบุญด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ในช่วงกลางคืน มีผู้คนไปร่วมงานกันอย่างล้นหลาม พี่ที่ผมพาไปก็ประทับใจมาก
การทานขันดอกนี้เป็นประเพณีที่ชาวบ้านจะไปทำบุญเสาอินทขีล อืม.. ก็เสาหลักเมืองของเชียงใหม่นั่นแหละ ซึ่งตั้งอยู่ในวัดหลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 8 ของ ราชวงศ์มังราย แล้วชาวเชียงใหม่ก็เชื่อว่า ถ้าบูชาเสาอินทขีลแล้ว บ้านเมืองจะพ้นภัย และ เจริญรุ่งเรือง งานจะมีช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนะครับ
ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ ก็คงต้องไปหาอ่านเอาละกัน ข้อมูลและหนังสือมีมากมายครับ

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสไปงานทานขันดอก ก็ยังสามารถทำให้ผมประทับใจเช่นเดิม
พ่อแก่แม่เฒ่า หนุ่มสาว วัยรุ่น ที่อาศัยในเชียงใหม่ มาร่วมทำบุญกันอย่างล้นหลาม แล้วยังมีนักท่องเที่ยวอีก คนที่ไปร่วมงานจึงมากมายมหาศาล
ขอฝากนักท่องเที่ยวนะครับ เวลาที่จะไปร่วมประเพณีอะไร ก็ศึกษากันก่อนซักนิดนึง
จะได้ไม่หงุดหงิด แล้วก็ ทำอะไร ๆ ไม่ขัดกับชาวบ้านในท้องที่เขานะครับ อย่างการเอาเทียนไปปักที่พื้นบันไดก่อนขึ้นสรงน้ำ พระเจ้าฝนแสนห่า
ก็พวกคุณเล่นมักง่ายอย่างนี้ คนที่เขาจะขึ้นไปบูชา สรงน้ำ เลยเหลือทางเดินแค่นิดเดียวเองนะครับ ยังไม่นับเรื่องอื่น ๆ นะ
แต่สังเกตได้นะว่าคนที่นี่เขาไม่ได้แสดงความหงุดหงิด แล้วยังมีน้ำใจตลอดเวลา อย่างตอนที่ทานขันดอกอยู่ในโบสถ์ ข้าวตอกผมหมด ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าก็หันมาแบ่งให้
โดยที่ไม่ได้ขอนะครับ เธอบอกว่าต้องใส่ให้ครบ แล้วยังแนะนำสิ่งต่าง ๆ ที่ควรรู้อีกด้วย นี่แหละครับพื้นฐานนิสัยจริง ๆของคนไทย อย่าให้ใครเขามาชักจูงให้พวกเราหลงลืมตัวตนของเรานะครับ
แล้วฝากผู้ช่วยจัดงานหน่อยนึง ไหน ๆ งานนี้ก็เป็นงานของล้านนาแล้ว ไหงมีการแสดงรำแบบภาคกลาง อย่างฉุยฉาย อยู่บนเวทีละ?
ผมคิดว่าใช้ทุกอย่างที่เป็นล้านนา น่าจะเป็นการบ่งบอกตัวตนได้ดีกว่านะครับ แม้ว่าการแสดงของภาคอื่น ๆ จะหมายถึงการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
แต่ประเพณีนี้ งานนี้ เป็นงานเฉพาะถิ่นนะ ผมว่าควรแสดงตัวตนของล้านนาเป็นหลักไปเลยนะครับ

ผมไปร่วมงานนี้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ชอบประเพณีวัฒนธรรม โอกาสดีที่มาในช่วงที่มีงานพอดี พาพี่ ๆ พาเพื่อน พาน้อง  ไปร่วมงานบุญที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
คนต่างถิ่นย่อมตื่นตาตื่นใจเมื่อได้มาเห็น ซึ่งในสิบกว่าปีที่ผมเดินทางมา ภาคเหนือยังมีงานที่คนพื้นที่เดิมให้ความสำคัญและมาร่วมงานกันมาก
แล้วยังสามารถเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานได้ด้วย ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งคงวัฒนธรรรมประเพณี และได้เรื่องการท่องเที่ยวด้วย ทางภาคเหนือนี้เป็นมาตลอด
ในขณะที่ภาคอื่น ๆ กลายเป็นการเน้นที่การท่องเที่ยวไปแล้ว ประเพณีและวัฒนธรรมเดิมเริ่มเปลี่ยนไป ผู้คนในท้องถิ่นเริ่มไม่ได้มาร่วมงานด้วยใจ และมาเพื่อการท่องเที่ยว และขายของ
ไม่รู้ว่าใครผิดกว่ากัน การท่องเที่ยว ที่พยายามนำจุดเด่นของแต่ละท้องถิ่นมาขายในเชิงการท่องเที่ยว หรือวัฒนธรรมบูชาเงินทอง มากกว่าจิตใจ ที่กำลังกลืนกินผู้คนในบ้านเมืองเรา
ให้กลายเป็นเหมือนคนตะวันตก...

การที่ได้ไปร่วมงานทานขันดอก การไปเยี่ยมชม วัดพระสิงห์ วัดอุปคุต เป็นการเติมเชื้อไฟ เติมกำลังใจให้ผมเป็นอย่างดี
ประเพณี วัฒนธรรม ของบ้านเรางดงามมากนะครับ ออกจากบ้านแล้วมาร่วมงานต่าง ๆ
ศึกษาชีวิต และวัฒนธรรม จะได้ภูมิใจว่า เราเป็นคนไทย และคนไทยเป็นอย่างไร..

เมื่อเห็นคนมากมายมาร่วมงานปอย หรืองานบุญ แล้วยังเป็นคนในท้องถิ่น ทำให้เกิดกำลังใจ ว่าบ้านเรายังมีความหวังเสมอครับ
อย่าลืมตัวตน พื้นฐานนิสัย และจิตใจของเรา อย่าให้ใครชักจูงไปจนไม่ใช่ตัวเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างยังมีความหวังเสมอ หากวันนี้ท้อแท้สิ้นหวัง พรุ่งนี้เริ่มใหม่ก็ได้นะครับ

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เหนื่อยใจ.. แต่ได้อยู่

เพราะคนเราเกิดมาไม่ได้เอาอะไรมาด้วย
สิ่งที่หล่อหลอมให้คนเราเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นเช่นทุกวันนี้
ก็เป็นเพราะการอบรม บ่มเพาะ เลี้ยงดู ทะนุถนอม
ก็เป็นเพราะการศึกษา และสิ่งแวดล้อมที่เคยพบ
ก็เป็นเพราะประสบการณ์ที่เคยผ่าน

หากคนเราทำทุกอย่างเพื่อตัวเราเองเท่านั้น
โลกนี้คงวุ่นวายมากแน่ ๆ
หากเราพึ่งพาแต่คนอื่นเท่านั้น
โลกนี้คงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
หากเราลอกเลียนแต่คนอื่นเท่านั้น
โลกนี้คงไม่มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีก
หากเรากินอย่างไม่บันยะบันยัง
โลกนี้คงมีคนที่อดอยากเพิ่มมากขึ้น
หากเราไม่คอยช่วยเหลือผู้อื่น
โลกนี้คงเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว

ยังดีที่โลกนี้ยังมีคนที่ไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเท่านั้น
ไม่ได้มัวแต่พึ่งพาคนอื่น ไม่ได้เอาแต่บอกเลียนคนอื่น ไม่ได้เห็นแก่ตัว เห็นแก่กิน
โลกนี้จึงยังคงน่าอยู่ อยู่บ้างนะ

หากรู้สึกว่าเหนื่อยใจกับสังคม และคนรอบกาย ก็พักเสียบ้าง
เพราะชีวิตมันสั้นนัก อย่ายึดติดกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา
สองประโยคที่ควรยึดไว้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน (อันนี้ทำได้จริง)
และ
ไม่มีอะไรเป็นจริง แม้แต่ตัวเราเอง จึงไม่มีตัวกู ของกู (อันนี้พยายามทำให้ได้อยู่)

ไม่มีอะไรแค่เหนื่อยใจ
และเขียนเพื่อบันทึกและยืนยันกับตัวเองอีกครั้ง
ว่าผมจะยังคงพยายามเป็นคนที่ดีต่อไปนะ...

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Green Ocean โครงการดี ๆ กับเบียร์ช้าง

วันที่เสาร์ที่  8 พ.ค. ที่ผ่านมา มีโอกาสเข้าร่วม โครงการ Green Ocean ของเบียร์ช้าง ได้ร่วมเดินทางไปเกาะขาม สัตหีบ จังหวัดชลบุรี
โดยหลัก ๆ คือเราจะไปร่วมปลูกปะการังที่ แนวอนุรักษ์ ทรัพยากรใต้ทะเล ที่เกาะขาม แล้วก็ไปทำความสะอาดบ่อเต่าทะเล รวมทั้งทำความสะอาดตัวเต่าทะเล แล้วก็ร่วมกัน ปล่อยปลากะพง และเต่าทะเลกลับคืนสู่ธรรมชาติ
เจ้าเต่าในรูปนี้ต้องลุ้นตั้งนานนะกว่ามันจะเดินลงทะเลไปได้ ความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่สูงจริง ๆ

ผมก็ได้รับโอกาสเข้าร่วมโครงการนี้ด้วย ก็ไปขึ้นรถเพื่อร่วมเดินทาง ที่อาคารแสงโสม ถนนวิภาวดี นัดกันตอนประมาณ 6 โมงเช้า ก็ไปถึงก่อนนิดหน่อย แล้วก็นั่งกินกาแฟรอที่ปั๊มน้ำมันใกล้ ๆ
เดินไปลงทะเบียนพร้อมกับรับเสื้อ, หมวก, ถุงผ้า, พัด ฯลฯ เพื่อเอาไว้ใช้ตอนร่วมทริป มีผู้ร่วมทริป ประมาณ 20 คน เจ้าหน้าที่ที่มาอำนวยความสะดวกอีก  20 กว่าคน... รวมแล้วคนเข้าร่วมโครงการก็ 40 กว่าคนนะ

ขึ้นรถได้เรียบร้อยพร้อมเดินทางก็ 7 โมงเช้า มีการแจกกาแฟ แจกน้ำ แจกขนม ไว้กินบนรถ ขนมอร่อยมาก ทริปนี้มีคุณเป้ ที่เป็นพรีเซนเตอร์ ของเบียร์ช้างดราฟต์ ร่วมเดินทางไปด้วย น้องเขาเป็นกันเอง แล้วก็นิสัยดีมาก ได้คุยกันหลายครั้ง ยังไงก็จะติดตามผลงานนะครับ นอกจากคุณเป้ แล้วก็มีคุณโบวี่ ร่วมเดินทางไปด้วย โดยมีคุณอ้อน สาวสวย ค่อยเป็นผู้ประกาศ และประสานงาน  น่ารักมากนะครับ แต่ละคน นอกจากนี้ก็มีคุณอุ้ม คุณพลอยดาว คุณปิ๊ก ที่ค่อยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ร่วมทริปทุกท่าน ขอบคุณมากนะครับ
ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ก็เดินทางถึงท่าเรือ แต่ผิดพลาดเล็กน้อย ทำให้พลาดเรือไปรอบนึง เลยรอกันนานเลย กว่าจะข้ามไปถึงเกาะขาม ก็สิบโมงจะครึ่งแล้ว
เข้ารับการอธิบาย ถึงความเป็นมา และวิธีการปลูกปะการัง จากวิทยากรของกองทัพเรือ แล้วก้ร่วมกันปลูกปะการัง เสร็จก็กินข้าวเที่ยง พักผ่อนนิดหน่อย ก็ขึ้นเรือท้องกระจก ออกไปดูปะการัง ส่วนที่ไกลออกไปจากเกาะหน่อย

กลับมาก็รอกลับเข้าฝั่ง หลังจากที่ขอบคุณวิทยากรแล้ว ก็ขึ้นเรือกลับเข้าฝั่ง เกือบบ่ายสามโมงแล้ว นั่งรถต่อไปยังศูนย์อนุรักษเต่าทะเล ของกองทัพเรือ
เข้าห้องประชุม รับฟังความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของโครงการอนุรักษ์เต่าทะเล อีกครั้ง ความรู้มีมากมาย ไม่รู้ว่าเก็บเกี่ยวกันได้มากน้อยเท่าไหร่นะ แต่ผมน่ะ เก็บได้เยอะอยู่ เต่าตนุ เต่ามะเฟือง เต่าหญ้า เต่ากระ มันจะสูญพันธุ์กันอยู่แล้ว ช่วย ๆ กันหน่อย
ออกมาจากห้องประชุมก็เข้าชมนิทรรศการเต่าทะเล แล้วก็พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ของศูนย์ฯ แล้วก็ถึงเวลาละ ไปขัดบ่อเต่ากัน ตอนแรกนึกว่าบ่ออนุบาล ที่ไหนได้ ขัดบ่อใหญ่เลยครับ ได้เหงื่อกันเพียบ แต่ก็ยังมีโอกาส ได้ทำความสะอาดตัวเต่าทะเลเป็น ๆ อีกหลายตัว ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เสร็จแล้ว ล้างเนื่อล้างตัว รอกินข้าวเย็น อาหารอร่อยมาก รวมทั้งเพิ่งได้ทำความรู้จักกับผู้ร่วมโครงการคนอื่น ๆ ก็ตอนนี้แหละ
ถ้าได้ทำอะไรร่วมกันแต่แรก คงรู้จักกันเยอะแล้ว แล้วคงสนุกมากกว่านี้นะ

เสร็จก็ขึ้นรถเดินทางกลับกรุงเทพฯ เกือบ ๆ สี่ทุ่ม นั่งแท็กซี่กับพร้อมกับน้องที่ไปร่วมทริปอีก 2 คน ไปส่งน้องเขาก่อน แล้วค่อยต่อรถแท็กซี่เข้าบ้าน
ได้เจอแท็กซี่แบบขับเร็ว จ่อท้าย เปิดไฟสูง ครบรูปแบบ ปลอดภัยมาตลอด มาไม่ปลอดภัยตอนจะถึงบ้านเนี่ยแหละ

ขอขอบคุณเบียร์ช้าง และบริษัท ไทยเบฟ ที่ให้โอกาสเข้าร่วมโครงการดี ๆ แบบนี้นะครับ
ประทับใจและสนุกมาก ทั้งอนุรักษ์ ทั้งเที่ยว ทั้งกิน ผู้เข้าร่วมโครงการและเจ้าหน้าที่ก็น่ารัก
อยากให้มีโครงการแบบนี้บ่อย ๆ ถึงจะไม่ได้เข้าร่วมทุกครั้งก็ตาม แต่ถ้าจะให้ดีขอร่วมทุกโครงการเลยได้ไหมครับ
ขอบคุณมาก ๆ ครับ โครงการหน้าที่เขาใหญ่ ขอไปอีกนะครับ

ปีกกล้า ขาแข็ง โตขึ้น และจากไป

ในที่สุด เจ้ามะรุมทั้งสามตัวก็โตจนสามารถออกบินด้วยตัวเองได้ อย่างโบราณว่า ปีกกล้า ขาแข็ง
น่าเสียใจนิดหน่อยที่มีอยู่ตัวหนึ่ง ที่ไม่สามารถจะบินไปสู่ชีวิตจริงได้
อาจเป็นเพราะอ่อนแอกว่าตัวอื่น ๆ อาจเป้นเพราะพลาดพลั้งเมื่อเริ่มต้นชีวิต อาจเป็นเพราะประมาท
จึงทำให้ตัวมันเอง ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไป
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทุกตัวคงจะออกหัดบินแล้ว
ก่อนกลับบ้านหลานโทรมาบอกว่า เจ้ามะระ ไปคาบซากลูกนกมาให้ เจ้ามะระมันคงไปเจอ เลยคาบมาให้หลาน พอกลับถึงบ้านก็เลยฝังไว้ใต้ต้นมะม่วงที่เพิ่งปลูกใหม่ เมื่อวันที่ 5 พ.ค. น่าสงสาร แต่ชีวิต ธรรมชาติ เป็นแบบนี้แหละ
ผู้ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น ที่จะอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ได้

มีเกิด ก็มีดับ เป็นธรรมดา เจ้ามะรุมก็ไม่มียกเว้น คนเราก็ไม่มีการยกเว้น
ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ทำดี ทำเลว ยังไง หรือมีอำนาจแค่ไหน ก็ไม่สามารถขัดขวางได้

อยากที่เล่นให้ฟัง เพิ่งอ่าน The Lost Symbol จบ และกำลังเริ่มอ่านรอบสองนะ
มีคำพูดหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมาก เดี๋ยวอ่านรอบสองแล้วค่อยมาบอกนะว่าเป็นคำพูดของใคร

"สิ่งที่เราทำเพื่อตัวเราเอง จะตายไปกับตัวเรา"
"แต่สิ่งที่เราทำเพื่อผู้อื่น จะอยู่เป็นอมตะตลอดไป"


พูดประมาณนี้แหละ และเป็นความจริง แน่นอน เมื่อเราตายไป เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่ตัวเราเอง
สิ่งที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ ก็มีเพียงการกระทำที่เราทำ ๆ กันเนี่ยแหละ

เอื่อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ต่อมนุษย์และสัตว์ แล้วก็ต่อธรรมชาติ
หรือทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและเงินทอง โดยไม่สนใจสิ่งอื่น ๆ

ชีวิตมันสั้นนะ พวกคุณ ๆ อยากให้โลกนี้จดจำคุณแบบไหนกันละ

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พลังแห่งความคิด กับ The Lost Symbol

ผมเป็นคนที่เชื่อว่า หากเราสนใจในสิ่งใด สิ่งหนึ่ง อย่างจริง ๆ จัง ๆ ในช่วงเวลาใด เวลาหนึ่ง
เราจะเจอกับสิ่งนั้น ๆ เสมอ

ผมเพิ่งอ่าน The lost symbol หนังสือของแดน บราวน์ เล่มใหม่จบ สิ่งที่ผมอ่านเจอในหนังสือ ก็เป้นเรื่องที่ผมกำลังสนใจอยู่พอดี
อย่างเรื่อง Dante Inferno ที่เขียนโดย ดานเต แล้ว ก็เป็นแนวการสร้างเกม ที่ผมเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ ก็อ่านพบในหนังสือเล่มใหม่นี้ หรือเรื่องเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ผมเอามาเขียนเอามาวิเคราะห์ บ่อย ๆ
ก็เจอว่าเป็นแนวความคิดที่คล้าย ๆ กันกับที่หนังสือเล่มนี้สรุปออกมา
หรือเอาที่เห็นชัดกว่านี้ วันไหนที่มีคนปรึกษาผมเรื่องปัญหา อะไร ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง หรือเรื่องส่วนตัว
ก็มักจะเจอสิ่งเดียวกันนั้น เข้ามาบ่อย ๆ ในช่วงนั้น
ผมจึงเชื่อในเรื่องของพลังความคิดนะ ถ้าเราคิดอย่างมั่นคงแน่วแน่ แล้ว มักจะดึงดูดให้สิ่งนั้น ๆ เกิดขึ้นจริง หรือ มีโอกาสที่จะพบเห็นจริง ๆ เสมอ แค่ความคิดนี่แหละ ที่เปลี่ยนแปลงโลกนี้มานักต่อนักแล้ว..
หรือเคยรู้สึกไหมว่า รู้สึกหดหู่ เวลาอยู่ใกล้ ๆ คนที่กำลังมีความทุกข์ หรือไม่สบายใจ แล้วก็รู้สึกสดชื่น เวลาอยู่ใกล้ ๆ คนที่อารมณ์ดี
อาจเป็นเพราะความคิดของคนเหล่านั้น ส่งออกมาเป็นอารมณ์แบบเดียวกัน แผ่ออกรอบ ๆ ตัวเขา
เมื่อพิจารณาดูแล้ว จะเห็นว่า หากอยู่ในคนหมู่มากที่มีความเห็นไปในทางเดียวกันแล้ว
หากว่าความคิดและจิตใจของผู้ที่เห็นต่างนั้น ไม่มั่นคงเข้มแข็งพอ โอกาสของคนที่เห็นต่าง ที่จะเปลี่ยนเป็นเห็นตรงกับคนส่วนใหญ่ ก็เป็นไปได้สูง เพราะพลังความคิดของคนจำนวนมากชักจูงไปได้นั่นเอง
หากเราบริหารความคิด บริหารสมอง โดยการคิด และวิเคราะห์อยู่บ่อย ๆ อาจจะทำให้เราได้พบอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิตเราเองด้วย แต่คงต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และปัจจัยอื่น ๆ ด้วยนะ
เมื่อคิดแล้ว ก็อย่าเอาความคิดว่าน่าจะเป็น น่าจะเอา เข้ามาปนอยู่ในความคิดมากนัก มันจะทำให้เรายึดติด เมื่อยึดติด ก็ไม่อาจเข้าใจ ถึงสาเหตุของทุกข์ได้นะ ความสุขที่แท้จริง ความจริง ที่จริงแท้ย่อมไม่เกิดขึ้น
มั่นคงในความคิดตัวเอง โดยผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ ตามความเป็นจริง
แล้วเราจะมีหลักที่ปักยึด เพื่อดำรงอยู่ในสังคมนี้ อย่างถูกต้อง และเป็นจริง