วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

โอกาส และ ความสุขใจ


อาทิตย์ก่อนได้ไปเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน..
คราวนี้ไปธุระใช้เวลาไม่นานนัก แต่พอมีเวลาจะไปเที่ยวเองบ้าง เลยตั้งใจไว้ว่าจะไปในที่ ๆ ไม่เคยไปเลยในเชียงใหม่..
คิดนานมาก เหมือนจะหมดความคิดเรื่องการเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ไปแล้ว
วันแรกกลายเป็นการไปกินข้าวต้มเลือดหมู หน้าโรงพยาบาลแมคคอมิก ไปลำพูน ทำธุระ กลับมาหางดง แล้วเข้าเมืองไปกินข้าวซอยเสมอใจ เหมือนเป็นนักท่องเที่ยวจริง ๆ เลย
ตกเย็นได้มีโอกาสไปร่วมงาน Chiangmai Fest' ครั้งที่ 2 ที่มีการเอาศิลปินต่างประเทศที่เขียนภาพ Street 3D มาร่วมเขียนกันด้วย เป็นงานที่น่าสนใจนะ แล้วก็เหมาะกับเชียงใหม่ซะจริง ๆ








อีกวันเลยเปลี่ยนดีกว่า หาที่กินมันซะเลย ตั้งใจไปหาร้านที่ไม่เคยกิน กินบ้าง
เริ่มจากเรือนซาลาเปา ติดถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เลยแยกศาลเด็กไปหน่อย ร้านน่ารัก ซาลาเปาหลาย ๆ ไส้ อร่อยดีนะ
แล้วก็แวะไปกินกาแฟวาวี แถวกาดคำเที่ยง ที่ว่าจะลองกินที่เชียงใหม่นานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส กาแฟรสชาดดี บรรยากาศก็ดี
เอาซาลาเปา ไปนั่งกินกับกาแฟ สบายใจไป
เลยไปซื้อของฝากที่กาดรวมโชค แล้วก็กลับเข้าเมืองไปซื้อชาที่กาดหลวง
เป็นการมาเชียงใหม่ที่สนุกดี สนุกกับการเปลี่ยนวิธีการเดินทาง เปลี่ยนร้านที่กิน เปลี่ยนสถานที่ ที่ไป

และยังคงมีความคิดเดิม ๆ อยู่ ในเรื่องโอกาส ไม่ว่าจะไป เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน หรือจังหวัดอื่น ๆ  สิ่งหนึ่งที่สามารถเห็นได้ง่าย ๆ ทั่วไปคือ ร้านที่เปิดด้วยแนวความคิดของตัวเอง
ไม่ได้เป็นแฟรนไซน์ มาจากคนอื่น เหมือนกับว่าภาคเหนือเป็นเมืองแห่งโอกาสของคนที่มีความคิดและความพยายามนะ ซึ่งในกรุงเทพฯ ทำได้ยาก เนื่องจากเรื่องพื้นที่ และเวลาของคน
ศิลปิน ศิลปะ ของทำมือ สินค้าพื้นเมือง ฯลฯ มากมายหลาบหลาก ที่สามารถนำเสนอเพื่อให้ผู้ที่สนใจ เลือกที่จะผันตัวมาเป็นลูกค้าได้
ความสุขใจจากการที่เห็นคนอื่น ๆ ชอบสิ่งที่เราทำเอง เป็นความรู้สึกที่เต็มอิ่มในจิตใจดีนะ นี่พูดในฐานะคนที่เคยทำอย่างนี้มาก่อน

ไว้จะหาโอกาสไปเปิดร้านงานทำมือที่เชียงใหม่บ้างดีกว่า คงดีกว่าคราวที่ทำในกรุงเทพฯ

แค่เห็นสิ่งของทำมือมาวางขาย ก็สุขใจที่เห็นคนเรายังมีความคิด ความพยายามแล้ว..
และถ้ามีโอกาสสนับสนุนพวกเขาบ้าง ก็คงมีกำลังใจสร้างของจริงออกมาจากจินตนาการเรื่อย ๆ นะ

เรื่องนี้เรื่อยเปื่อยมาก สงสัยอากาศจะร้อนจัด...
แต่ยังไง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ก็ร้อนพอ ๆ กัน

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

เพราะคิดจึงเป็น


ไปเชียงใหม่คราวนี้ รู้สึกแปลกหูแปลกตาไปเหมือนกัน หมอกควันที่เป็นข่าวว่าหนา ๆ ก็จางลงไปเพราะเพิ่งมีฝนตกลงมา ก็ช่วยชาวเมืองไปได้เยอะ
อีกอย่างที่พักคราวนี้ อยู่ตรงประตูท่าแพเลย ทำให้อยู่ท่ามกลางดงของชาวต่างชาติ
เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้ได้พบเจออะไรมากมาย ทำให้เกิดคำถามกับตัวเองขึ้นหลายอย่าง
เห็นชาวต่างชาติ ขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศร ซ้อน 3 มาด้วย แล้วก็ไม่ใส่หมวก ส่งเสียงโวยวายตลอดเวลา
น้องที่มาด้วยกันตั้งคำถามว่า ตามที่รู้มา ชาวต่างชาติพวกนี้ เป็นพวกมีระเบียบวินัยนี่ แต่ทำไมเมื่อมาเที่ยวบ้านเรา แล้วจึงชอบทำอะไรฝ่าฝืนกฏระเบียบ
พอผมมองไปรอบ ๆ ก็พบชาวต่างชาติที่ทำตัวฝ่าฝืนกฎระเบียบอยู่ทุกที่
คำตอบที่พอจะตอบได้คงเป็นเพราะ พวกเขามาจากประเทศที่มีระเบียบวินัยอยู่แล้ว เมื่อไปในที่ ๆ ไม่ใช่มืองที่เคร่งครัดนัก จึงปล่อยตัว ปล่อยใจเต็มที่
เพราะยังไงธรรมชาติของมนุษย์ ก็มักจะพยายามทำตัวให้โดดเด่นแตกต่างจากคนอื่นอยู่แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำเป็นลืมไม่ได้ ก็คือ เพราะพวกเขาเห็นตัวอย่างของคนที่อยู่ในบ้านเราเองนี่แหละที่เป็นพวกชอบฝ่าฝืนกฎ ไม่สนใจกติกาของสังคม ข้ามถนนตามใจตัวเอง ไม่สนใจสัญญาณไฟจราจร ขับมอเตอร์ไซค์ย้อนศร หรือซ้อน 3 ไม่สวมหมวกกันน็อก ส่งเสียงดังในที่สาธารณะ ฯลฯ
เมื่อเขาเห็นตัวอย่าง เขาจึงกล้าที่จะทำโดยไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ผิดอะไร คงต้องโทษพวกเรากันเองนี่แหละที่ทำตัวเป็นตัวอย่างแย่ ๆ ให้กับพวกเขา

ตอนเช้าตื่นมาแต่เช้านั่งอ่านหนังสือรับอากาศเย็น ๆ ลมพัดอ่อน ๆ สบาย ๆ เห็นว่าบางห้องเปิดประตูมาแต่เช้า มีผู้หญิงวัยรุ่นบ้าง วัยกลางคนบ้าง ออกมาจากห้องพัก
อีกซักพัก ชาวต่างชาติเจ้าของห้องจึงจะออกมา ผมเลยเข้าใจว่า เป็นหญิงบริการนะ ไม่ใช่ผู้เข้าพัก บางห้องก็เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า บางห้องก็พาเข้ามาทีละ 2 คน 3 คน

โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ซื้อบริการทางเพศ เนื่องมาจากความคิดส่วนตัว อย่าง มันเป็นการค้ามนุษย์อย่างหนึ่ง มันเป็นการดูถูกผุหญิงซึ่งเป็นเพศแม่อย่างหนึ่ง
และอีกหลาย ๆ เหตุผลส่วนตัว แต่ผมก็ไม่ได้ดูถูกผู้ที่มีอาชีพแบบนี้ และหลาย ๆ ครั้งก็มีโอกาสนั่งคุยกับพวกเธอ บางคนก็มีความฝันที่จะเรียนให้สูง ๆ แต่ไม่มีเงินสนับสนุน
บางคนก็มีความจำเป็นทางครอบครัว บางคนก็ประสบปัญหามีลูกตั้งแต่วัยรุ่น ทำให้ขาดโอกาสทางการศึกษา และต้องการให้ลูกของตัวมีการศึกษาสูง ๆ
ทุกคนที่ทำงานนี้ต้องการเงิน โดยมีเหตุผลต่าง ๆ กันไป ซึ่งผมพอจะเข้าใจได้ ตราบใดที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมในบ้านเรายังดำรงอยู่

สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือ บางคนต้องการเงินเพื่อไปใช้กับสิ้นของสิ้นเปลือง ตามกระแส แฟชั่น เทคโนโลยี ยาเสพติด อาจเป็นเพราะพวกเขายังไม่เข้าใจถึงสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต
หรือเพราะประสบการณ์การใช้ชีวิตน้อย หรือเพราะตัวอย่างที่ดี ๆ ในสังคมมีไม่เพียงพอ ผมเคยอ่านรายงาน หรือสารคดีเกี่ยวกับการค้ามนุษย์แบบนี้มาบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะมีคำตอบสำหรับทุกคำถาม
ซึ่งผมก็ยังคงไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนมาเพื่อแก้ข้อสงสัยของตัวเองได้ต่อไป

มีเวลาไปเดินถนนคนเดินวันเสาร์ ที่ถนนวัวลาย แหล่งผลิตเครื่องเงินของเชียงใหม่ ก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะของที่คนเอามาขายกลับเป็นของดาษ ๆ ที่หาได้ในหลาย ๆ ร้าน ที่ตั้งในถนนคนเดิน
ซึ่งแตกต่างกับถนนคนเดินวันอาทิตย์ ที่มีของที่ขายความคิดมาเยอะมาก แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือชาวบ้านที่เปิดร้านขายเครื่องเงินอยู่สามารถจะมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจากการที่ปิดร้านให้ช้าลง
เพราะมีถนนคนเดิน ร้านอาหารก็มีโอกาสขายได้มากขึ้น ถึงร้านริมทางในถนนคนเดินจะไม่น่าสนใจนัก แต่การเปิดถนนคนเดินที่ถนนวัวลาย เป็นการสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นมากขึ้น

อีกเรื่องหนึ่งก็คือมักมีคนถามว่า เดินทางมา หรือกลับด้วยเครื่องบินไหม? ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้ว่าเครื่องบินประหยัดเวลา แต่รู้บ้างไหมว่ามันปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์และกินน้ำมันมากกว่ารถยนต์กี่เท่า
รวมไปถึงเสียงที่ส่งออกมากระทบสิ่งแวดล้อม และอีกอย่างหนึ่งของผม การเดินทางถึงเป้าหมายนั้นสำคัญมากเท่า ๆ กับประสบการณ์ระหว่างการเดินทาง หรือบางทีระหว่างการเดินทางอาจจะสำคัญกว่าด้วยซ้ำ

อาจเป็นเพราะผมมีความคิดในลักษณะนี้ จึงมีเพื่อนที่ไม่เข้าใจผมเป็นจำนวนมาก และบางอย่างผมคิดว่าถ้าอธิบายความคิดออกไป คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ รวมทั้งไม่พยายามจะเข้าใจ
แต่ถ้าเป็นคนที่รู้จักผมดี คงเข้าใจได้ว่า ผมเป็นไปอย่างที่ผมเป็น เพราะว่าผมคิดผมจึงเป็น

ไม่มีใครที่ทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล พอ ๆ กับไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรอกนะ

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

ครูนาฬิกา

เมื่อ 3 ปีก่อนได้นาฬิกาโบราณ แบบลูกตุ้ม ทำงานด้วยระบบลาน มาเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่
มันเดินได้คืนเดียวแล้วก็เดิน ๆ หยุด ๆ มาตลอดเลยตัดใจ ไม่ใช้เอาแขวนทิ้งไว้อย่างเดียว
เมื่อวันศุกร์ได้นาฬิกาแขวนแบบ 2 หน้ามา เลยเอาไปแขวนไว้ใกล้ ๆ แล้วก็มีการปรับภูมิทัศน์ในบ้านกันนิดหน่อย
เลยเอาเจ้านาฬิกาโบราณเรือนนี้มาแขวนไว้ซะหน้าโทรทัศน์
แล้วก็ตั้งใจไว้ว่าจะซ่อมให้ใช้งานได้
เมื่อวานพยายามหาข้อมูล ตรวจสอบกลไก ทำความสะอาด ลองซ่อมดู
ปรากฎว่าเดินได้ 11 ชั่วโมง
ด้วยความมั่นใจวันนี้เลยพยายามทำตั้งแต่เช้า เพื่อจะให้มันดีขึ้น
ผลสุดท้ายจบลงด้วย เดินได้ไม่เกิน 5 นาที จอด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ความรู้และประสบการณ์สำคัญเสมอ
แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือ ความตั้งใจจริงและการกล้าที่จะเริ่มต้น

นาฬิกาเรือนนี้ ถึงจะใช้ไม่ได้ตอนนี้ แต่มันจะอยู่เป็นครูกับแรงบันดาลใจให้ผมไปอีกนานเลย

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฝนพรำ


เช้านี้เริ่มต้นด้วย สภาพอากาศ ฝนตกพรำ ๆ ซัก 20 นาที.. แต่ดันเป็น 20 นาที ตอนที่อยู่นอกบ้านนะซิ
ปกติแล้ว ผมชอบฝนตก ฝนพร่ำ ๆ นี่ยิ่งชอบ ชอบตากฝน ผมว่ามันเย็นดี เหมือนกับว่าเราสัมผัสกับธรรมชาติจริง ๆ ผ่านร่างกายของเราเองโดยตรง
พอฝนหยุด อากาศก็เหมือนจะร้อนกว่าเดิม ดีแล้วที่เป็นไปตามฤดูกาล แสดงว่าความแปรปรวนน้อยลงกว่าปีก่อนนะ
ก่อนฝนตก ก็รดน้ำกล้วยไม้ ต้นไม้ตามปกติ มานึกได้ว่าไม่ได้เข้าไปรดน้ำในสวนนานแล้ว ตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่นั่นแหละ
ใจจริงแล้วก็ไม่ค่อยอยากเข้าไปพบเจอสภาพที่หดหู่ อย่างการที่ต้องเห็นต้นไม้ยืนต้นตายนะ ก็ได้แต่เข้าไปทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ยังไม่เคยเข้าไปเพื่อรดน้ำอีกเลย
เอาไว้สัปดาห์หน้าค่อยเข้าไปแล้วกัน

สภาพที่หดหู่ มักจะสร้างผลกระทบทางจิตใจให้กับคนเราได้เป็นอย่างดีเสมอ ถ้าเราเห็นแต่ภาพเศร้า ๆ น่าสงสาร จิตใจเราก็จะหดหู่ สมองเราก็จะไม่แจ่มใส ความคิดก็จะไม่เป็นไปในทางบวก เพราะยังงั้นผมเลยค่อนข้างจะหลีกเลี่ยงกับสภาพการณ์แบบนั้นในลักษณะที่พบเจอติดต่อกันนาน ๆ เพื่อรักษาสภาพจิตใจตัวเองให้บวกอยู่เสมอ
แต่เกิดมาอยู่ในสังคมย่อมไม่พ้นจะต้องเจอสภาพที่จิตใจหดหู่อยู่บ้าง เพียงแต่จะจมอยู่กับมันนานแค่ไหน
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมก็เจอ สัปดาห์ก่อนโน่นก็เจอ สัปดาห์ก่อนของก่อนโน่นก็เจอ เรียกได้ว่าก็เจอสภาพการณ์ลักษณะนี้ตลอดนั่นแหละ
เจอขอทานอาชีพ ก็หดหู่ เจอรถชนกันก็หดหู่ เจอหมาเจ็บก็หดหู่ เจอคนที่ไม่จริงใจก็หดหู่ ฯลฯ

แต่ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเร็ว ๆ เพื่อให้หลุดจากสภาพหดหู่เร็วที่สุดนะ แล้วจะทำอย่างไรนั้นก็อยู่ที่ตัวว่าจะฝึกจิตใจและความคิดของตัวเองอย่างไร
เมื่อเจอสภาพแบบนั้น ก็ต้องย้ายตัวเองออกมาแล้วมองกลับเข้าไปด้วยมุมมองใหม่ ๆ
ทำเรื่องราวที่ชอบ ย้ายสถานที่ หลาย ๆ อย่างที่ทำแล้วเราทำแล้ว หลุดจากสภาพนั้นได้ อย่าไปคิดหรือจมอยู่กับมันก็พอ

ปล่อยให้ความทุกข์ผ่านไปเร็ว ๆ จิตใจก็ดีเองแหละ
ถ้าฝนตกลงมาอีกรอบ ก็จะไปตากฝนอีกที ให้ฝนมันชะอะไรที่หมองมัวอยู่ในความคิดและจิตใจออกไปให้หมด
ก็คนมันชอบ

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไข่ต้มกับแซนวิส ในวันมาฆบูชา



เริ่มต้นจากความคิดว่าจะทำอะไรไปทำบุญวันมาฆบูชาปีนี้ดี
วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญอย่างไรทางพุทธศาสนา คงไม่ต้องอธิบายมากมาย เพราะมีผู้รู้หลาย ๆ ท่านอธิบายกันไปมากแล้ว ก็คงสรุปได้ว่า เป็นวันที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 เหตุการณ์ คือ
พระสงฆ์ 1,250 รูปมาชุมนุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และพรงสงฆ์ทุกรูปเป็นเอหิภิกขุ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบวชให้เอง แล้วพระสงฆ์ทุกรูปยังเป็นพระอรหันต์ รวมทั้งเหตุการณ์ทั้งหมดยังเกิดขึ้นในวันเพ็ญ เดือนมาฆะ หรือเดือน 3 ด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดคงเป็นการที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมะ "โอวาทปาฏิโมกข์" ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา โดยประกอบไปด้วย จุดหมาย หลักการ และวิธีการ
จุดหมายมีเพียง 1 คือ มุ่งหน้าสู่นิพพาน
ส่วนหลักการนั้นมี 3 ข้อคือ ไม่ทำชั่ว ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์
โดยมีวิธีการคือการฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอตามมรรค 8
ได้แก่ความเห็นชอบ ดำริชอบ พูดจาชอบ ทำงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พากเพียรชอบ ระลึกชอบ และตั้งใจมั่นชอบ คำว่าชอบ ๆ นี่หมายถึงเป็นไปตามที่ถูกที่ควรนะ ไม่ใช่ทำตามอย่างที่ชอบ
ส่วนตัวเองคงทำตามหลักการเป็นหลัก ถึงจุดหมายจะไม่ใช่นิพพาน แต่หลักการเหมือนเดิม ไม่ทำชั่ว กับทำความดีก็พอทำได้นะ ส่วนทำใจให้บริสุทธิ์นี่ยากหน่อย ก็สิ่งยั่วยุมันเยอะ
เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับข้อสันนิษฐาน ของการที่พระสงฆ์มาชุมนุมกันโดยไม่ได้นัดหมยนะครับ อาจเป็นเพราะพระสงฆ์เหล่านั้นนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน ตามสมัยนั้น
ซึ่งในวันเพ็ญ เดือนมาฆะ เป็นวันที่พราหมณ์จะลอยบาปในแม่น้ำคงคาที่เรียกว่า พิธีศิวาราตรี และเป็นวันที่พราหมณ์จะทำการบูชาเทพเจ้าของตน พระสงฆ์เหล่านั้นจึงมาชุมนุมกันเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
เหมือนเมื่อเคยทำตอนที่เป็นพราหมณ์อยู่ นี่คงเป็นเหตุที่ยืนยันได้ว่า พุทธ กับ พราหมณ์ อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์แล้ว

กลับมาสู่วันมาฆบูชาปีนี้ ตกลงว่าจะทำไข่ต้ม ราดน้ำปลาพริก แล้วก็แซนวิสน้ำพริกเผาหมูหยอง ภายใต้แนวคิดที่ว่า พระคงไม่ได้ฉันไข่ต้ม กับแซนวิสบ่อย ๆ หรอก
หลายคนที่ได้ยิน มักจะบอกว่าเห็นด้วยพระไม่ค่อยได้ฉันไข่ต้มหรอก แต่ขอกระซิบหน่อยนะ พระแถวบ้านผมนี่ ได้ฉันบ่อยนะ เพราะถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็ไข่ต้มตลอดละผมน่ะ
ไปทำบุญใส่บาตรตามปกติ ไปวัดใกล้บ้านที่สามารถเดินไปได้สบาย ๆ ชาวบ้านแถวนั้นก็ไปทำบุญกันเต็มศาลา และยังคงมีวัยรุ่นน้อยเช่นเคย
ประชากรในการทำบุญจะได้แก่ คนแก่ คนวัยกลางคน คนวัยทำงาน ก่อนวัยรุ่น และเด็ก เด็กนี่ส่วนใหญ่คงโดนบังคับมาละ ส่วนวัยรุ่นก็คงเหลือที่สนใจในการทำความดีน้อยลงไปแล้วมั้ง
ก็หวังว่าพ่อแม่ คงปลูกฝังให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไปให้เข้าใจศาสนามากขึ้นนะ

ศาสนาทุกศาสนามีหลักการเหมือนกันกับหลักการของพุทธนั่นแหละ ไม่ทำชั่ว ทำความดี มีจิตใจบริสุทธิ์
หลายคนก็ตะแบงแปลงความหมายของศาสนาต่าง ๆ ไปเพื่อสนองตัณหาตัวเองทั้งนั้น
นึกแล้วก็เหนื่อยนะ

เพียงแค่ ไม่ทำชั่ว ทำความดี ทำจิตใจห้บริสุทธิ์ โลกนี้ก็งดงามขึ้นอีกเยอะแล้วครับ
ไม่เกี่ยวกับจะทำอะไรไปทำบุญตักบาตรหรอกครับ ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

แบ่งปัน

เดือนที่แล้วนกเขามาทำรังที่ร้านกล้วยไม้ในบ้าน เวลาจะรดน้ำกล้วยไม้ เลยไม่กล้ารดเยอะ กลัวนกเปียก
ทั้งที่ห่วงกล้วยไม้นะ เพราะโทรมมาจากเหตุน้ำท่วม เลยไม่ได้รดน้ำซะนาน
ค่อย ๆ รด คอยระวัง ให้กล้วยไม้ชุ่มชื้น แล้วก็ให้รังนกแห้งที่สุด เป็นการรดน้ำที่ลำบากจริง ๆ
ผ่านไป 1 เดือน เมื่อเกือบ 2 อาทิตย์ก่อน ลูกนกก็แข็งแรง จนบินออกไปจากรังได้อย่างปลอดภัย
พอรังว่าง ก็รดน้ำได้เต็มที่ ไม่ต้องสนใจอะไรมาก
กลางอาทิตย์ก่อนกลับมาบ้าน มีศพลูกนกอยู่ใต้ร้านกล้วยไม้ อาจจะเป็นลูกนกกระจอก มองขึ้นไปบนรังนกเก่าก็ไม่เห็นนก อาจจะหัดบิน แล้วตกลงมาแถวนี้ เจ้าสองมะ เห็นว่าชีวิตมันลำบาก เลยช่วยกันส่งไปสู่สวรรค์ซะ
เมื่อวาน สังเกตเห็นขี้นกอยู่ใต้ร้านกล้วยไม้ แหงนขึ้นไปมอง ก็เห็นว่ามีนกเขามาอยู่อีกแล้ว คอยกกไข่ตลอด
ก็คงต้องรดน้ำด้วยความระมัดระวังอีกแล้ว

รู้สึกดีที่มีนกมาทำรัง แสดงว่าบ้านเราปลอดภัยดี สำหรับสัตว์ๆ อาจเป็นเพราะไม่ได้ใช้สารเคมีที่บ้านเลยมั้ง.
ก็แบ่ง ๆ ที่กันไปละกัน นก กับ กล้วยไม้น่ะ

อยู่ร่วมกัน แบ่งปันกันไป โลกก็สดใสขึ้นนะ

วันนี้สั้น ๆ แค่นี้พอ จะพยายามอัพเดทบ่อย ๆ ละกัน