วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

เพราะเห็น อย่างที่มันเป็น

พวกคุณ ๆ มองรถว่าเป็นอะไร?
ผมมองว่ารถ เป็นเพียงพาหนะ ที่จะพาให้เราไปในที่ต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น
แต่อีกหลายคนมองว่ารถเป็นฐานะ จึงพยายามที่จะใช้รถราคาแพง หรู โดยไม่ดูฐานะของตัวเอง
ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินเกินตัว อันนำไปสู่ความทุจริต ในการทำหน้าที่
ผฃปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากคนเราในโลกนี้ มักเริ่มมาจากการที่คนเรามองสิ่งที่เห็น ให้เป้นอย่างที่มันไม่ใช่ นะครับ

หากมองสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น ปัญหาต่าง ๆ คงจะน้อยลงละครับ
เพราะสิ่งต่าง ๆ ย่อมจะเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นด้วยเสมอ เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ย่อมกระทบไปสู่ สิ่งต่อไป ต่อไป เสมอครับ
มองรถให้เป็นพาหนะ มองโทรศัพท์มือถือให้เป็นเครื่องมือสื่อสาร มองอาหารให้เป็นสิ่งประทังชีวิต มองบ้านให้เป็นที่อยู่อาศัย
มองเสื้อผ้าให้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ทุกอย่างเป็นเพียงปัจจัย ให้เราอยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อแสดงฐานะครับ
ผมเคยใช้รถยนต์อยู่ช่วงหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ชอบเลย จึงขายไป แล้วกลับมาใช้มอเตอร์ไซค์
ผมใช้รถมอเตอร์ไซค์ เพราะสะดวกสบาย สำหรับการจราจรในกรุงเทพฯ แล้วผมก็ไม่ชอบขับรถยนต์ เพราะไม่ชอบรถติด
เดี๋ยวนี้ คนขับรถต่าง ๆ ก็มีน้ำใจให้แก่กันน้อยลงมาก และดูถูกคนที่ขับรถราคาถูกกว่าตัวเสมอ
ถึงแม้ผมจะขับมอเตอร์ไซค์ แต่ผมก็มีน้ำใจ ขับรถถูกกฎจราจร นะครับ อย่าคิดว่าคนขับรถมอเตอร์ไซค์จะ ด้อยกว่าคนขับรถยนต์ครับ
ในแง่ความเป็นคนนั้น คนทุกคนเท่ากัน จะเหลื่อมล้ำกันก็ที่ความดีของแต่ละคน
คนเราควรให้เคารพคนอื่นที่การกระทำ จากความดี จากการวางตัวที่เหมาะสม จากความมีน้ำใจ ไม่ใช่เงินทองครับ

เกริ่นมาซะยาว ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องเจ้านกกางเขนที่บ้าน ในรูปครับ โตขึ้น ขนที่ปีกเริ่มงอกแล้ว
เมื่อวานฝนตกหนัก เลยเกรงว่ามันจะเดือดร้อนกันรึเปล่า แต่ไม่ได้กังวลมากมาย เพราะสัตว์โลก ย่อมรู้จักปรับตัว และธรรมชาติจะเป็นผู้เลือกผู้ที่ปรับตัวได้
สรุปแล้ว มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ดูสงบดี เช้านี้พ่อกับแม่มัน ก็ออกหาอาหารตามปกติ ส่วนเจ้าสามตัวนี่ก็ยังหลับ
วันเสาร์ อาทิตย์ นี่เห็นพ่อ แม่ มันบินเข้า บินออกเอาแมลง เอาหนอน เอาอาหาร มาป้อนทั้งวัน
เห็นแล้วก็สะท้อนใจนะ สัตว์ทุกชนิดในโลกพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ พยายามที่จะเลี้ยงลูกของมันให้เติบโต เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป
มีสัตว์เพียงชนิดเดียวในโลกที่ บางส่วนไม่รักษาชีวิตของตนเองให้ดี และอีกบางส่วนยังไม่รับผิดชอบต่อลูกของตนอีกด้วย
นี่ยังไม่รวมการที่สัตว์จำพวกนี่ สามารถฆ่ากันตาย ด้วยเหตุเพียงความคิดเห็นแตกต่าง คงไม่ต้องบอกนะครับว่าสัตว์ชนิดไหน?

อย่าเอาเหตุการณ์ภายนอกมาสร้างความขุ่นมัวในใจเรา
มองสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็น
ชีวิตจะมีความสุข สงบมากขึ้น
เพราะเข้าใจถึงความเป็นของมันนะครับ

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่า (6-10)

ถ้าผมบอกพวกคุณว่า บ้านนกในภาพนี้ ไม่มีนกอยู่ คุณจะเชื่อไหม หรือถ้าผมบอกว่าในบ้านนกนี้ มีนกอยู่ละ คุณจะเชื่อไหม หรือผมบอกว่าไม่มีนกหรอก มีแต่หนูมาอยู่ มีงูมาอยู่ มีค้างคาวมาอยู่ คุณจะเชื่อแบบไหน? หรือเลือกที่จะเชื่อตามความคิดของพวกคุณเอง หรือเลือกที่จะเชื่อ โดยการพิจารณา ความจริงและเหตุผลก่อน แล้วจึงเลือกที่จะเชื่อ

วันนี้มาคุยในเรื่องของกาลามะสูตร ให้จบแล้วกันนะ เหลืออีก 5 ข้อแค่นั้นเอง

อย่าได้เชื่อถือ โดยการคาดคะเนของตนเอง
ข้อนี้เกี่ยวเนื่องมาจากข้อที่แล้ว ที่ว่าอย่าในเชื่อในการเดาของตัวเอง
ซึ่งในข้อนี้ง่าย ๆ ก็คืออย่าคิดเอาว่าสิ่งที่เราคาดเอาไว้ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันจะต้องเป็นจริง ๆ โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาด้วยหลักความจริง และหาเหตุผลต่าง ๆ มาประกอบ
อย่างช่วงเดือนก่อน มีคนถามผมว่า เหตุการณ์อย่างในหนังเรื่อง 2012 จะเกิดขึ้นจริง ๆ ไหม?
ผมก็ตอบไปว่า ก็มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้นะ แต่ไม่รู้ว่าปีไหน เพราะเหตุการณ์และสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะ วิกฤตโลกร้อน ย่อมสามารถทำให้เกิดความผิดปกติ
ของธรรมชาติอย่างร้ายแรงได้ คนถามก็ย้อนกลับมาว่า แต่ปฎิทิน ของชนเผ่ามายา จบแค่ปี 2012 นะ เพราะฉะนั้น น่าจะเป็นเรื่องจริง
ผมเลยถามกลับไปว่า แล้วเคยเห็นปฎิทินที่ว่านั่นเหรอ แล้วถ้าเห็นจะอ่านเข้าใจเหรอ แล้วเรามั่นใจได้อย่างไร ว่านักโบราณคดีที่วิเคราะห์ภาษาของชนเผ่าโบราณ
จะแปลได้อย่างถูกต้อง ตามความหมายเดียวกับชนเผ่านั้น ๆ ตอนที่เขาจัดทำขึ้นมา....
คนเราไม่ควรจะเอาความคาดคะเนของเรามาเป็นหลักในการดำรงชีวิต หรือเชื่อมันมากจนเกินไป ผมอยากจะหมายถึงว่า อย่าเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปนะ
ข้อต่อมา อย่าได้เชื่อถือ โดยการคิดตามเหตุผลส่วนตัวของตัวเอง
ตรงตามความหมายเลยนะครับ เมื่อทุกคนมีความคิดของตนเอง ย่อมทำให้สังคมหนึ่ง ๆ มีหลากหลายความคิด ทุกคนมีเหตุผลของตนเองทั้งสิ้น
และหากทุกคนยึดมั่น ยึดถือกับความคิดของตนเองเป็นหลัก โดยเชื่อว่าเป็นความจริง ย่อมทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม และนำมาซึ่งความวุ่นวาย
และรุนแรง ดังนั้น การที่เราจะเชื่อความคิดของตัวเองนั่น ย่อมต้องพิจารณาจะเหตุผลหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้เห็นจริงอย่างถ่องแท้ และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สังคมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเพื่อจำกัดแนวความคิดที่อาจสร้างความแตกแยกได้ เพราะกฎหมายย่อมกลั่นกรองออกมาเพื่อให้ทุกคนในสังคม อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
หากคนเราเอาเหตุผลตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ โดยเชื่อว่ถูกต้องกว่ากฎหมาย ย่อมทำให้สังคมวุ่นวายอย่างมากแน่นอน
ซึ่งในข้อนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับข้อต่อไปอย่างชัดเจน
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเข้ากันได้กับความเชื่อของตน หรือมีอยู่ประจำใจ
เพราะเรามีความคิดเห็นส่วนตัว และความเชื่อบางอย่างอยู่แล้วจึงมักตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ฉลาดกว่า ซึ่งอาจจะรู้ถึงความเชื่อความศรัทธาของเรา
อันเป็นเหตุให้ถูกชักจูงไปในทิศทางที่เขาต้องการได้ง่าย หากเขาชักนำไปสู่ทิศทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าหากชักนำไปสู่ทิศทางที่เลวร้าย เราก็จะยังคงทำตาม
ด้วยความมืดบอดทางด้านเหตุผล อันเกิดจากความเชื่อที่เป็นฐานอยู่ในจิตใจของเราอยู่แล้ว
ดังนั้น ต่อให้เรามีความเชื่อหรือคติประจำใจอย่างไรก็ตาม ย่อมต้องพิจารณาอยู่เสมอ ตามหลักการและเหตุผลที่เกี่ยวเนื่อง ในหลาย ๆ ด้าน เพื่อที่จะทำอะไรก็ตาม
แล้วไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม จริยธรรม รวมทั้งความเชื่อของเราเอง
น่าแปลกที่ว่าเมื่อพิจารณาต่อไปยังข้อถัดไปแล้ว จะเห็นว่ามันเกี่ยวเนื่องกันต่อไป
อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่าผู้พูดหรือผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่พอเชื่อถือได้
เพราะหากเราต้องกระทำตามคำพูดของคนที่เรานับถือ โดยไม่พิจารณา ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อตัวเอง และประเทศชาติ บ้านเมืองได้..
รวมทั้งในข้อสุดท้าย
อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่าผู้กล่าวสอนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา
เพราะหากเราหลับหูหลับตาเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสอนแล้วนั้น ย่อมทำให้เราไม่สามารถที่จะคิดเองได้ อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ไม่ว่าเราจะถูกสอนยังไงก็ตาม ย่อมต้องพิจารณาด้วยปัญญาของเราเองก่อนเสมอ ก่อนที่จะปฏิบัติและเชื่อถือในคำสอนนั้น ๆ
เมื่อพิจาณาจากกาลามะสูตรทั้ง 10 ข้อนี้
จะเห็นความเชื่อมโยงเดียวกัน ที่พระพุทธเจ้า พยายามจะสอนผู้คนทั้งหลาย นั่นก็คือ
อย่าได้เชื่อถือในสิ่งต่าง ๆ ก่อนที่จะพิจารณากันอย่างถ้วนถี่ ว่าเป็นจริง ตามหลักการและเหตุผลจากหลาย ๆ ด้าน ประกอบกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
รวมทั้งต้องคิดและพิจารษา โดยปราศจากอคติ ซึ่งเป็นเหมือนสิ่งที่บังตา บังใจเราอยู่เสมอ เวลาที่เราต้องคิดต้องพิจารณาสิ่งใด ๆ ก็ตาม
อยากขอให้ทุก ๆ ท่านพยายามใช้หลักความคิดในกาลามะสูตรนี้เป็นหลักในการคิดพิจารณา ในการดำเนินชีวิต หากรวมกับเรื่องศีลธรรม จรรยา
เข้าไปด้วย โลกนี้คงมีความสุข ปราศจากความแตกแยก อันเกิดจากความไม่รู้ และถูกชักจูงได้ง่าย ๆ โดยผู้เสียประโยชฯื และผู้ต้องการรักษาอำนาจ

เราควรตั้งตนให้อยู่ในความจริง เปิดตา เปิดใจรับฟัง ทุก ๆ ด้าน เพื่อความถูกต้องชัดเจนอย่างที่สุด แล้วจึงสรุปว่า เราควรจะเป็นอะไร เป็นใคร เพื่ออะไร เพื่อใคร
อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ มีสติ พิจารณา จากเหตุผลและความเป็นจริง หลาย ๆ ด้าน โดยไร้อคติ คุณจะพบความจริงที่จริงแท้ครับ

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

ชีวิตใหม่

อยากนำเสนอ...
ความพยายามของการมีชีวิตอยู่...
หลังจากที่ปล่อยให้ไข่สองใบแรกฟักออกมาก่อน
เมื่อวานนี้ในที่สุด ไข่ใบสุดท้ายก็ฟักออกมา เจ้านกตัวนี้ คงพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมาก

จะเอาใจช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยจนโตนะ เพราะโลกนี้มันเลวร้ายขึ้นทุกวัน

ข่าวความเสียหายที่สีลมเมื่อคืนนี้... ทำให้รู้สึกเจ็บปวด...
และความเสื่อมศรัทธาต่อมนุษย์ของผมเพิ่มขึ้นอีก....
และมันยืนยันได้แล้วว่าทำไมผมจึงถ่ายรูปสัตว์, ป่า, หรือลำน้ำ ได้ดีและตัวผมเองรู้สึกดีกับภาพเหล่านั้น
แต่ไม่เคยถ่ายรูปผู้คนแล้วรู้สึกว่าสวยงามเลย...

วันนี้คงไม่มีความคิดดี ๆ ความรู้สึกดี ๆ ออกมาให้อ่านกันนะครับ
สมองมึนช้า... จิตใจบอบช้ำ.. และจิตวิญญาณเจ็บปวด

ขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกท่าน....

ขอประมาณผู้กระทำการครั้งนี้อีกครั้ง และขอร้อง! อย่าโยนความรับผิดชอบให้ผู้อื่น ๆ...
เวลาโดนจับได้ก็บอกไม่ใช่พวกตัวเอง ตัวเองไม่รู้ พวกคุณหลอกตัวเองจนเชื่อว่าเป็นจริงไปซะแล้ว
แต่ที่พวกคุณทำเลว ๆ ไว้นั้น มีคนรู้เยอะแยะนะครับ กรรมชั่วที่พวกคุณทำมันตามทันคุณเร็ว ๆ นี้แน่นอน

ประเทศอื่น ๆ เอาเหตุการณ์บ้านเรา เป็น ตัวอย่าง ที่จะไม่เอาอย่าง... อิสราเอล เคนย่า เกาหลี และอื่นๆ
ประเทศชาติ เสียหายและบอบช้ำอย่างหนักแล้ว พวกคุณจะรับผิดชอบกันยังไง

ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง...พวกท่านยังเป็นที่ภาคภูมิใจสำหรับผมและเพื่อน ๆ เสมอครับ

สำหรับผู้ที่เหนื่อยหน่าย ท้อใจ หมดกำลังใจ ให้ดูเจ้านกที่เพิ่งออกจากไข่ตัวนี้นะครับ
พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปนะครับทุก ๆ ท่าน ถึงแม้โลกนี้จะน่าเกลียดมากขึ้นอีกก็ตาม...

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

สิทธิของธรรมชาติ

ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่คุกรุ่นในช่วงนี้
ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิดและการกระทำ
ท่ามกลางการแบ่งแยกแบ่งฝ่าย

เบื่อกันไหมครับ ผมเบื่อแล้ว และไม่อยากให้มันยืดเยื้อและไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก
เหมือนเมื่อเราคบกับใครนาน ๆ อยู่มาวันหนึ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว มันอยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่ได้แล้ว ก็ต้องบอกเลิก
"เจ็บครั้งเดียวแล้วหาย ดีกว่าต้องปวดตลอดไป"
รัฐควรจะบังคับใช้กำหมายอย่างเข้มแข็งได้แล้วละมั้ง ต้องไม่อึมครึม ไม่เทาแล้ว มีแต่ขาวกับดำเท่านั้น

ปล่อยเรื่องเหล่านี้ให้อยู่นอกเหนือความคิดดีกว่าจะได้ไม่เครียดนะครับ อากาศยิ่งร้อน ๆ อยู่

วันนี้มีความคืบหน้าของเจ้านกกางเขนมานำเสนอ
จากครั้งก่อนที่เป็นไข่สามฟอง เมื่อวานนี้ก็ฟักเป็นตัวแล้วครับสองตัว เหลืออีกฟองหนึ่งยังไม่ฟัก ยังคงต้องรอลุ้นกันต่อไป
เจ้าสองตัวที่ฟักออกมาก็น่าเกลียดดีเหลือเกิน กำลังว่าจะตั้งชื่อให้มันอยู่ คิดอยู่ว่าจะตั้งตามหลักการแบบที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อให้กับสัตว์ที่สังเกตการณ์อยู่
หรือจะตั้งแบบตามใจตัวเองดี ซึ่งแนวโน้มน่าจะเป็นอย่างหลังนะ
ไม่ว่ามนุษย์จะหาเรื่องให้เผ่าพันธุ์ตัวเองอ่อนแอและใกล้สูญพันธุ์เข้าไปทุกที ทั้งพืช, สัตว์และแมลงต่าง ๆ ในโลกนี้ พยายามรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเอาไว้นะ
หมายความว่ายังไง หมายความว่าสัตว์สองเล็ก ๆ มันยังคิดได้ละมั้ง สัตว์ที่มีสมองใหญ่โต กลับคิดได้แค่ไม่กี่คน
ไม่ใช่เชิญชวนให้ช่วยกันเพิ่มจำนวนประชากรนะ แต่อยากให้เลือก ๆ กันหน่อยเวลาสืบพันธุ์น่ะ
ลองคิดดูซิในโลกนี้มีสัตว์ซักกี่ชนิดที่สืบพันธุ์ด้วยสิ่งสมมุติอย่างเงิน แล้วเผ่าพันธุ์นี้มันจะแข็งแรงได้อย่างไรกัน?

นกกางเขนวางไข่สามฟอง ตอนนี้ฟักออกมาเป็นตัวสองตัว ความหมายก็คือหากฟักออกมาเป็นตัวทั้งสามตัว อาจมีรอดชีวิตเพียงตัวเดียวก็ได้
เพราะธรรมชาติคัดสรรไว้ว่าสายพันธุ์นี้อาจจะอ่อนแอ หรือมีศัตรูตามธรมมชาติมาก จึงต้องมีลูกมาก เพราะโอกาสรอดนั้นน้อยนั่นเอง
แล้วสัตว์ชนิดไหนกันนะที่ออกลูกครั้งละหนึ่ง แล้วก็ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ เพราะทำลายธรรมชาติกันหมดแล้ว
อยากเรียกร้องสิทธิในการมีชีวิตอยู่ของป่าไม้และลำน้ำน่ะครับ ที่เอกวาดอร์ มีกฎหมายลักษณะนี้ออกมาคุ้มครองแล้ว

ในเมืองพุทธ ที่ตั้งอยู่บนความเห็นแก่ตัวของคนหลาย ๆ กลุ่มแบบบางประเทศนี่ จะมีโอกาสมีกฎหมายดี ๆ แบบนี้บ้างไหม

สัตว์, พืช, แมลงทุกชนิดรวมถึงมนุษย์มีสิทธิของตนเองครับ ทั้งทางความคิดและการดำรงชีวิต
อย่าเบียดเบียนลิดรอนสิทธิของผู้อื่นกันนักเลย เรียนรู้กันอยู่ร่วมกันอย่างสันติบ้าง

โลกนี้จะได้น่าอยู่ขึ้นอีกมากครับ

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

เครื่องมือรีดพลัง...

เช้าวันนี้ นั่งอ่านหนังสืออยู่ ก็มีน้องเดินเข้ามาถาม.. ถามสั้น ๆ แต่แสดงความรู้สึกของน้องเขานะ...
"พี่เคยทำงานแล้วรู้สึกท้อไหมครับ"
"แบบ พอตื่นมาก็รู้สึก.... "

ผมรู้สึกว่าน้องคนนี้กำลังท้อกับอะไรซักอย่างที่กำลังเผชิญอยู่ ส่วนคำตอบของผมนั้น

คนที่ทำงานจริง ๆ จัง ๆ ต้องเคย ท้อ กันทุกคนนั่นแหละ เพราะไม่มีใครที่ทำงาน หรือทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จอยู่ตลอดนะ เพราะหากไม่เคยทำผิดย่อมไม่สามารถจะพัฒนาตัวเองได้ และไม่ว่าคนเราจะทำงานเก่งยังไง ก็ต้องมีคนไม่ชอบเราอยู่เสมอ เพราะยังงั้น เราจึงควรทำตัวให้ดีเสมอ อย่าหลงตัวเอง เพราะผมเคยหลงมาแล้ว แน่นอนว่าคนรอบข้างไม่ว่าเรา เพราะต้องอาศัยเราเสมอ แต่พอถึงช่วงเวลาหนึ่ง ผมก็รู้สึกเองว่าผมกำลังทำตัวไม่ดีอยู่นะ และสามารถปรับตัวได้ น้องน่ะอายุยังน้อง ยังมีโอกาสปรับปรุงอีกเยอะ ยังสามารถพัฒนาอีกมาก อย่างผมนี่ ไม่สนับสนุนของปลอม ซื้อแต่ของลิขสิทธิ์ เพราะอะไร เห็นงานหลาย ๆ ที่อยู่ที่นี่ไหม หลายอย่างมาจากความคิดของผมที่ออกมาเป็นกระดาษทั้งนั้น แต่กลายเป็นงานคนอื่นเสมอ ผมจึงนับถือความคิดของผู้อื่นด้วย จึงรู้สึกว่าการละเมิดลิขสิทธิ์น่ะ เจ้าของความคิดจะรู้สึกแย่ยังไง แต่ผมก็ยังผ่านมาได้บ่อย ๆ นะ ท้อทุกครั้งที่เจอนั่นแหละ... พอท้อก็แค่้พัก เดี๋ยวก็หาย แล้วก็กลับมาทำงานได้เต็มที่อีกครั้ง
น้องเขาก็นั่งฟังด้วยดีนะ มีแสดงความคิดเห็นนิดหน่อย....
แล้วผมก็พูดถึงเรื่องอื่น ๆ เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นความหลากหลายของปัญหา ที่คนต้องเจอ
แล้วก็สรุปให้น้องเขาไปว่า ก็แค่ปัญหา ผ่านไปได้แล้วก็เหมือนขึ้นบันไดไปอีกขั้นน่ะแหละ...

ดูเหมือนน้องเขาจะสบายใจขึ้นนะ ผมก็รู้สึกดีไปด้วยเวลาที่ทำให้คนอื่นสบายใจได้...
อยากบอกน้องเขาอีกนะ เคยได้อ่านข้อความบางอย่างที่ว่า
"ถ้าท้อก็แค่ถ่าน ถ้าผ่านจะเป็นเพชร"
ผมชอบข้อความนี้นะ ถ้ามีโอกาสจะคิดข้อความสวย ๆ แบบนี้บ้าง

ลองดูยาสีฟันของผมนะ มีเครื่องมือรีดให้ออกมาเยอะ ๆ จนเกือบหมดด้วยเห็นไหม
ไม่มีคน ๆ ไหนที่รีดความสามารถ พลังงาน ความคิดของตัวเองได้หมดหรอก ซัก 30% ก็หรูแล้ว
มันต้องมีอุปกรณ์ช่วยรีดนี่แหละ ถึงจะดี สำหรับผมก็คงเป็นปัญหาและอุปสรรคทั้งหลาย นั่นแหละ
หากเริ่มจากคำว่าทำไม หรือเพราะอะไร หรือยังไง ความคิดผมจะเริ่มวิ่งมากกว่าปกติทันที....
และหากผมรู้สึกท้อ ผมก็หยุดพักทันที เช่นเดียวกัน ไม่ดึงดัน ฝันฝืน ให้รู้สึกไม่ดีกับทุก ๆ ฝ่าย
ผมอาจโชคดีตรงที่ผมไม่เคยท้อนาน ๆ เลย แล้วก็ทำงานได้เรื่อย ๆ รวมทั้งความคิดที่เปลี่ยนไปค่อนข้างมากก็ทำให้รู้สึกถึงสิ่งรอบ ๆ ตัวอย่างไม่มืดดำนักนะ

ช่วงบ่ายน้องเขาเลย มาถามอีก "พี่ ๆ มีหนังสือธรรมะดี ๆ แนะนำไหมครับ"
คำถามนี้ช่วยผมตอบหน่อยนะ เพราะสำหรับผม
หนังสือที่เปิดอ่านแล้วเข้าใจย่อมดีเสมอ และหากนำไปใช้ดีย่อมดีขึ้นไปอีก
คุณๆ ว่าผมควรจะตอบว่าอะไรดีครับ สำหรับคำถามนี้....

ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอยนะ ท้อก็พัก หนักก็นอน ตื่นก็หาย
แล้วก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอแหละครับ

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

ต้นมะม่วงกับนกกางเขน

ช่วงนี้ที่บ้านมีนกมาทำรังตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง
สองสามสัปดาห์ก่อน นกอะไรไม่รู้ที่มาทำรังอยู่ในครัวชั้นล่าง ก็เพิ่งพาลูกสองตัวออกไปหัดบิน ส่งเสียงโวยวายทั้งวัน
น่าเสียใจนิดนึงตรงที่ลูกมันตกลงมาเจ็บ แล้วเจ้าสองมะจะเข้าไปฟัด พอดีช่วยเอาไว้ได้ เอามาใส่ไว้ในรังตามเดิม แต่ไม่รอด...

ก็น่าสงสารนะ แต่โลกนี้ต้องการสิ่งที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น สัตว์ต่าง ๆ คัดเอาตัวที่แข็งแรงที่สุดเพื่อสืบสายพันธุ์ที่แข็งแกร่ง แต่มนุษย์ส่วนมากคัดเอาจากจำนวนเงินที่ครอบครอง เพื่อสืบสายพันธุ์ ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่ในขณะที่สัตว์ต่าง ๆ ในโลกมีวิวัฒนาการไปอย่างที่ควรจะเป็น มีสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งสืบสายต่อกัน เพื่อดำรงไว้ซึ่งสายพันธุ์ แต่พันธุ์ของมนุษย์หยุดวิวัฒนาการมานานแล้ว แล้วยังมีสายพันธุ์ที่เลวลง อ่อนแอลง และคงสูญพันธุ์ ไปในที่สุด ด้วยน้ำมือของตนเอง ชาร์ล ดาร์วิน จะรู้สึกยังไงนะ ที่ทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาใช้ได้เกือบจะทุกสายพันธุ์ ในโลกใบนี้ ยกเว้นตัวถ่วงของโลกอย่างมนุษย์เรา...

สัปดาห์ที่ผ่านมา บ้านนก ที่เพื่อนซื้อให้ตั้งแต่ปีก่อนก็มีนกมาทำรังซะที คราวนี้รู้แล้วว่านกอะไร นกกางเขนนี้เอง อยู่ใกล้ ๆ สามารถมองเห็นได้เลย ข้างบันไดขึ้นบ้าน แสดงว่าเจ้านกกางเขนคู่นี้ คงเห็นว่าผมกับแฟน ไม่มีอันตรายละมั้ง เลยมาทำรัง

เพิ่งเคยเห็นไข่นกกางเขนใกล้ ๆ สีสวยมากตามรูปที่ถ่ายมาเลยครับ สีเป็นสีเหมือนหินเทอคอยส์ สีฟ้า ๆ มีจุดสีน้ำตาลประปราย แม่นกก็คอยมากกไข่ เวลาที่ผมเดินผ่านก็บินหนีซะที ช่วงนี้เลยรู้สึกเกรงใจนก ไม่อยากเดินผ่านรังของเขาบ่อย ๆ

ก็ค่อยมาดูกันว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร?

ต้นมะม่วงที่นกมาทำรังนี้ อายุเยอะแล้วครับ ตั้งแต่ผมจำความได้ก็รู้สึกว่าเขาโตแล้วนะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ มีลูกให้เก็บกินก็ทุกปี ช่วงที่ปลูกบ้าน ผมเลยเลื่อนบ้านออกมาหน่อยนึง เพื่อหลบมะม่วงต้นนี้ แต่โลกนี้ไม่มีอะไรที่อยู่ได้ตลอดไปครับ สองสามเดือนที่ผ่านมา เขาก็เฉาลง ๆ จนสัปดาห์ที่ผ่านมาผมจึงตัดสินใจลิดกิ่งเขาออก เผื่อว่าถ้าแค่ไม่สบาย จะได้ไม่ต้องส่งน้ำเลี้ยงมาเลี้ยงใบที่มีอยู่ แต่หลาย ๆ ส่วนก็มีปลวกกินซะแล้ว อาการเขาคงสาหัสจริง ๆ
ถ้ามะม่วงต้นนี้ตายไปจริง ๆ ผมก็คงยังไม่โค่นหรอกครับ บอกแล้วว่าผมศรัทธาความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ของกล้วยไม้ ต้นไม้ ถ้าไม่โค่น เผื่อเขาสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วรอดมาได้ครับ ไม่ได้ตั้งความหวัง แค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติครับ

ในขณะที่มะม่วงต้นนี้เฉาลง ตายลง ตามความจริงที่จริงแท้ที่สุด นกกางเขนก็ยังอาศัยส่วนที่ยังเหลือเพื่อสร้างครอบครัวใหม่ ชีวิตใหม่

แม้ว่าชาร์ล ดาร์วิน จะคิดได้เรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ การคัดสรรตามธรรมชาติ แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่ ยังมีส่วนทียังอธิบายไม่ได้อีกหลายส่วน
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่เป็นจริงแท้ที่สุดแล้วของชีวิตนะครับ ตามที่พระพุทธเจ้าเคยสอนไว้นี่เป็นคำสอนที่จริงแท้แน่นอน

เรียนรู้จากมะม่วงที่กำลังจะตายกับนกกางเขนที่กำลังจะเกิดใหม่นะครับ

ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ได้ตลอดไป สายพันธุ์ของมนุษย์น่ะ สั้นกว่าสายพันธุ์ของสัตว์ต่าง ๆ เยอะ ทำความดีแก่กันไว้มาก ๆ นะครับ ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง ว่าน่าจะทำได้ดีมากกว่านี้ตอนที่สายไป จะได้มีความสุขที่รู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่ผมเรียนรู้จากกล้วยไม้...

เวลาที่คุณรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ หรือหมดกำลังใจ
คุณจะหลักจากที่ไหนเพื่อจะยึดไว้ไม่ให้สูญเสียตัวตนของคุณครับ

ตัวผมเองในทุกวันนี้ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่ว่าไว้นั้น แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลยนะ อาจเป็นเพราะการที่พยายามที่จะเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ซึ่งการเรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีส่วนอย่างมากที่ช่วยให้ผมมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นครับ

จากการที่ผมเลี้ยงกล้วยไม้มาสิบกว่าปี สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการเลี้ยงกล้วยไม้ก็คือ ความพยายาม ความอดทน เพื่อที่จะฟูมฟักให้กล้วยไม้เติบโตอย่างสมบูรณ์ โดยเรียนรู้ที่จะไม่ใช้สิ่งปรุงแต่งมากจนเกินไป เช่น ปุ๋ย ซึ่งปัจจุบันนี้ ผมไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีเลย โดยใช้เพียงปุ๋ยชีวภาพที่ทำขึ้นเองเท่านั้น
นอกจากนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากกล้วยไม้ ก็คือ ความพยายามที่จะมีชีวิตรอด ของพวกเขา พวกคุณอาจจะเคยเห็นกล้วยไม้ที่ต้นงาม ๆ มีดอกสวย ๆ บ่อย ๆ ซึ่งถ้ามาที่บ้านผม คงจะไม่ได้เห็นแน่ ๆ แต่สิ่งที่คุณจะเห็นคือ กล้วยไม้ที่ไม่งาม แต่ก็ยังออกดอกได้ กล้วยไม้ ที่เมื่อหน้าแล้ง จะไม่มีต้น เอาแต่สะสมอาหารเป็นหัวอยู่ใต้ดิน แล้วค่อยฟื้นต้นขึ้นมาในหน้าฝน แล้วออกดอกอย่างสวยงามในปลายหน้าหนาว กล้วยไม้ที่ไม่มีปุ๋ย ยังพยายามที่จะมีชีวิต พยายามที่จะออกดอก พยายามที่จะผลิใบ ทั้งที่ไม่มีปุ๋ย หรือสารอาหารอย่างสมบูรณ์
ทำไมจึงไม่เรียนรู้จากสิ่งรอบตัวอย่างนี้ละ มองอย่างพิจารณา และเรียนรู้
เมื่อผมรู้สึก ท้อแท้ หรือหมดกำลังใจ เมื่อมองเห็นกล้วยไม้ ผมมักจะรู้สึกดีขึ้นเสมอ แม้ปัจจุบันแทบจะไม่มีอาการดังกล่าว แต่ผมยังรู้สึกดีเสมอเมื่อเห็นกล้วยไม้ ไม่ใช่เฉพาะแค่เห็นดอกนะ เห็นต้น เห็นใบ ก็มีความสุขแล้วครับ และแน่นอน รู้สึกเศร้าใจ เวลาที่เห็นกล้วยไม้หรือต้นไม้บางต้นตายไป พวกเขาคงพยายามอย่างเต็มที่แล้ว

กล้วยไม้ในรูป เป็นรายล่าสุดที่ออกดอกนะครับ นึกว่าจะไปซะแล้ว เขาก็พยายามกลับมามีชีวิตได้ครับ
สำหรับคนที่กำลังท้อแท้สิ้นหวัง หรือหมดกำลังใจนะครับ

มีสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอีกมายมายที่พยายามเพื่อที่จะคงอยู่..
และคุณสามารถเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้นได้ตลอดเวลา
เพียงมองโลกในแง่ดี และพยายามทำความเข้าใจกับชีวิตให้มากขึ้น..
สิ่งต่าง ๆ จะผ่านไปได้ แล้วคุณจะพบว่าเป็นแค่เรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ผ่านคุณไปเท่านั้นเอง

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

ขอระบาย...

เช้าวันนี้เดินทางออกจากบ้านตามปกติ จากที่มีข่าวว่าสะพานปิ่นเกล้าปิด อาจจะเดินทางไปไม่ได้
แต่ก็คิดว่า ลองผ่านไป คงไม่เสียหายอะไร  ก็ขับไปด้วยความลำบากนิดหน่อย แต่สภาพที่ผมพบ...
รถเมล์ ถูกนำมาขวางทางขึ้นสะพาน รถของทหารหลาย ๆ คัน ถูกนำมาจอดไว้ตามแนวสะพานและนำมาขวางทางขึ้น... รถทั้งหมดถูกทำให้เสียหายอย่างมาก รวมทั้งรื้อสิ่งของภายในรถออกมา...
ถึงจะไม่ได้ยินดี ยินร้ายไปกับเรื่องอะไร ต่อมิอะไร มากมาย แต่สิ่งที่เห็น ข่าวที่ได้รับ...
ข่าวที่ผมได้รับ ไม่ได้ดูเฉพาะข่าวที่ออกภายในประเทศ แต่มีการอ่านผ่านสำนักข่าวต่างประเทศอีกหลายแห่ง...
คงต้องบอกก่อนว่า สิ่งที่จะระบายต่อไปนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมล้วน ๆ นะครับ และผมไม่ใช่คนที่เข้าข้างสีใดสีหนึ่ง

ผมรู้สึกว่าเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 53 ที่ผ่านมา..
สำหรับผม คนที่เลวจนสมควรตายนั้นมีน้อยมาก หรืออาจจะเรียกว่าไม่มีคนเราสมควรตาย โดยเฉพาะตายจากมือของคนด้วยกันเอง
หมา แมว มันทะเลาะกันยังไม่เล่นกันจนตายเลย...
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร? ผมเห็นด้วยกับการสลายการชุมนุมครับ
เพราะผมเบื่อและเดือนร้อนจากการชุมนุมของทุกกลุ่มที่เข้ามา
ผมต้องทำงานที่สี่พระยา และสีลม
บ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านอดีตนายก ในกรุงเทพฯ ก็อดีตนายกคนที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้นั่นแหละ
ผมต้องเดินทางผ่านสะพานปิ่นเกล้า และเดินทางกลับผ่านสะพานมัฆวาน เทเวศร์ และสะพานกรุงธน
เหมือนที่ผมเคยบอก ผมถูกลิดรอนสิทธิในการเดินทางไปและกลับบ้านตามปกติ รวมทั้งสิทธิในการเดินทางอย่างปลอดภัยภายในกรุงเทพฯ
และคงไม่คนหลายคนที่เป็นแบบผม และคงไม่อยากเข้าแลก โดยการไปต่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุม เพราะอาจเจ็บตัวหนัก ๆ ได้

มีใครรู้บ้างไหม ว่าบ้านพักรับรองของท่านอดีตนายกนั้น มีรถของคนเสื้อแดงเข้าออกตลอดเวลา มีตำรวจ และคนอื่น ๆ ดูแลอยู่รอบ ๆ บ้าน
ช่วงไหนที่มีการชุมนุม และอาจเกิดเหตุการรุนแรง จะมีรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งคนแถว ๆ นี้รู้ดีว่าเป็นกลุ่มที่ดูแลบ้านของอดีตนายก วิ่งไปมา อยู่เหมือนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แล้วยังมีอีกส่วนหนึ่งไปจอดอยู่ตามตรอกซอก ซอยต่าง ๆ เพื่อสังเกตการณ์อีกด้วย

ผมอยู่แถวนี้มาตั้งแต่เกิด ปู่ย่าตายาย เป็นคนพื้นที่ดั้งเดิม ที่มีอาชีพทำสวน
ณ ปัจจุบัน ถึงพื้นที่สวนของบ้านผมจะเหลืออยู่น้อยแล้ว แต่ยังเป็นที่ทำรายได้ให้กับแม่ผมอย่างพออยู่ได้สบาย ๆ พวกเราก็อยู่กันมาอย่างสงบสุข จนท่านอดีตนายก ได้เป็นนายก
วันหนึ่งผมเข้าบ้านดึก ขับรถ ผมโดนตำรวจเรียกเพื่อตรวจสอบที่บริเวณหน้าบ้านของท่าน? ทำไม? บ้านผมอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง
สิทธิการเดินทางอย่างอิสระของผมหายไปตั้งแต่คุณทักษิณเข้ามาเป็นนายกแล้วครับ

สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมสงสารทหารที่เข้ามาเพื่อสลายการชุมนุม พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีและถูกต้อง
แล้วทำไมจึงมีคนตายอีกมีแต่คนพูดถึงผู้ชุมนุมที่ตาย แล้วทหารที่ตายละ? เพราะอะไร?
สิ่งที่ผู้ชุมนุมทำต่อทรัพย์สินของราชการ แสดงถึงอะไร?
เมื่อยึดอะไรได้จากฝ่ายตรงข้าม ต้องทำลายหรือขโมยด้วยเหรอ? เลวมาก ๆ
สันดานดิบล้วน ๆ มีแต่สัตว์เดียรฉานเท่านั้น ที่จะทำลายสิ่งของ และลากเอาซากศพออกมาเพื่อประโยชน์ของพวกมัน
เอาศพมาแห่รอบเมืองเนี่ยนะ.. บ้าไปแล้วครับ..

อย่าพูดอีกว่าพวกคุณเป็นชาวพุทธเลยครับ เพราะพวกคุณมีแต่เปลือกที่เป็นชาวพุทธเท่านั้นเอง
พระพุทธเจ้า ไม่เคยสอนว่าต้องเอาคืนทุก ๆ สิ่ง รวมทั้งอย่าเป็นเชื่อถือยึดมั่นในทุกสิ่ง...
มีแต่สอนให้ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน ข้ออ้างที่พวกคุณกล่าวอ้าว ถึงสาเหตุของการชุมนุมก็ไม่โปร่งใสอยู่แล้วยังแฝงไว้ซึ่งความรุนแรง ในคำว่า สันติ อหิงสา อีก เลิกใช้คำว่าชุมนุมด้วยความสันติ และอหิงสา อีกเลยครับ มันเสื่อมคำดี ๆ เปล่า ๆ

มนุษย์ไม่สามารถปกครองด้วยความกลัวได้... หากแต่ปกครองได้ด้วยความเข้าใจและศรัทธา
และหากประชาชนไม่ศรัทธาในกองทัพของตนเองแล้ว ประเทศจะคงอยู่ได้อย่างไร?


ผมไม่ได้อยู่ข้างใด สีใด ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความรู้สึกกับพวกผู้ชุมนุมเสื้อแดงครับ พวกคุณเป็นกลุ่มที่ไม่สมควรไปคบด้วยครับ อย่างที่

ผมขอประนามผู้ชุมนุมเสื้อแดง และขอให้กำลังใจทหารทุกนายนะครับ

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

สวดมนต์? เพื่ออะไร?

หลายวันมานี่ มีแต่เรื่องน่าวุ่นวายนะครับ อากาศก็ร้อน อย่าร้อนใจกันไปด้วยละ
ไม่ได้เขียนอะไรเลยมาหลายวันแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมางานเยอะ งานที่บริษัทฯ งานบ้าน เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง แต่ไม่ได้เขียนบล็อก แต่เรื่องที่คิด ๆ ไว้มีเยอะแยะเลยนะ ทยอย ๆ เอามาเขียนให้ละกันครับ
มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิด ๆ มาเป็นเดือนแล้ว และก็สรุปออกมาตามความคิดของผมแล้วนะครับนั่นคือ
"การสวดมนต์" ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่ปลูกบ้านเสร็จ ผมก็ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ โดยหลัก ๆ ก็ทุกวันศุกร์ แล้วก็วันพระ ก็สวดเหมือนที่คนส่วนใหญ่เขาสวดกัน ทั่ว ๆ ไป อย่างชินบัญชร แล้ววันพระก็เพิ่มยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เข้าไปอีก ใช้เวลาก็ประมาณเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมงต่อครั้งนะ แต่ถ้าเป็นวันพระก็เพิ่มเวลาไปอีก
เราสวดมนต์เพื่ออะไร? สวดแล้วก็ไม่เข้าใจความหมาย ดูคล้าย ๆ นกแก้ว นกขุนทอง ที่พูดได้แต่ไม่รู้ความหมาย
ดังนั้นผมจึงพยายามทำคววามเข้าใจและหาคำแปลของบทสวดมนต์ต่างๆ มาอ่านเพื่อให้รู้ขึ้นมาบ้าง
อย่างบทสวดชินบัญชร ที่มีความหมายของบทสวดประมาณว่าขอเชิญพระอรหันต์หลาย ๆ องค์ มาประทับอยู่ตามทิศต่างๆ รอบตัวเรา ในเมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ได้เข้าสู่นิพพานไปแล้ว ทำไมเราจึงยังอัญเชิญท่านมาได้อีก และเมื่อท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ ย่อมหมายความว่า ท่านย่อมหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าท่านจะทำกรรมดีใด ๆ ย่อมไม่มีผลต่อตัวท่านอีก
พุทธศาสนาสอนให้คนเราอยู่ในศีล สมาธิ และปัญญา โดยให้ความสำคัญกับปัญญา มากที่สุด ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยสอนให้รู้จักใช้การพิจารณาถึงต้นเหตุของการเกิดทุกข์ แล้วก็พยายามดับมันเสีย
แล้วการสวดมนต์เกี่ยวอย่างไรกับหลักการของพุทธศาสนา?
พระสงฆ์ มีหน้าที่ในการเผยแพร่คำสอนของพุทธศาสนา โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์
พระก็สวดมนต์ให้คนทั่วไปฟัง แต่คนที่ฟังเข้าใจความหมายไหม? แล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน
แล้วตัวพระผู้สวดเข้าใจความหมายและเป้าหมายของบทสวดนั้น ๆ หรือไม่? แล้วจะมีประโยชน์อะไร
ทำไมไม่ค่อยมีวัด หรือพระ ที่จะใช้บทสวดที่แปลเป็นภาษาไทยมาแล้ว คนที่ฟังจะได้ฟังรู้เรื่องและหัดคิดกันได้บ้าง

ผมว่าพุทธศาสนาในประเทศของเรา ดำเนินการสอนแบบผิด ๆ อยู่ ผู้คนที่บอกว่าเป็นพุทธ จึงเป็นเพียงคำพูด ไม่ใช่การดำรงตน

ถ้าคนไทยเป็นพุทธจริง เข้าใจคำสอนจริง จะมีเหตุการณ์ของความแตกแยกเหมือนช่วงนี้หรือ?
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา หรือไม่มีตัวตน ก็จะไม่เห็นแก่ตัว เพราะแม้แต่ตัวเราก็ไม่มีตัวตน
เมื่อใช้ปัญญา พิจารณาในการใช้ชีวิต ย่อมมองเห็นว่าใครที่มีเป้าหมายอย่างไรในคำพูดนั้น ๆ
ที่ไม่น่าเชื่อก็คือหลาย ๆ คน พูดโกหกมาก จนตัวเองเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

ผมจึงสรุปเรื่องของการสวดมนต์ ว่ายังคงสวดต่อไปนะ เพราะผมไม่เคยขออะไรจากการสวดมนต์ ไหว้พระ และผมรู้ความหมายของบทสวดที่ผมสวดอยู่บ้าง และเช่นเดียวกับที่แขวนพระ
ผมสวดมนต์ไหว้พระ เพื่อระลึกอยู่เสมอว่าผมเป็นพุทธ ต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ดำรงตนอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา
เหมือนที่ผมบอกรักกับคนรักผมทุกวัน เพราะเมื่อผมยังบอกได้ย่อมหมายความว่าผมยังคงรัก ด้วยผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้

หากใช้ชีวิตโดยอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา โลกนี้คงสงบ และเป็นสุขขึ้นอีกเยอะ
อย่าใช้ชีวิตอยู่โดยการหลอกตัวเองและเห็นแก่ตัวกันเลยครับ