วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

เห็ดโคน เขาว่าเจอแล้วจะโชคดี

เกือบจะหมดเดือนกันยายนแล้ว ใกล้จะขึ้นปีใหม่เข้าไปอีกเดือน สำหรับใครที่เฝ้ารอว่าเมื่อไร่จะถึงปีใหม่ ก็คงรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ส่วนใครที่ไม่ได้คอยก็รู้สึกว่ามันเร็วนะ อย่างที่เคยบอกไปแล้ว เวลามันไม่ได้คงที่เหมือนนาฬิกานะ ถ้าอยากให้มันเร็วก็อย่าไปสนใจมัน หรือถ้ามีความสุขเวลามันก็วิ่งเร็วเหมือน ๆ กัน
วันเสาร์ที่ผ่านมาตอนเช้า ระหว่างที่กำลังมองดูกล้วยไม้ ต้นไม้ใบไม้ที่บ้าน พอมองไปที่พื้นดินแถวนั้น สายตาก็ไปสะดุดกับสีเทา ๆ ตุ่น ๆ รูปทรงรี ๆ บ้าง เหมือนจานบ้าง กระจายตัวอยู่ ก็ดีใจซิครับ มันคือเห็ดโคน เยอะแยะเชียว ไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่เคยมีเห็ดโคนนะ มันก็ขึ้นของมันทุกปีแหละ ในสวนก็เยอะ ตรงที่มันขึ้นนี่ก็เคย พอไปเปิดแผ่นกระเบื้องหลังคาที่วางไว้ข้าง ๆ นั้น ก็เจออีก... พร้อมด้วยรังปลวก.. ก็นะ ถ้าเจอเห็ดโคน แสดงว่าแถว ๆ นั้นรังปลวกอยู่ คราวนี้เป็นกับตาเลย เห็ดโคนมันออกมาจากรังปลวกตรง ๆ เลย ถ้าเรารู้จักอยู่ร่วมกับมันบ้าง ก็มีประโยชน์ร่วมกันได้ละนะ โลกนี่ไม่มีอะไรที่มีประโยชน์ หรือมีโทษ อย่างเดียวหรอก

พอเจอเห็ดก็เก็บซะ คิดขึ้นมาได้ว่า จะเอามาทำอะไรกินละ เลยเดินไปตามแม่มาเก็บต่อ แล้วก็ให้แม่ไปทำกับข้าวหมดเลย แม่ก็ว่าเจอเห็ดโคนเนี่ย เขาว่าจะโชคดี แน่ละ ถ้าเจอก็เอามาทำอาหารกินได้ เป็นโชคดีอย่างแรก แต่ถ้าเจอเยอะมาก ๆ จนกินไม่ทันเอาไปขายก็โชคดีอย่างที่สอง ถือว่าเป็นโชคสองชั้นเลยนะ สรุปว่าแม่เอาไปต้มน้ำปลา พ่อก็ชอบ แม่ก็ชอบ ผมก็มีความสุข กรุงเทพฯ ในบ้านตัวเอง มีเห็ดโคน จะหาบรรยากาศแบบนี้ได้ที่ไหน เก็บได้ พ่อกับแม่กินอร่อย แล้วผมก็มีความสุขไปด้วย ยังมีเห็ดอีกหลายอย่างที่ขึ้นที่บ้าน จากนี้ว่าจะเก็บข้อมูลเห็ดที่ขึ้นที่บ้านบ้างละ เผื่อจะมีประโยชน์..

พอสาย ๆ ก็ทำต้นไม้ จะเอาไปให้คุณป้าที่เคารพนับถือกัน ในโอกาสขึ้นบ้านใหม่ เมื่อวันศุกร์ ไปซื้อต้นไม้ที่เทเวศร์มา ได้ต้นพลูลงยา ใบสวย คุยกันกับคุณลุงคุณป้าเจ้าของร้าน หลายเรื่อง เรื่องต้นพลูลงยา เรื่องกล้วยไม้ คุณลุงแกก็ว่าแกเป็นลูกศิษย์อาจารย์ระพีด้วย ผมก็เลยว่าคงต้องไปคุยกันบ่อย ๆ หาความรู้เพิ่มเติมซะหน่อย ไว้จะถ่ายรูปพลูลงยา มาให้ดูกันนะ
เอาพลูลงยา 2 กระถางมาใส่ในกระถางใหญ่แบบแขวนได้ เพราะมันเลื้อยขึ้น หรือย้อยลงไปก็ได้นะ กระถางนี้จะเอาไปให้เขา ส่วนอีกต้นก็ลงในกระถางเหลี่ยมทรงสูงหวังจะให้มันย้อยลงเป็นหลัก ของแบบนี้ต้องลอง ยังไงก็เป็นการปลูกครั้งแรก เป็นกรณีศึกษาน่ะ กระถางแขวน เดี๋ยววันอาทิตย์ค่อยเอาไปให้เขา ตอนเย็น ๆ ก็ออกไปซื้อปลากัดมาใส่บ่อน้ำที่บ้านไว้บ่อละตัว หวังว่าคงอยู่รอดนะ เจ้าปลากัดน้อย พอวันอาทิตย์ก็เข้าสวนไปหาปลากิม กับพวกแมดงน้ำมาใส่บ่อเป็นเพื่อนเจ้าปลากัด แล้วก็เก็บเอาจอกมาใส่ไว้ด้วย เอาไว้ให้เป็นที่หลบแดดของเจ้าปลา ๆ ทั้งหลาย ตอนเย็นก็เอาพลูลงยาไปให้คุณป้าตามที่ตั้งใจไว้สำเร็จไปอีกหนึ่งเรื่อง พอตกมืดฝนตกหนัก ฟ้าคะนอง เลยไม่ได้เปิดโทรทัศน์ ซึ่งก็ไม่ได้เดือดร้อนนะ ยังไงผมก็ชอบอ่านหนังสือมากกว่าอยู่แล้ว

นั่งอ่านได้ซักพัก ง่วงเลยนอนเร็วเลย มาตื่นอีกทีตอนตีสอง ด้วยเสียงเจ้ามาวินเห่าดังมาก ส่วนเจ้าสองมะยังเงียบ ๆ อยู่ แสดงว่าไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าเข้ามาในซอยละ เลยรีบลงไปดูที่บ้านพี่ เจอเลย เจ้ามาวินกำลังเห่าใส่ลูกแมวตัวเล็ก ๆ อยู่ ลูกแมวมาจากไหน? ฝนก็ตกจนเจ้าแมวน้อยเปียกโชกไปหมด เจ้ามาวินก็เห่าไม่ยอมหยุดจนพี่ชายลุกมาช่วยกันแยกเจ้ามาวิน และล้อมจับเจ้าแมวน้อย กว่าจะจับได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมง ดูมันอ่อนแอ น่าจะหลงกับแม่มันนะ ไม่รู้นานรึยัง หวังแต่คงไม่ใช่มีคนมาปล่อย
เพราะถ้าเอามาปล่อยก็เรียกได้ว่าชั่วจริง ๆ พอจับได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มันเสร็จ ปัญหาต่อมาคือ แล้วจะเอาไปไว้ที่ไหนละ บ้าานพี่ก็เจ้ามาวิน บ้านผมก็เจ้าสองมะ เลยเอาไปใส่กรงไว้ที่บ้านแม่ละกัน มีแมวตั้ง 5 ตัว แม่มาบอกด้วยว่าเก็บลูกแมวได้.. บอกแม่ว่านี่ไงโชคมาแล้ว แม่งัวเงียอยู่
คงไม่เข้าใจนะว่า ผมหมายถึงเหมือนที่แม่บอก เจอเห็ดโคนจะโชคดี นี่ไงได้แมวมาตัวหนึ่ง ได้โชคเป็นสัตว์สี่ขา หวังว่ามันจะแข็งแรงพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นะ ผมก็คงช่วยได้เท่านี้แหละ เดี๋ยวเย็น ๆ ค่อยไปดูมันอีกที..

เพราะเรียนรู้ที่จะใช้เวลา จึงไม่มีช่วงเวลาใดที่เนิ่นนานเกินไป
เพราะเรียนรู้ถึงการอยู่ร่วมกัน จึงได้มีโอกาสเจอสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน
เพราะเรียนรู้ที่จะใส่ใจสิ่งเล็กน้อย จึงได้มีโอกาสช่วยชีวิตเล็ก ๆ อีกชีวิตหนึ่ง

อย่าปล่อยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านไป โดยไม่สังเกตุ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจนไม่อยากอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เวลาจะได้ไม่มีความสำคัญ
อยากเจอเห็ดโคนอีก แต่ไม่อยากได้ลูกแมวแล้วนะ...

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

เงาม่าน

เมื่อวันก่อนอยู่บ้านนี้มาครบสองปีแล้ว ลงทุนลาพักร้อนมาเก็บกวาดเช็ดถูบ้าน... ซักผ้าม่าน มุ้งลวด...
บ้านดูสว่างขึ้นมามากเลยทีเดียว.. แล้วเป็นวันพระพอดี ตกกลางคืนก็สวดมนต์ไหว้พระตามปกติ จังหวะที่เปิดหน้าต่าง ก็เห็นภาพสวย ๆ
ครอบครัวนกเขาเกาะนอนกันอยู่บนกิ่งขนุน.. พ่อแม่อยู่ด้านนอก ลูกสองตัวอยู่ตรงกลาง.. ดูแล้วสวย น่ารักดี เลยถ่ายรูปซะหน่อย..
รู้อยู่ว่านกเขาเป็นนกที่รักเดียวใจเดียว แต่เพิ่งรู้ว่ามันดูแลลูกช่วงที่โตแล้วด้วย.. ดูเป็นตัวอย่างเอาไว้นะ ไอ้พวกมนุษย์ทั้งหลาย..
ที่มองเห็นครอบครัวนกเขานี่ ไม่ใช่ไม่เคยเปิดหน้าต่าง แต่เวลาเปิด เงาจากผ้าม่านมักจะปิดบังส่วนนี้ไป ทำให้ไม่เคยเห็น แต่วันนี้ผ้าม่านถอดไปซักทำให้มองเห็นได้
บางทีคนเราถ้าถอดสิ่งที่บังตาบังใจออกไปได้บ้าง คงจะมองเห็นสิ่งใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นนะ.

เมื่อวานจนถึงเมื่อคืนฝนตกตลอด อากาศดีมาก อย่างที่เคยบอกผมชอบฝนตก.. ช่วงเย็นจนมืดก็ไปช่วยแม่ทำน้ำพริกขนมจีน ที่แม่จะทำเฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น
ครั้งนี้ก็พิเศษ เพราะคุณป้าที่เคารพนับถือกันมานาน ขอให้ทำให้ในงานขึ้นบ้านใหม่ แม่เลยต้องเกณฑ์ ลูก ๆ หลาน ๆ มาช่วยกันทำ ยังคงใช้ครกทำเครื่อง ไม่ใช่เครื่องปั่น.
ความอร่อยของน้ำพริกนั้นต่างไปจริง ๆ นะครับ แต่ไม่เหมาะกับการทำเป็นการค้านะ เพราะมันใช้เวลานานและละเอียดอ่อน ถ้าทำขายคงต้องราคาสูงกว่าที่อื่น ๆ
ในสังคมบ้านเราที่ชอบแต่ของถูกไม่สนใจเรื่องคุณภาพแล้ว อาจจะไม่มีลูกค้าก็ได้ แต่ศึกษาไว้ก่อน อีกหน่อยเผื่อเอามาทำเป็นอาชีพ ทางเลือก ของผมอีกอาชีพหนึ่ง
ว่ากันเรื่องของถูก ใคร ๆ ก็ชอบ ผมเองก็ชอบ แต่อย่างว่าแหละ คุณจะหาของถูกแล้วก็ดีจริง ๆ จากไหน
เวลาที่คนเราซื้ออะไร เปลี่ยนการตัดสินใจจากราคาถูก เป็นราคาเหมาะสมกับคุณภาพคงจะดีกว่านะ ผู้ผลิตก็มีกำลังใจที่จะทำของดี ๆ ออกมา
เหมือนที่บางคนบอก ที่ญี่ปุ่นของดีที่สุดจะขายในประเทศ ส่วนของดีรองลงมาจะส่งขายต่างประเทศ ตรงข้ามกับประเทศเรา ที่เอาของดีที่สุดส่งขายต่างประเทศ แล้วเอาของรอง ๆ ลงมาขายให้คนในประเทศ
อย่าโทษผู้ผลิตเลย เพราะค่านิยมผิด ๆ ที่สังคมเราปลูกฝัง น่าจะช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมแย่ ๆ ในสังคมเรากันได้แล้ว

อย่างวันก่อนผมไปเดินซื้อแผ่นเพลง ได้มา 3 แผ่น เพื่อนไปด้วยกันเห็นผมซื้อก็ว่าไม่ใช่แนว.. ด้วยเคยพูดเรื่องลิขสิทธิ์กับเพื่อนไปหลายครั้งแล้ว ก็ได้แต่ยิ้ม ๆ จนถึงที่สุด การเปลี่ยนความคิดและค่านิยมในสังคมบ้านเราอาจต้องรอให้หมดไปซักสองช่วงอายุคนนะ กว่าจะถึงตอนนั้น เพื่อนบ้านเราคงก้าวข้ามเราไปหมดแล้ว เพราะสังคมบ้านเราปล่อยให้สิ่งผิด ๆ บังตาบังใจ โดยอ้างว่าคนอื่นเขาทำกัน.. ถ้าปลดสิ่งผิด ๆ ออกจากจิตใจกันบ้างก็ดี.

เมื่อคืนเจ้าสองมะ เห่าผิดปกติ ออกไปดูครั้งนึงได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งไปอย่างเร็ว  แต่ไม่เห็นอะไร ออกมาดู สองสามครั้ง ทั้งคืน เช้ามา เจอเหตุการณ์รถที่จอด ก่อนถึงบ้านซักสิบเมตร โดนทุบเอาของในรถ ถึงไม่ได้จอดในบ้าน แต่จอดในซอยนะ ไม่ใช่ถนนใหญ่ ไม่ใช่ทางผ่าน โจรมันจะเอามันยังกล้า.. ไม่รู้จะพูดยังไง กับพวกขโมยนี่ เลวจริง ๆ สงสารแต่พี่เขา สงสัยว่าคราวนี้เวลาเจ้าสองมะเห่ากลางคืนต้องดูให้ทั่วถึงหน่อยแล้ว..

ถ้าว่าง ๆ ก็ลองปลดผ้าม่านที่บังตาบังใจของตัวเองออกบ้างนะ อาจะได้เห็นครอบครัวนกเขาน่ารัก ๆ แล้วก็ความจริงและสิ่งงดงามต่าง ๆ เพิ่มขึ้น..

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ความว่างเปล่ามันบอกว่าเท้าอยากออกเดินทางอีกแล้ว...

เพราะเป็นนักเดินทางมาตลอด ระยะทางที่เดินทางน่าจะเกินกว่า 40000 กิโลเมตร ไปแล้ว.. พูดได้ว่าคงเกินกว่าเส้นรอบวงของโลกเราไปแล้ว
เดินทางแทบไม่เคยหยุดนิ่ง.. ไปในหลากหลายสถานที่ ไปเที่ยวบ้าง ไปทำงานบ้าง ไปที่ซ้ำ ๆ บ้าง ไปที่ใหม่ ๆ บ้าง ประสบการณ์ที่ได้รับมีค่ามากมาย
ถึงแม้ว่าการเดินทางจะทำให้เกิดความเสียหายทางด้านการเงินมาเสมอ ๆ แต่ก็เทียบไม่ได้กับประสบการณ์ที่ผมได้รับ
โลกนี้คงมีคนจำนวนไม่มากนัก ที่จะมีประสบการณ์ในการเดินทางแบบผม ยิ่งในประเทศของเราคงยิ่งน้อยลงไปอีก

เพราะการที่ไม่เคยหยุดนิ่ง จึงเหมือนกว่าการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต.. ต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ พบเจอสิ่งใหม่ ๆ เป็นอาหารที่หล่อเลี้ยงจิตใจ ให้เต็มอิ่มอยู่ตลอดเวลา
และเพราะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พยายามเป็นนักเดินทางอีก... ลงหลักปักฐาน ตั้งหลักให้กับชีวิต เพื่อดูแลครอบครัวและคนที่ผมรัก.. จึงลดการออกเดินทางจนน้อยลงไปมาก

หลายวันมานี่ จากการที่ได้รับประสบการณ์ที่ค่อนข้างไม่ได้จากมนุษย์ทั่ว ๆ ไป ทั้งการเอาเปรียบ การเห็นแก่ตัว..
ทำให้รู้สึกแปลก ๆ โหวง ๆ ว่างเปล่า ขึ้นมาข้างใน ประทุขึ้นมาอีกครั้ง เป็นความรู้สึกที่บอกให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ แต่ตัวเองเข้าใจว่าเป็นความรู้สึกที่อยากออกเดินทางอีกครั้ง
ช่วงเวลาเกือบ 3 ปีหลังจากการลงหลักปักฐานที่ผ่านมา กับการเดินทางประมาณ 10 ครั้ง คงไม่เพียงพอที่จะช่วยเยียวยา อาการโหวง ๆ ว่างเปล่า นี้ได้..
ทุกครั้งที่เกิดอาการนี้ ถ้ามองหน้าคนที่เรารัก อาการที่ว่าก็มักจะเจือจางลง แต่สองวันมานี้รู้สึกว่าอาการจะค่อนข้างหนัก

ถ้าได้ออกเดินทางบ้างคงจะทำให้รู้สึกดีขึ้นละมั้ง..

คงต้องหาเวลาออกไปแสวงหาประสบการณ์ กับสถานที่ใหม่ ๆ กันบ้างแล้ว
เอาประสบการณ์ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มาเยียวยารักษาอาการว่างเปล่า ที่เกิดขึ้นข้างในตัวผมอีกครั้ง
และคงต้องในเร็ว ๆ นี้แหละนะ แล้วจะเอาเรื่องราวใหม่ ๆ มาฝากกัน.
เมื่อก่อนเดินทางคนเดียวรูปภาพที่บันทึกไว้ส่วนใหญ่จึงมีรูปของตัวเองน้อยมาก แต่การเดินทางคร้งนี้จะเปลี่ยนไปละ..
คนเดียวหัวหาย (ไม่ค่อยมีรูป) สองคนเพื่อนตาย (ผลัดกันถ่ายรูปได้)

เพราะชีวิตมันสั้นนัก เปิดหู เปิดตา เปิดใจ เพื่อซึมซับเอาความรู้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่จะได้จากการเดินทางกันเถอะนะ

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

แค่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน.

วันนี้ได้ไปบริจาดเกล็ดเลือดมา เลยตามมาด้วยอาการง่วง ๆ ไม่ค่อยปกติ.. ทำงานได้ช้ากว่าเดิมนิดหน่อย ประกอบกับอยู่ในช่วงอาการเบื่อ ๆ เลยพาลไม่อยากทำงานปกติไปซะอย่างนั้น
เอาน่ะใครที่รู้จักผมแล้วเห็นผมไม่ค่อยปกติช่วงนี้ก็อย่าถือสาหาความกันเลยละกัน กำลังปรับอารมณ์อยู่น่ะ
 
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมามีแผนที่จะทำอะไร ๆ ที่บ้านหลายอย่าง ทั้งการทำชั้นวางของเพื่อเก็บอุปกรณ์ใต้บันได ทำประตูกั้นบันไดใหม่ ไว้กันเจ้าสองมะแผลงฤิทธิ์ ขึ้นบ้าน
แล้วก็ตัดแต่งการะเวกที่ออกแผ่เต็มให้ออกจากซากมะม่วง ใจจริงไม่อยากตัดกิ่งมันเยอะอย่างนี้หรอกนะ แต่เกรงว่ามันจะรั้งเอาต้นมะม่วงที่ยืนต้นตายน่ะล้ม เลยจำเป็น
ประกอบกับเวลาที่พุ่มการะเวกนี้อยู่มืด ๆ เจ้าสองมะ มักจะไปเห่า แล้วก็ตะกุย ๆ ตรงใต้ต้นประจำเลย ไม่แน่ใจว่ามันเห็นอะไร เลยเอาออกซะก่อนดีกว่า
ประกอบชั้น กับทำประตู ใช้เวลาเต็ม ๆ วันเสาร์ เช้า ยันมืด วันอาทิตย์ค่อยทำต้นไม้ เสร็จก็ปรากฎว่าหมดแรงกันไปเลย ไม่ได้ใช้แรงจนหมดตัวมานานแล้ว...
ตอนนี้ก็กำลังคิดว่าสุดสัปดาห์นี้จะทำอะไรดีอยู่...
ตอนที่ทำชั้นเพื่อจัดของที่อยู่ใต้บันไดใหม่ พอรื้อของออกก็เจอปลวก เยอะแยะไปหมด ปลวกมันก็ทำมาหากินของมันไปตามธรรมชาติน่ะนะ มันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก
แต่บังเอิญว่ามันเข้ามาทำให้ที่พักอาศัยของเราจะมีปัญหาเอาน่ะซิ ว่ากันถึงเรื่องปลวกนี่ ก็เป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ได้ร้อยเปอร์เซนต์หรอกนะ
ตอนแรกที่ทำบ้านก่อนจะทำพื้นก็ราดน้ำยาฆ่าปลวกที่เป็นสมุนไพรไว้  ผ่านมาไม่กี่เดือนปลวกก็เข้ามาจัดการประตูตู้ซิงค์ในครัวชั้นล่างซะแล้ว..
พอบ้านพี่ชายจ้างบริษัทกำจัดปลวกมาดูแล มีการอัดน้ำยาลงดิน ก็กลายเป็นว่าปลวกออกมาจัดการซะต้นมะม่วงตายเลย.. ถึงจะมีบริการมาตรวจและฉีดเพิ่มทุกเดือน ปลวกก็ยังมีอยู่รอบบ้าน
อาจเป็นเพราะบ้านผมมีส่วนที่เป็นพื้นดินเยอะ ปลวกเลยมีที่อยู่เยอะ ล่าสุดก็ลองไปเอาไส้เดือนฝอย ที่กรมวิชาการเกษตร วิจัยแล้วว่าจัดการปลวกได้มาลองดู คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะได้ผลเป็นยังไง
ไม่ได้คาดหวังว่าปลวกจะหมดไปจากดินที่บ้านหรอกนะ แค่ให้พวกมันอยู่เป็นที่เป็นทางก็พอ อย่ามาวุ่นวายกับต้นไม้ กับบ้านของผมก็ละกัน
ถ้าพูดว่าปลวกมารุกรานบ้านของเราก็ไม่ถูกนัก เพราะเราอาจเป็นฝ่ายไปปลูกบ้านทับที่อยู่ของพวกมันต่างหาก
ก็คงได้แต่พยายามตรวจสอบ ป้องกัน และแก้ไขเป็นครั้งคราวไปนะ เพราะหากใช้สารเคมีเพื่อกำจัดปลวกตลอดเวลา สารเคมีมันก็จะย้อนมากำจัดเราเองอยู่ดี ผมเลยเลือกที่จะใช้พวกสมุนไพรหรือธรรมชาติ
ส่งผลช้าแต่ปลอดภัยกว่า.. แนะนำใครที่อยากลองกำจัดปลวกอย่างปลอดภัย ลองใช้สมุนไพรสกัด หรือไม่ก็ไส้เดือนฝอยดูครับ หาซื้อได้ที่ กรมวิชาการเกษตรครับ
จริง ๆ แล้วมนุษย์อย่างเรา ๆ นี่แหละที่ไปรุกรานสัตว์อื่น ๆ นะ เข้ามาตัดทำลายป่า เพื่อเอาพื้นที่มาปลูกสร้างบ้าน ทำลายบ้านผู้อื่น เพื่อเอามาสร้างบ้านของตัวเอง
แล้วก็พยายามจะอ้างว่าสัตว์อื่นต่างหากที่มารุกราน... อย่างคนที่ทำไร่ แล้วมีสัตว์ป่ามารบกวน อาจเป็นเพราะก่อนหน้าที่คนจะเข้าไปทำไร่ ที่ตรงนั้นเป็นบ้านของสัตว์นั้น ๆ อยู่ก็ได้นะครับ
 
เพราะวันนี้เป็นวันที่ 1 กันยายน ครบรอบ 20 ปีที่คุณสืบ นาคะเสถียร เสียชีวิต คุณสืบ เป็นมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ผมศรัทธาและเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผม
อยากให้พวกมนุษย์คิดกันใหม่นะ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่าเอาตัวเองไว้ตรงกลาง
รู้จักการอยู่อาศัยแบบพึ่งพากัน รู้จักการอยู่ร่วมกัน เพื่อให้โลกของเราดีขึ้น
มนุษย์ก็เป็นสัตว์ ปลวกก็เป็นสัตว์ เจ้าสองมะ ก็เป็นสัตว์
หากมนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับสัตว์อื่น ๆ ตัวมนุษย์เองนั่นแหละที่จะรู้สึกว่าทุกข์น้อยลง..
 
อย่าหาวิธีที่จะมีความสุขเลยนะ หาวิธีที่จะลดความทุกข์ลงดีกว่า
แค่มองโลกให้กว้าง ๆ พยายามเข้าใจผู้อื่น และสัตว์อื่น เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน อย่าเอาความหวังไปวางไว้ที่คนอื่น
แล้วก็อย่าเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง แค่นี้ชีวิตก็ทุกข็น้อยลงแล้ว...