วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

ยูไทโฟร

สี่ห้าวันมานี่ อ่านเรื่องวิธีการของโสกราตีส (ยูไทโฟร) แต่งโดย เปลโต แปลโดยคุณส.ศิวรักษ์ จบแล้ว กำลังจะเริ่มอ่าน โสกราตีสในคุก (ไครโต) อยู่
เคยได้ยินเรื่องแล้วก็ปรัญชาของโสกราตีสมานานแล้ว แต่ยังไม่เคยอ่านจริง ๆ จัง ๆ เสียที พอได้อ่านรู้สึกว่า อืม... คน ๆ นี้นี่ฉลาดสุด ๆ คิดได้ไง คำถามแบบนี้นี่ "สุทธิธรรม" กับ "อสุทธิธรรม" ต่างกันยังไง สามารถอธิบายแก้ไขคำตอบของอีกฝ่ายได้หมด เก่งสุด ๆ คนเราจะมีความคิดตั้งคำถามแบบนี้ได้นี่ คงต้องมีทั้งประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ เป็นอย่างยิ่งยวดเลยนะ
ในหนังสือ นอกจากเรื่องของโสกราตีส คุณส.ศิวรักษ์ ยังมีข้อมูลในส่วนของกรีกโบราณประกอบด้วย ทั้งเอเธนส์และสปาตา ก็ถ้าใครดูหนังเรื่อง 300 ในหนังสือเล่มนี้ก็มีกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ด้วยนะ
ก็ขอขอบคุณคุณส.ศิวรักษ์อย่างจริงใจ ที่ได้แปลหนังสือดี ๆ ออกมาให้ได้อ่านนะครับ ลำพังปัญญาอย่างผมคงไม่มีโอกาสอ่านต้นฉบับภาษากรีกเป็นแน่ แค่ภาษาอังกฤษก็หน้ามืดแล้วครับ

อ่านแล้วมองย้อนมาดูตัวเองและสิ่งรอบตัว ก็เห็นว่าตัวเองก็มีคำถามต่าง ๆ เยอะแยะอยู่ในหัว แต่ก็ไม่รู้จะถามใครดี เพราะวงการที่ผมอยู่มันก็ไม่มีผู้รู้ในเรื่องต่าง ๆ มากมาย คงจำกัดความรู้เฉพาะทางเท่านั้น แล้วแนวการอ่านหนังสือ ก็คงเป็นในแนวทางเดิม ๆ ไม่ทดลองหนังสือแนวอื่น ๆ บ้าง ทำให้ยากในการพูดคุยสอบถามเข้าไปอีก มีอยู่ช่วงนึงที่ทางเว็บ cm77 มีเว็บบอร์ดไว้คุยกับครูมาลา คำจันทร์ ได้ ก็ได้อาศัยสอบถามสิ่งที่สงสัย ได้ความรู้มากมาย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เลยไม่รู้จะถามกับผู้รู้คนไหนอีก หากสงสัยก็ต้องอาศัยอินเตอร์เน็ตนี่แหละ หลาย ๆ แหล่ง เปรียบเทียบเอาเอง
หากเป็นในสมัยก่อน หรือในสมัยโสกราตีส คงมีผู้รู้อยู่รวม ๆ กันมากมาย สามารถสอบถามข้อสงสัยได้อย่างง่ายดายนะ คิดแล้วก็อิจฉาคนสมัยก่อนนะเนี่ย

เขียนอะไรไม่ค่อยออก เพราะความคิดยังกระจัดกระจายจากการอ่านหนังสืออยู่ วันนี้เอาแค่สั้น ๆ แล้วกัน
คนเราจะตัดสินคนอื่นจากอะไร? คนดีกับคนเลวนี้ ต่างกันไหม หากอยู่ในสถานการณ์หรือช่วงเวลาที่ต่างกัน?
อยากคุยคำถามพวกนี้และอื่น ๆ อีกมากมายในหัวกับโสกราตีสจริงเลย

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

กระวนกระวายจากความอยาก

ตั้งแต่กลับจากต่างจังหวัด รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอยังไงไม่รู้ สมองตื้อ... กินอะไรก็ไม่อร่อย
เพิ่งรู้สึกดีขึ้นเมื่อวาน หิวทั้งวัน... วันนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายเป็นปกติละ สมองกลับมาปลอดโปร่งเหมือนเดิมแล้ว
ก็มาเขียนบันทึกกันต่อไปได้แล้ว..

เมื่อวานพออาการดีขึ้น ก็รู้สึกว่าเครื่องเสียงที่บ้านเสียงไม่ค่อยดีเลย อยากเปลี่ยน ทั้งที่เครื่องเสียงที่บ้านก็เป็นระดับ 1bit นะ ไม่ได้ซื้อในราคาเต็มหรอก รอเขาโละ ค่อยซื้อมา ความรู้สึกจริง ๆ ก็ว่าเสียงแค่อยู่ในระดับโอเคนะ แต่ช่วงหลัง ๆ ก็ฟังเครื่องเสียงจากที่อื่นบ้าง ฟังคนอื่นวิจารณ์เครื่องรุ่นนี้บ้าง ทำให้รู้สึกไม่พอใจไปด้วย อยากจะเปลี่ยน แต่เมื่อวานพอช่วงบ่าย ๆ ก็คิดกลับมาได้ว่า ทำไมต้องไปฟังคำคนอื่นนะ ใจเราบอกว่าใช้ได้ ก็หมายความว่าใช้ได้ซิ ถึงจะไม่ดีเลิศ ก็ไม่เป็นไร แค่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ก็พอ พอคิดได้แล้ว ก็สบายใจขึ้นเองนะ เลิกอยากเปลี่ยนเครื่องเสียงแล้วละ

ต่อมาก็มีความรู้สึกอยากได้ PS3 ขึ้นมาอีกแล้ว กิเลสส่วนนี้คงตัดได้ยากจริง ๆ นะ เพียงแต่ผมยังชะลอมันออกไปอีกได้ ไม่ใช่คนเดิมเมื่อ 4-5 ปีก่อน อีกแล้ว ที่จะเอาอะไร ก็ไปซื้อเลย โดยไม่ศึกษาหรือตรวจดูความต้องการของตัวเองให้ดีก่อน แต่คราวนี้คิดเรื่อง PS3 มาปีกว่า ๆ แล้ว ตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อ แต่รอดูวิธีก่อนว่าจะเลือกซื้อในลักษณะไหนดี คิดเสียว่าเป็นรางวัลให้กับชีวิตก็ละกัน ชีวิตนี้ให้คนอื่นมาเยอะแล้ว ให้กับตัวเองบ้างจะเป็นไรไปนะ คิดได้แล้วก็สบายใจละ เพราะไม่ได้ตั้งไว้ว่าจะซื้อเมื่อไหร่ แค่คิดว่าซื้อแน่ ๆ เท่านั้นเอง คิดเสร็จ เมลล์ไปบอกแฟนว่าอยากได้ แฟนตอบกลับมาเลย ว่าเดี๋ยวสิ้นเดือนซื้อให้ โอ.... น่ารักใช่ไหม แค่บอกจะซื้อให้ก็ซึ้งมากแล้ว ยังไงก็ซื้อเองแหละ เพียงอยากให้เขามีส่วนร่วมในชีวิตส่วนตัวของเราเท่านั้นเอง แค่เขาเห็นด้วย ก็มีความสุขมาก ๆ แล้ว

ความอยากทั้งสองอย่างที่เขียนไว้ข้างบนนี่ ไม่ได้เป็นความอยากที่เป็นทุกข์แล้ว หมายถึง เป็นความอยากที่ไม่สร้างความกระวนกระวายให้กับผมเลย เพียงแต่สร้างความสงสัยในตัวเองเพิ่มขึ้นเท่านั้น แล้วเมื่อตอบคำถามให้กับตัวเองได้ มันก็สลายไปเอง ได้คำตอบที่ถูกต้องสำหรับตัวเอง ถึงจะไม่ถูกใจคนอื่นก็เถอะ

เมื่อวานยังมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกดี ๆ ขึ้นหลายอย่าง อย่างนึงคือ การที่นำเสนองานโครงการใหม่ แล้วปรึกษากับผู้ใหญ่ แล้วเขาให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ อย่างที่เรียกได้ว่าคาดไม่ถึงกันทีเดียว คำปรึกษาที่ได้จากประสบการณ์ของผู้ที่ผ่านโลกมามากนั้นเป็นประโยชน์มาก ๆ เลยนำมาปรับปรุงกับงานเพื่อความสมบูรณ์ขึ้น
ถึงแม้ว่าตัวผมคนปัจจุบัน จะไม่ใช่คนที่เห็นตัวเองเก่งกว่าคนอื่นเสมออีกแล้วก็ตาม แต่หลาย ๆ ครั้งงานที่นำเสนอมักเกิดปัญหาการตามไม่ทันของทั้งผู้ใหญ่และน้อง ๆ เลยทำให้เผลอคิดไปบ้างว่าพวกเขาช่างไม่ตามโลกบ้างเลย ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น ตัวผมในปัจจุบันนี้รู้ดีว่าไม่มีใครเก่งทุกอย่างหรอก ผมอาจจะทำงานที่ตัวเองทำเก่ง แต่ปลูกข้าวไม่เป็น อาจขี่จักรยานเก่ง แต่พายเรือสู้ชาวประมงไม่ได้ อาจปลูกกล้วยไม้ได้ดี แต่ทำอาหารสู้แฟนไม่ได้เลย การที่ผมเผลอคิดดูถูกคนอื่น นั้น ทำให้รู้สึกละลายใจมากที่ ยังสลัดความคิดแบบนี้ไปไม่หมด แต่เชื่อว่าวันนึงมันจะหมดไปได้จริง ๆ
ที่พูดได้แบบนี้นั้น ยืนยันว่าคนเรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง เหมือนที่ผมเป็น เหมือนที่เพื่อ ๆ เป็น
คนทุก ๆ คนสามารถเป็นได้ ถ้าตั้งใจจริง

ความอยากได้อยากมีนั้นมีหลายประเภท หากตอบคำถามให้กับใจตัวเองได้ว่าจริง หรือไม่ตริง ควรหรือไม่ควร ได้แล้ว ความอยากนั้นจะกลายเป็นความอยากที่ไม่กระวนกระวาย หรือเผาใจเราให้ไหม้ ให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นความอยากที่ไม่เร่งรีบและมีความสุขได้นะ คิดว่างั้นแหละ

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความเปลี่ยนแปลง

สองอาทิตย์นี้ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ทำงานอยู่ที่ขอนแก่นกับเชียงใหม่...เมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
จากที่ได้เดินทางมาทั้งทำงานและท่องเที่ยวในสองจังหวัดนี้ ปี ๆ นึงก็หลายครั้ง แล้วก็เป็นแบบนี้มาเกือบสิบปีแล้วสังเกตได้ว่าหลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
ความจริงคงไม่เฉพาะสองจังหวัดนี้หรอกแต่เป็นทุก ๆ ที่นั่นแหละ
ที่ขอนแก่นเองก็มีทั้งการสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่อยู่ตรงประตูเข้าเมืองเลย
มองในแง่ดีก็เป็นการสร้างงานสร้างรายได้นะแต่มองอีกที ก็เหมือนกับการขายวัฒนธรรมเดิม ๆ ของชาวบ้านออกไปแล้ว แล้วยังเรื่องทัศนียภาพอีก...
นอกจากห้างแล้ว ยังมีการทำอุโมงค์ลอดทางแยกอีกนะ... ตลาดขายอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่หลังมข. ก็เปลี่ยนไปเป็นถนน ที่มีทางเท้าไว้เปิดเป็นร้านขายอาหารถนนข้างมข. ก็มีร้านอาหาร ผับ เกิดใหม่ อีกเยอะแยะ
ช่างเป็นการเพิ่มความเจริญได้อย่างดีจริง ๆ
เช้า ๆ ก็ยังไปกินโจ็ก กับแป้งจี่ ที่เป็นขนมปังฝรั่งเศส ผ่าใส่กุนเชียงกับหมูยอ แล้วปิ้งกินกับซอสพริก เหมือนเดิมพูดถึงอาหารอย่างนี้ที่เวียงจันทร์ฝั่งลาวนี่ก็มีเยอะนะราคาก็ถูกด้วย เครื่องที่ใส่ก็มีเยอะแยะ เสียแต่ว่าขนมปังเป็นแบบขนมปังฝรั่งเศสจริง ๆ เลย แข็งมาก ซื้อสิบบาทกินกันอิ่มเลย.
อ้าว... ไปเวียงจันทร์ได้ไงนี่ อยู่ขอนแก่นอยู่ดี ๆ จริง ๆ ก็ไม่ได้ไปเวียงจันทร์มา 3-4 ปีแล้ว ไปดูว่าอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไป
ขอนแก่นนี่ ที่เปลี่ยนน้อยหน่อยคงเป็นผู้คนที่ยังมีอัธยาศัยดีอยู่ ขอนแก่นก็ยังเป็นเมืองที่น่าอยู่...
ส่วนที่เชียงใหม่ ก็ยังมีหมอกครัวเยอะแยะเหมือนทุกปี ทั้งที่ทางการก็ประกาศไปแล้ว ก็ยังมีการเผาป่าอีก อันนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงเผาก็เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำเกษตรต่อ ขี้เถ้าทำให้เกิดปุ๋ย แต่ผมว่าไม่คุ้มกับการเสียพื้นที่ป่า เสียสุขภาพ แล้วยังเสียรายได้จากการท่องเที่ยวอีกด้วย เรื่องนี้คงต้องพยายามรณรงค์กันต่อไป สู้เขา เทศบาลเชียงใหม่
เมื่อคืนพาเพื่อนไปกินหมูทอดเที่ยงคืน แค่ 5 ทุ่มกว่า ๆ ก็คนแน่น คิวยาวซะแล้ว ขี้เกียจรอ เลยกลับมานอนดีกว่าเมื่อก่อนก็ไปกินบ่อย ๆ นะ ช่วง 5 ทุ่มเนี่ย แค่คราวนี้สงสัยจะชื่อดังขึ้น คนเลยมารอคิวกันมากขึ้น ก็ดี เงินจะได้หมุนเวียนในระบบ ขับรถดูทั่ว ๆ เมือง เชียงใหม่ก็ยังเป็นเมืองเชียงใหม่อยู่ดี มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนที่อื่น ผมไม่เห็นด้วยกับการเวนคืนบ้านพื้นเมือง บ้านเก่า ๆ แล้วเอามาขยายถนนคนที่มาเชียงใหม่คงไม่ได้หวังว่าจะด้วยนั่งรถสะดวกสบายไปทั้งเมืองนะ ... ไม่อย่างนั้นคุณจะสัมผัศเชียงใหม่ใกล้ ๆ ได้ยังไงกัน ก็เห็นเขาเขียนแผ่นป้ายคัดค้านกันทั่วเมืองเชียงใหม่ ไม่รู้ว่าทางเทศบาลเมืองจะเอายังไงกัน ส่วนตัวผมว่าอย่าขยายเลย ถนนน่ะ ของเก่า ๆ มันหมดไปเยอะแล้วรักษาเอาไว้บ้างเถอะนะ
อีกเรื่องก็คงเป็นเรื่องสนามบิน ที่เขาเถียงกันอยู่ว่าจะเป็น Single airport น่ะ บ้านเรามันไม่ได้เล็กอย่างสิงคโปร์เขา จะได้มีสนามบินเดี่ยวจะเสียหายตรงไหน ถ้ามีสนามบิน 2 สนามบินเป็นสนามบินหลักของประเทศ ผมว่ามันน่าจะดีกว่านะ แล้วจากประสบการณ์ของผมที่เดินทางทั้งสองสนามบินนี้มาหลายครั้งทั้งภายในและภายนอกประเทศ ผมว่าดอนเมืองสะดวกกว่าสุวรรณภูมิ ในแง่การเดินทางนะ
ถ้าเปรียบเทียบดอนเมืองสำหรับผมก็เป็นเหมือนคนเอเซีย รู้สึกอบอุ่น งดงาม วางใจได้ ถึงจะเก่า แต่ก็ดูแลดีส่วนสุวรรณภูมิ เป็นเหมือนคนตะวันตก แข็งกร้าว เข้มแข็ง สวยงาม ทันสมัย แต่ไม่มีความอบอุ่น ... ยังไงก็สนับสนุนให้ใช้สองสนามบินดีกว่านะรัฐฯนะ
มาที่สนามบินได้ไงเนี่ย?แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงมาถึง
ก็คงต้องยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นละนะ

ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาของทุกสิ่ง
การปรับปรุงเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง
ก็คงต้องใช้คำขวัญส่วนตัวละนะ "ไม่มีอัตตา ไม่มีทุกข์"
เมื่อไม่รู้สึกว่าเป็นตวกู ของกู ก็มองเห็นข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

แพ้สังขาร

ไม่มีบันทึกมาหลายวัน มาจากอาการแพ้สังขารนี่แหละ
วันศุกร์กลับจากขอนแก่นถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้วนะ
วันเสาร์ก็ทำงานบ้านทำนู่นทำนี่อีก เหนื่อยแฮะ พักผ่อนดีกว่า เลยลืม
พอวันอาทิตย์ก็ไปบริจาดเลือดที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนกาชาดเปิด 8.30 น. ไปถึง 9 โมง คนรอเยอะแยะว่าจะบริจาคเกล็ดเลือด ทางกาชาดก็ว่าไม่ได้บริจาดเกล็ดเลือดมาเกือบ 8 เดือนแล้ว ให้บริจาดเลือดครั้งนึงก่อน แล้วเกล็ดเลือดกรุ๊ปบี ก็เยอะแล้วด้วย
อืม.. แล้วไงหว่า มีเลือดเยอะดีกว่าขาดนะ ว่าแล้วก็ไปบริจาคเลือด ทำไมไม่เปิดห้องใหญ่นะ มากางเตียงบริจาคเป็นเตียงสนามเชียว มีซักสิบเตียงได้มั้ง ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นวันเสาร์อาทิตย์ บริจาดเต็มวันแล้วก็เต็มรูปแบบนะ คนที่เขามาบริจาคก็หยุดงานเสาร์อาทิตย์ทั้งนั้น ถ้าบริจาคเต็มวันเต็มรูปแบบวันเสาร์อาทิตย์ น่าจะได้เลือมากขึ้นนะ ก็ได้แต่คิดนะ กาชาดเขาคงมีความคิดของเขาแหละ
แล้วไงผลปรากฎว่า บริจาคเสร็จ เป็นลม ซะงั้น
บริจาคมา 20 ครั้งนี่ไม่เป็นมาเป็นเอาครั้งนี้ คงจะประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ
เหนื่อยจากการเดินทาง, พักผ่อนน้อย, ไม่ค่อยออกกำลังกายคงต้องปรับปรุงร่างกายกันยกใหญ่
กลับบ้านได้เลยหลับเป็นตายเลย ตกเย็นก็ไปเยี่ยมเพื่อนที่รถล้ม ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก
กลับมาบ้านก็ อ้วก แล้ว ปวดท้องทั้งคืน วันจันทร์ต้องเดินทางไปเชียงใหม่ ซะด้วย
วันจันทร์ก็ไปเชียงใหม่ ด้วยสภาพใจเต็มร้อยอย่างเดียว แต่สังขารไม่ไหว ปวดท้อง คลื่นไส้ตลอดทางถึงเชียงใหม่ว่าจะหาหมอก็ พอดีรู้สึกดีขึ้นซะก่อน เลยนอน
วันอังคารเลยดีขึ้น ทำงานไหว วันนี้ก็ดีขึ้นอีก
กลับกรุงเทพฯคราวนี้ คงต้องสังขยานาตัวเองใหม่ซะแล้ว ก็คิดได้มานี่ว่า อย่าใช้ชีวิตโดยประมาทเลย เราไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรกับเราบ้าง จงใช้ชีวิตอย่างสุขุมเถิด
นี่ก็เริ่มว่างแล้ว กำลังคิดอยู่ว่าจะไปหาหนังสือมาอ่านซะหน่อย เพราะจากสังขารที่ยำแย่ก่อนเดินทางมาเชียงใหม่ทำให้ลืมหลาย ๆ อย่าง
ลืมหนังสือที่จะเอามาให้พี่เขาอ่าน ลืมหนังสือสำหรับอ่านเอง ลืมข้อมูลที่เก็บไว้ใน Thumb drive และอื่น ๆ
เชื่อมาตลอดเลยว่าจิตบังคับกายได้ ถึงจะทำได้ก็จริง แต่คงไม่ถึงขั้นดี หรือให้ผลลัพธ์ที่ดีหรอก
2-3 วันที่ผ่านมานี่ทำให้ผมเข้าใจความหมายมากขึ้นต่อให้จิตใจเข้มแข็งขนาดไหน
ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถหวังผลได้หรอก

ร่างกายที่ดี จิตใจที่ดี ทำปัจจัย ให้เกิดผล
กลับไปจะเปลี่ยนตัวเองขนานใหญ่แล้วนะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

สำรวจตัวเองบ้างดีกว่า

เมื่อวานไม่ได้บันทึกเรื่องราวอะไรเลย รู้สึกผิดกับตัวเองอีกแล้ว แต่เรื่องที่เขียนเมื่อวันก่อน ก็ไร้สาระไปหน่อย ไม่ถูกใจตัวเองเหมือนกัน
วันนี้เลยต้องมาสำรวจตัว สำรวจจิตใจของตัวเองซักหน่อย ลองมาดูตัวเองแล้วตรวจดูว่าทำไมถึงมีความรู้สึกที่ไม่พอใจคนอื่นอยู่ ทั้งที่ตัวของเราเองยังไม่สามารถให้ทำอะไรให้ตัวเองพอใจได้ตลอดเวลาเลย อันนี้เป็นเพราะเราคงมีความคาดหวังในตัวผู้อื่นมาก ถึงมากเกินไป ทำให้หากเขาไม่สามารถทำตามที่เราคาดหวังได้ เรารู้สึกผิดหวัง จึงเกิดเป็นความไม่พอใจ อันนี้คงต้องระวังจิตใจของตัวเองแทนละ เพราะอย่างที่ว่าบางทีผมยังไม่สามารถทำให้ตัวเองพอใจได้เลย แล้วทำไมถึงต้องไปคาดหวังในตัวของคนอื่นกัน
เชื่อไหม ว่าผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว? แต่มันจริงนะ ก่อนนี้ผมอาจคิดไว้แล้วแบบที่เขียน ๆ มา พอรู้สึกไม่พอใจใคร ผมก็คิดอย่างนี้แหละ ใช้เวลาซักพักมันก็ดีขึ้น แต่คราวนี้พอเขียนลงไปด้วย กลับรู้สึกดีขึ้นทันที อาจเป็นเพราะสามารถระบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ ทำให้ความคิดมันออกมามีตัวตนบ้างจะได้ไม่วิ่งอยู่แต่ในสมอง
เอาเป็น จากนี้ไป มีเรื่องอะไรที่ผมคิดได้ จะเอามาใส่ไว้เลยละกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่น่าคิด หรือมีข้อคิดกันละ เพราะมันน่าจะดีต่อสุขภาพจิตของผมเองนะ
กลับมาที่การสำรวจตัวผมเองกันต่อ ล่าสุดที่ทำให้รู้สึกไม่ดีคือ กินข้าว แค่กินข้าวกลางวันนี่แหละ ไม่รู้มีใครเป็นอย่างผมบ้างรึเปล่านะ คือ ผมไม่ชอบเสียงแจ๊บ ๆ ที่คนกินข้าวบางคนเป็นน่ะ
คือ ถ้าคนเรากินข้าว กินอาหารแบบไม่หุบปาก มันก็จะมีเสียงออกมา "แจ๊บ ๆ" รู้สึกขยะแขยงน่ะ ไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ ไม่อยากได้ยิน ถ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ก็พาลคิดไม่ออกไปซะงั้น!
มันคงเป็นอาการที่ติดตัวมาตั้งนานแล้วนะ เพราะมันเป็นมาตลอดเลย ทนไม่ไหว ถ้ากินข้าวร่วมวงกัน ก็คงอิ่มเร็วเลยละ บางทีพอรู้ว่ามีคนกินแบบนี้ในวงข้าวก็เลยขอไม่ร่วมวงไปซะเลยจะดีกว่า
การที่คนเรากินข้าวไม่หุบปากนี่มันมีโทษหลายอย่างนะ คือ มีอากาศเข้าไปในกระเพาะ พร้อมกับอาหารที่กินเข้าไป ทำให้ท้องอืด กินเสร็จก็เรอให้น่ารังเกียจเข้าไปใหญ่ ระหว่างที่กินก็อาจมีเศษอาหาร
ร่วงหรือกระเด็นออกมาจากปากอีก แล้วก็แน่นอน มีเสียงแจ๊บ ๆ เออ.. ใครจะรับได้ก็รับไปเถอะ ผมรับไม่ได้จริง ๆ ก็ใช้วิธีหนีจากปัญหาบ้างเพราะไม่คิดว่าบอกเขาแล้ว เขาจะปรับตัวได้ เพราะเจอแต่คนที่อายุเยอะ ๆ ทั้งนั้นที่เป็น ก้เลยขอหนีเอาละกัน
อีกเรื่องคือเรื่องการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ๆ ซึ่งมักจะทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจเสมอ เวลาที่ได้เห็น หรือได้รู้เรื่องราวแบบนี้ ซึ่งถ้าช่วยเหลือได้ ก็ช่วยกันไป
แล้วก็เรื่องของการเข้าข้างคนผิด การช่วยอย่างไม่ลืมหูลืมตา การเล่นพรรคเล่นพวก เรื่องพวกนี้ ทำให้คนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ ท้อใจกันไปเยอะแล้ว
ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่มักทำให้รู้สึกไม่พอใจ ก็ไม่ค่อยมีแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ใช้วิธีคิดอย่างที่บอกไว้ข้างบน ไม่เอาความคาดหวังของตัวเองไปตั้งไว้ที่คนอื่นแล้ว

เคยอ่านไหม ข้อความที่ว่า "สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้" นี่นะจริงนะ เพราะการทำดีในหมู่คนพาล เราก็กลายเป็นเลวอยู่ร่ำไป คนดี ๆ เลยท้อแท้กันไป
สังคมก็เลยก้าวไปในทางที่ผิด ๆ เมื่อคนส่วนใหญ่ทำเรื่องที่ผิด ๆ จนเป็นประจำแล้ว ก็บอกกับผู้อื่นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องนะ จนคนใหม่ ๆ ที่เข้ามาในสังคมคิดอย่างนั้นไปด้วย

การที่เราไม่พอใจในสิ่งนอกตัวเราน่ะ เพราะเราเอาความคาดหวังของเราไปใส่ไว้ที่อื่น เมื่อไม่สำเร็จจึงเกิดเป็นความไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจก็เกิดความคิดในแง่ลบ เมื่อมีความคิดในแง่ลบ จะไปมีความคิดสร้างสรรค์ ต่อไปได้ยังไง

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

ไร้สาระ ไม่ต้องอ่านก็ได้

เมื่อวานนี้เดินทางมาทำงานที่ขอนแก่น หลังจากไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ก็เกือบบ่ายโมง
เพื่อนมารับประมาณนั้น ก่อนออกจากกรุงเทพฯ แวะกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าเดิมแถวบ้าน อืม...รู้สึกเหมือนความอร่อยมันน้อยลงนะ
ก็ขับรถออกมาทางบางบัวทอง แล้วไปสระบุรี ก็เจอฝนตกหนักเลย แล้วก่อนเข้าโคราช ก็ไปทางบายพาสขอนแก่น แวะที่ปั๊ม ปตท. ใหญ่ ๆ
นั่งกินกาแฟไปคุยกันไป เกี่ยวกับเรื่องการทำมาหากินเนี่ยแหละ ว่าอยากทำอะไรดี อย่างโน่น อย่างนี้จะดีไหม?
นั่งกันเป็นชั่วโมง แล้วก็ขับรถเข้าขอนแก่น ช่วงเมืองพล ก็แวะปั๊มเข้าห้องน้ำอีกที เจอเขาขายหม่ำ เลยถามเพื่อว่าสนใจไหม?
แน่ละ ไม่ซื้อทั้คู่ ก็กินไม่เป็นนี่ แล้วเพื่อนที่ขอนแก่นก็โทรมาว่าจะมาเจอที่โรงแรม พอถึงโรงแรม เช็คอินเสร็จ ก็ไปกินราดหน้าที่หลังโรงแรม ซื้อขนมเสร็จก็เข้าห้อง
โทรหาแฟนนิดหน่อย แล้วก็นอน ซัก 4 ทุ่มมั้ง
วันนี้พอตื่นก็ไปกินโจ๊ก, ข้าวจี่ (ขนมปังใส่กุนเชียงกับหมูยอ แล้วปิ้ง) แล้วก็กาแฟ อิ่มจนแน่นเลย
แล้วก็ไปทำงานตอนทำงานก็ได้แต่คิดว่า คนเรานี่จะสามารถไม่พัฒนาตัวเองได้แค่ไหนกันนะ ขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าผมเป็นคนที่เชื่อว่า
โลกนี้ไม่มีคนโง่ มีแต่คนช้า คนที่พยายาม แล้วก็คนไม่พยายามเท่านั้น แต่การทำงานวันนี้ เหมือนจะสั่นคลอนความเชื่อนี้ซะหน่อยแล้ว อา... เหนื่อยนะ
ตอนเที่ยงเข้าไปกินข้าวใน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่อร่อยเลย ซื้อกาแฟกินต่อ ไม่อร่อยหนักเข้าไปอีก วันนี้มันวันอะไรกันว้อย!!
กลับมาทำงานต่อ พอเลิกตอนเย็น เพื่อนลืมเอากางเกงในมาเลยไปซื้อในโลตัส แล้วก็กลับมากินข้าวมัน, ไก่, ขาหมู, เกาเหลาต้มยำ อิ่มมาก ๆ เลย 2 คน
แล้วก็เข้ามาเนี่ย ว่าจะอาบน้ำแล้วโทรศัพท์หาแฟนที่รักซะหน่อย

อืม วันนี้ไม่มีความรู้สึกที่จะสร้างสรรค์ตัวเองเลย ไร้สาระจัง... แปลกนะ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันเกิด

เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดของผม อืม... ก็แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะ ความรู้สึกก็เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกแก่ไปด้วย
ปกติ สำหรับผมวันเกิดก็เป็นวันที่ต้องคิดว่าจะตั้งใจทำอะไรดีในปีที่จะแก่ขึ้นอีกแล้ว เหมือนเป็นการให้คำสัญญากับตัวเองนั่นแหละ ให้สัญญากับตัวเองว่าจะทำอะไรดี ๆ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ปีละ 2 ครั้ง คือปีใหม่ กับวันเกิด ก็อย่างน้อยก็คงมีสิ่งดี ๆ เพิ่มขึ้นปีละ 2 อย่างละนะ
วันเกิดนี่ผมไม่ชอบไปฉลองวันเกิดที่ไหน วันเกิดนี่เป็นวันที่ควรคิดถึงพ่อแม่ที่ให้กำเนิดและทำสิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตนะ วันสาร์เลยเตรียมตัว ไปซื้อของจะทำบุญ ถวายสังฆทาน ไม่ได้ไปซื้อสำเร็จนะ ก็ค่อย ๆ ไปซื้อผ้าขนหนู, สบง, อังสะ, มีดโกน, สบู่, แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, ยาสามัญประจำบ้าน, ยาสระผม (เอาไว้ตอนวันโกน) อ้า... จำได้แค่นี้แหละ ตอนไปซื้อจอดรถอยู่ข้างถนน ก็โดนรถเชี่ยวอีก ก็คงผิดทั้งคู่แหละ ผมก็จอดเกือบช่วงทางโค้ง พี่เค้าก็ลืมดูข้างซ้าย ก็เลยคุยกันดี ๆ แล้วก็แยกย้ายกันไป ถือว่าฟาดเคราะห์ไป เป็นคนไทยนี่ก็ดีอย่างนะ เวลาเกิดปัญหา หรืออะไรหนักอกหนักใจนี่ ก็ว่าฟาดเคาระห์บ้าง กรรมเก่าบ้าง นี่เป็นข้อดีที่เกิดเป็นคนไทยนะ เพราะมันจะทำให้เกิดการเห็นอกเห็นใจกันน่ะ ส่วนกับข้าวใส่บ้าน แฟนก็หัดทำหมูอบ อาหารโหรดของผมให้ โดยไปถามแม่ผมว่าทำยังไง แล้วพอทำเสร็จก็ได้รสชาดเหมือนแม่ทำเลย พ่อกับแม่ผมก็ชมกันใหญ่ แฟนผมแทบเดินออกจากบ้านแม่ไม่ได้ (หน้าบาน) ของสังฆทานที่ซื้อมาก็เอามาบรรจุกันเองที่บ้านช่วยกันห่อลงในถุงพลาสติก 2 ชั้น เสร็จแล้วดูดีขึ้นมาทีเดียว (ลืมถ่ายรูปไว้นะ) เสร็จแล้ว ก็เอาลอดช่องใส่ถ้วยไปให้พอกับแม่ แล้วนั่งคุยกันอยู่ซักพัก ได้ยินเสียงมะลิ กับมะระ เห่าที่บ้าน เดินกลับมา อ้าว! มีเพื่อนมาที่บ้าน บอกมาสุขสันต์วันเกิด แล้วก็มีตามมากันเรื่อย ๆ ก็ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนนะที่มา กลับกันก็เกือบตีสามแล้ว
ที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำบุญตอนเช้า แล้วไปบริจาคเกล็ดเลือดต่อ เลยเหลือแค่ทำบุญตอนเช้าพอ นอนดึกแบบนี้คงไปไม่ไหวแล้วละ นอกจากนั้น ผลของการนอนดึก ยังทำให้เบลอ ๆ แล้วก็ปวดหัวทั้งวันอีก นี่ขนาดไม่ได้กินเหล้า กินเบียร์นะ (ก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่กินแล้วนี่) ยังรู้สึกไม่ดีจากการนอนดึกเลย สงสัยว่าตอนวัยรุ่นนี่ ผมไปเที่ยวยันเช้า บ่อย ๆ ได้ยังไง?
ทำบุญตอนเช้าเสร็จกลับมากินข้าว เก้าโมงก็นอนแล้ว ตื่นมา 11 โมงกว่า ก็ออกไปซื้อเป็ดย่างมาให้พ่อแม่กิน ฉลองวันเกิด แล้วก็กลับมากินข้าวกับแฟน ตอนเย็นก็ช่วยพี่สาวทำงานนิดนึง จัดหน้าเอกสารประกอบการบรรยายของเขาหน่อยแต่ทำเยอะไม่ไหว สมองไม่วิ่งเลย อืม... นอนดึกนี่เลิกกันเลย ทำอะไรไม่ได้นี่ทำให้หงุดหงิดนะเนี่ย เลยกินยานอนดูบอลดีกว่า...

ขอบคุณพ่อแม่ ที่ให้กำเนิด ขอบคุณเกด ที่เกิดมาเพื่อเป็นที่รัก ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคนที่รักและเป็นห่วง
ขอบคุณที่ได้เกิดมา