วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฤดูฝน

ฝนตกทุกวัน เมื่อวานก็ฝนตก วันก่อนก็ฝนตก...
ผมเป็นคนที่ชอบฤดูฝน เพราะเป็นฤดูที่มีแต่ความชุ่มฉ่ำ ต้นไม้ก็เติบโต เขียวขจี
ถึงจะทำให้เกิดความลำบากในการเดินทางบ้าง แต่ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผมเลย
เพราะผมชอบตากฝน ชอบที่จะถูกน้ำฝนเย็น ๆ มากระทบกับร่างกาย ให้ความรู้สึกที่ดีเป็นพิเศษ มีความสุข ถ้าเดินทางคนเดียว ถ้าหากฝนตก ผมก็แค่เก็บของที่จะเปียกแล้วเสียหายให้เรียบร้อย แล้วก็เดินทางต่อไปได้ อย่างสบายใจ
เพียงแต่เวลานี้ ถ้าเดินทางไปไหน โดยมีคนที่ผมรักเดินทางไปด้วย คงต้องลดความชอบลง แล้วเปลี่ยนเป็นความห่วงใยแทน

เมื่อวานพอกลับถึงบ้านระหว่างที่ฝนพร่ำ ๆ กำลังดี อารมณ์ดี เข้าบ้าน ก็เจอกับซากต้นเฟิร์นก้านดำ ของผมที่เจาสองมะ ลากมาจัดการซะ
ก็เช่นเคย ไม่ได้โกรธอะไร ก็แค่เก็บ ๆ แล้วก็หวังไว้ว่าเหง้าของมันจะงอกขึ้นมาใหม่ได้นะ เจ้าสองมะ นะเจ้าสองมะ

เพราะเป็นฤดูฝนเลยต้องใส่ใจกล้วยไม้ที่บ้านซะหน่อย สำหรับใครที่ปลูกกล้วยไม้ เลี้ยงกล้วยไม้ ใช่ว่ากล้วยไม้จะชอบเปียก ๆ นะครับ
กล้วยไม้ชอบชื้น ๆ แต่ไม่ชอบแฉะ ๆ ดังนั้นฤดูฝนนี่ต้องคอยดูแลกันหน่อย รวมทั้งส่วนที่ปลูกไว้ในร่มของผม ก็เป็นช่วงที่จะเพิ่มความชื้น
ด้วยการรดน้ำเพิ่ม เพื่อให้รากเจริญซะหน่อย ให้ต้นสมบูรณ์ ๆ เข้าไว้ พอเข้าฤดูหนาวค่อยลดการให้น้ำ เพื่อกระตุ้นให้ออกดอกในฤดูร้อนพอดี
ปีก่อนไม่ได้ดูแลเต็มที่นัก ฤดูร้อนที่ผ่านมาเลยได้เห้นดอกน้อยไปหน่อย แต่ปีหน้านี่แหละ... คอยดูกันต่อไป
กล้วยไม้บางต้นก็ออกดอกง่าย ๆ ทั้งปี บางต้นก็ต้องดูแลเอาใจใส่เต็มที่ปีหนึ่งออกมาให้ดูกันซักครั้งหนึ่งนะ
แต่ทุกต้นก็เอาใจใส่เต็มที่เหมือน ๆ กัน ก่อนที่จะปลูกบ้าน ผมมีกล้วยไม้อยู่เกือบแปดสิบสายพันธุ์ เฉพาะพวกรองเท้านารีก็มีสิบกว่าชนิดเข้าไปแล้ว
ตอนนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก รองเท้านารีเหลือต้นเดียว  ชนิดเดียว เพราะล่าสุด เจ้าสองมะ ก็จัดการอีกต้นอีกพันธุ์ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง
สงสัยจะกลัวว่าผมจะต้องแบ่งสมองมาจำสายพันธุ์ของกล้วยไม้ที่บ้านมากเกินไป ตอนนี้ที่บ้านเหลือซักสิบกว่าสายพันธุ์ละมั้ง
ช่วงนี้เริ่มจัดการเวลาได้ดีขึ้นอีกหน่อย เลยว่าจะเริ่มสะสม เริ่มกลับมาเลี้ยงใหม่ ความสุขอีกอย่างของผม

ความสุขมีอยู่ทั่วไปรอบ ๆ ตัวเรานี่แหละ ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาอย่างมากมาย แค่ทำใจให้สงบ ปล่อยวาง อย่าให้ความโกรธ ความหลง เข้ามาครอบงำ
ตากฝน ดูแลเจ้าสองมะ กินข้าวบ้าน เลี้ยงกล้วยไม้ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ขี่จักรยาน ดูหนัง ทำสวน ฯลฯ
ความสุขของผมมีอยู่รอบตัว โดยไม่ต้องไปแสวงหาอะไรมากมาย
ลองมองรอบตัวเองดูนะครับ ความสุขมันก็อยู่แถวนั้นแหละ

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขนาดโคลัมบัสยังโดน นับประสาอะไร....

ช่วงนี้กำลังอ่าน "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" ของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการอยู่
ก็เช่นเคย เนื่องจากเป็นหนังสือที่เขียนมานานแล้ว ภาษาที่ใช้จึงไม่คุ้น ทำให้ผมต้องใช้เวลาในการอ่านมากซักหน่อย
แต่ก็ยังคงเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ได้เหมือนเดิม อย่างที่ผมเคยบอกไว้ หนังสือดีคือหนังสือที่เราอ่าน อ่านแล้วคิด คิดแล้วเข้าใจ
ที่อ่านไม่ได้อยากอ่านเพื่อจะสร้างกุศโลบายอะไร เพื่อให้ตัวผมยิ่งใหญ่ เพราะไม่เคยอยากยิ่งใหญ่ ไม่เคยทะเยอทะยาน
แต่ที่อ่านก็เพื่อทำความเข้าใจ และหาความรู้จากคนรุ่นก่อน ผมศึกษาอดีต เพื่อเข้าใจปัจจุบัน แล้วก็วางแผนในอนาคต..

การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้เข้าใจความคิดและความรู้ต่าง ๆ เยอะขึ้นนะ ยกตัวอย่างเรื่องอเมริกา โคลัมบัสเป็นคนค้นพบทวีปนี้ แต่ทำไมทวีปนี้ไม่ได้ชื่อว่า โคลัมบัส
นั่นเพราะ โคลัมบัส เป็นผู้ค้นพบก็จริง แต่ไม่ได้ประกาศออกไป เลยถูกคนอย่างนายอเมริโก เวสปุจจี เอาไปประกาศซะ ว่าเป็นผู้ค้นพบ แล้วก็ตั้งชื่อว่าอเมริกา
หลังจากนั้นอีกตั้งนาน กว่าโลกจะยอมรับว่า ทวีปอเมริกา ถูกค้นพบโดยโคลัมบัส ไม่ใช่ อเมริโก...
รู้สึกยังไงครับ ทวีปอเมริกา ถูกค้นพบมาสองร้อยกว่าปีแล้ว กระทั่งปัจจุบัน คนเราก็ยังคงมีคนนิสัยอย่างนายอเมริโกอยู่ด้วยตลอดมา

ก็ดีนะ เพราะเวลาที่เจอกับอาการคล้าย ๆ แบบนี้ เวลาที่เราทำอะไร แล้วโดนคนอื่นเอาไปใช้ เอาไปอ้าง ก็คิดเพิ่มได้อีกนะ ว่า ขนาดโคลัมบัส ยังโดนเลย นับประสาอะไร...

เมื่อก่อนวันอาฬาหบูชา ไปทำบุญที่วัด ที่ผมเคยบวช เจ้าอาวาสบ้านผมเคารพนับถือกัน เพิ่งจะมรณภาพ ก่อนหน้านั้นก็เคยมีการแจกบัตรสนเท่ห์ จนหลวงพี่ที่คอยดูแลวัดมาตลอดเป็นสิบปี
ช่วยอดีตเจ้าอาวาสพัฒนาวัด จนเป็นแหล่งเรียนรู้ทางพุทธศาสนาดี ๆ ต้องลาสิกขาออกไป ตั้งแต่ตอนนั้นศรัทธาที่อยู่กับวัดนี้ ก็เริ่มสั่นคลอนละ พอเจ้าอาวาสมรณภาพ การประกาศแต่งตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่
ก็เป็นพระที่ชาวบ้านว่ากันว่าเป็นองค์ที่เขียนบัตรสนเท่ห์ เพิ่งเข้ามาจำวัดได้ไม่กี่ปี ก็เป็นเจ้าอาวาสแล้ว หลวงน้า หลวงตา หลวงพี่ เก่า ๆ ที่ดูแลวัดมาตลอด ไม่ได้แต่งตั้ง แต่ไม่ได้ขัดขวางอะไร
ลองถามหลวงน้าดู ท่านตอบมาดีมาก "เขาอยากเป็น ก็ให้เขาเป็นไป เราอยู่อย่างบริสุทธิ์อย่างนี้ดีแล้ว" เป็นคำตอบที่ชัดเจนมาก เพราะหากพระยังหลงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เป็นสิ่งไม่แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ๆ แม้แต่ตัวเราเองนะ ทำไมจึงต้องขวนขวาย แสวงหาขนาดนั้น
วันนั้นที่ไปทำบุญมีคนมาทำบุญประมาณสิบครอบครัว น้อยที่สุดตั้งแต่ผมมาทำบุญที่วัดนี้ทั้งที่เป็นวันหยุด วันอาทิตย์ อาจเป็นเพราะช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษา หรืออาจเป็นเพราะศรัทธาลงลงก็ได้
ศรัทธาในวัดลดลง แต่ศรัทธาในพุทธศาสนา ยังคงเดิม บ้านผมเลยตกลงว่าจะมาทำบุญที่วัดใกล้บ้านหน่อย เดินไปได้ โดยปกติ ก้ไปทำบุญที่วัดนี้บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก แต่หลังจากนี้คงเป็นวัดทำบุญหลักละ
ก็สะดวกดี วัดที่ทำบุญบ่อย ๆ ห่างบ้านไปประมาณ กิโลกว่า ๆ แต่วัดใกล้บ้านนี่ แค่สามร้อยเมตร.. สะดวกสำหรับแม่ด้วย วัดพระที่ไม่ตรงวัดหยุด จะได้ไปทำบุญสะดวกขึ้น
แต่โดยปกติ ที่ตักบาตรทุกเช้า ก็ตักบาตรกับวัดนี้นะ ดังนั้นก็เหมือนทำบุญที่เดิม เพิ่มขึ้นนั่นเอง..
พอวันอาฬาหบูชา ก็มาทำบุญที่วัดนี้กัน คนเยอะมากกว่าทุกครั้งที่เคยมาทำบุญ.. ด้วยความที่ไม่คุ้นเคย ก็ทำอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง ไว้ปรับปรุงในคราวหน้าละกันนะ

สิ่งต่าง ๆ ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจ ในช่วงเวลาที่ผ่านไป
แม้ความคิด ความเชื่อก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่คนเราจะเปลี่ยนแปลงไปทางดีขึ้นหรือเลวลงก็เท่านั้น

เอาไว้อ่าน "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" จบแล้ว จะมาเล่าให้ฟัง
อาจจะทำให้ผมมองโลกได้กว้างขึ้น อาจจะทำให้ผมเข้าเข้ามนุษย์มากขึ้น อาจจะทำให้ผมมีความคิดดี ๆ เพิ่มขึ้น
แล้วมาลองดูกันว่าจะพัฒนาความคิดของเราได้ไหม?

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ผมเป็นแค่พืชอิงอาศัย

ในวันหนึ่ง ๆ คนเราต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากน้อยแค่ไหนกัน?
มีใครซักกี่คนที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า วันหนึ่ง ๆ ไม่ได้พึ่งพาผู้อื่น หรือสิ่งอื่น ๆ เลย
เพราะโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยกันเสมอครับ

เช้าขึ้นมา ผมก็ต้องพึ่งพา แฟนผมในการทำอาหารเช้า แฟนผมย่อมต้องพึ่งพาแม่ค้าขายข้าวสาร แม่ค้าขายข้าวสารย่อมต้องพึ่งพาโรงสี โรงสีย่อมต้องพึ่งพาชาวนา ชาวนาย่อมต้องพึ่งพา ธรรมชาติ ฝนฟ้า ถ้าอ่านความเกี่ยวข้องอย่างนี้แล้ว คุณคิดว่าส่วนไหน เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด? ลองมองย้อนกลับดูนะ ชาวนาย่อมต้องพึ่งพาโรงสี โรงสีย่อมต้องพึ่งพาแม่ค้า แม่ค้าย่อมต้องพึ่งพา ลูกค้าอย่างแฟนผม แล้วถ้าผมไม่กินข้าวเช้า แฟนผมก็คงไม่จำเป็นต้องหุงข้าว

สิ่งเดียวที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครคือธรรมชาติ ไม่ต้องมีชาวนา ฝนฟ้าก็ตกได้ แต่ธรรมชาติ อย่างหนึ่ง ย่อมต้องพึ่งพาธรรมชาติ อย่างอื่น ๆ อยู่ดี

ลองมองกลับมาที่ทำงานบ้าง คุณย่อมพึ่งพา แม่บ้าน เพื่อทำความสะอาด พึ่งพายาม เพื่อช่วยดูแลความปลอดภัย พึ่งพาเพื่อนร่วมงาน พึ่งพา ส่วนอื่น ๆ แผนกอื่น ๆ  เพื่อให้งานสำเร็จ
ไม่มีใครที่สามารถทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ
แม้แต่ชาร์ล ดาร์วิน ที่คิดทฤษฎีวิวัฒนาการ ก็ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่น
สเปนได้แชมป์ฟุตบอลโลก ก็ต้องพึ่งพาโค้ช และทีมงาน ร่วมทั้งแฟนบอลที่ให้การสนับสนุน

เพราะฉะนั้น ยังไงทุกคนก็เท่าเทียมกัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ คนเราทุกคนจึงควรเคารพกันและกันเสมอ และคนเราทุกคนควรให้ความเคารพธรรมชาติอย่างยิ่ง

ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะโกรธเกลียดกันเลยนะ เพราะยังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกันเสมอ เหมือนนิ้วมือที่ต้องทำงานร่วมกันอยู่ตลอดนั่นแหละ

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีช่องว่าง ต้นไม้ใหญ่ มักมีพืชชนิดอื่นมาอยู่ด้วย หากมาอยู่แล้วไม่ได้ทำร้าย แล้วยังช่วยดึงความชื้นให้ต้นไม้ใหญ่ เรียกว่าพืชอิงอาศัย
แต่ถ้าพืชที่มาอยู่แล้วทำร้ายต้นไม้ด้วย อาจทำให้ต้นไม้ใหญ่นั้น ๆ พิการ หรือตายได้ คงเป็นพวกกาฝาก ที่ไร้ประโยชน์

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันไปหมด ทำไมต้องโกรธ ต้องเกลียด ต้องทำร้ายกัน

ทุกวันนี้ผมใช้วิธีการคัดออก หากผู้คนที่เรารู้จัก แสดงนิสัย หรือพฤติกรรมแบบกาฝากออกมา ไม่ใช่เพราะโกรธ เพราะเกลียด แต่เพราะเกรงว่าผลของกาฝาก อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงมาที่ผมได้
และผมยังไม่อยากเป็นกาฝาก เป็นไส้ติ่ง สำหรับโลกใบนี้

ผมพยายามเป็นเพียงพืชอิงอาศัยต้นเล็ก ๆ ที่อาศัยเกาะอยู่บนโลกใบนี้
พวกคุณอยากเป็นอะไรละ สำหรับโลกใบนี้ พืชอิงอาศัย หรือ กาฝาก

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ล้อมรั้ว ล้อมใจ

สัปดาห์ก่อนโน่น ไปซื้ออิฐมวลเบามาทำบล็อคปลูกผักสวนครัว ไม่ใช่ไม่มีที่ดินจะปลูก
ธรรมดาก็ปลูกอยู่แล้วนะ แต่บังเอิญเจ้าสองมะ ก็ชอบต้นไม้เหมือนกัน แต่ชอบกัด ชอบขุด ชอบคุ้ย เลยต้องหาวิธีปลูกที่ปลอดภัยขึ้น
หลังจากทำเสร็จไปสามบล็อค ลงกาบมะพร้าว ลงดินผสม เสร็จ ทิ้งไว้วันหนึ่งก็ลงเมล็ดผักคะน้าไว้บล็อกหนึ่ง ลงแตงกวาไว้อีกบล็อคหนึ่ง
ส่วนอีกบล็อคก็เอาต้นโหระพา พริก ผักชีฝรั่งที่ปลูกไว้ในกระถางมาลง แปลงปลูกทั้งสามก็สวยเชียว กะว่าพอต้นอ่อนเริ่มงอกจะถ่ายรูปมาอวดกันละ
ผ่านไปสองวัน กลับจากที่ทำงาน แปลงปลูกทั้งสามแปลงก็กระจาย เละเทะ เศษดินเต็มพื้นบ้าน เจ้าสองมะ เอาอีกแล้ว โดยการนำของลุงมาวินข้างบ้าน
หลังจากที่ดูเชิงมาสองวัน พอต้นอ่อน กำลังจะขึ้น พวก มะมะมา (มะลิ มะระ มาวิน) ก็ลงมือทันที และประสบความสำเร็จอย่างสูง
เมื่อปัญหามีไว้แก้ และอุปสรรคมีไว้ก้าวข้าม เสาร์ที่ผ่านมาก็เลยจัดการแก้ปัญหา ด้วยการล้อมรั้ว ตรงตามสำนวนไทยที่ว่า วัวหายแล้วล้อมคอก
แต่นี่เป็น หมาลุยแล้วล้อมรั้ว ก็ไปซื้อแผ่นพลาสติกเขียว ๆ รูๆ มาเมตรละ 30 บาท ก็ซื้อมายกม้วนเลย 30 เมตร เจ้าของร้านลดให้เหลือ 800 บาท

แล้ววันเสาร์ที่ผ่านมาก็จัดการทำรั้วซะ ล้อมแปลงใหญ่ และแปลงเล็ก กลายเป็นแบ่งสัดส่วนการปลูกไปเลย ก็ดูดีนะ ส่วนจะป้องกัน พวก มะมะมา ได้แค่ไหน
คงต้องดูกันต่อไป เพราะไม่รู้ว่าวันสองวันนี่ จะเป็นช่วงลองเชิงอีกหรือเปล่า
รั้วที่ทำนี่ ก็ใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นเสา ก็ทำไม่ยากหรอก แต่ใช้เวลาเหมือนกัน ส่วนที่ท้าทายคือส่วนที่จะใช้เป็นประตู ว่าจะทำอย่างไร พอเสร็จแล้วก็พอใจนะ
ว่ายังสามารถแก้ไขปัญหาได้อีกหน่อยหนึ่ง แต่อย่างที่ว่าคงต้องดูกันต่อไป
พอทำรั้วเสร็จ ก็เติมดินลงในบล็อค เป็นการชดเชยดินที่เสียไปจากการจัดการของพวก มะมะมา
เฉพาะภายในรั้วที่กั้นไว้ก็รวม ๆ ประมาณ 20 ตารางเมตรกว่า ๆ ปลูกต้นไม้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วหลายอย่างนะ ทั้งชะอม ขนุน ส้ม ส้มจี๊ด มะนาว กระเจี๊ยบ กระท้อน แค ขิง พริก และอื่น ๆ
พยายามให้มีหลากหลาย แล้วก็พยายามจะรักษาไว้ทั้งหมด แต่บางส่วนก็เป็นไม้ใหญ่ ยืนต้น คงต้องพยายามรักษาเอาไว้ให้โตขึ้นละนะ
ส่วนนอกรั้ว ก็ยังไปล้อมไว้อีกบล็อคหนึ่ง เหมือนที่บอกไว้แล้ว แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูกัน ไว้ คราวหน้านะ

ยังไง ๆ ก็ต้องรอดูระยะยาว ว่ารั้วที่ทำจะป้องกัน ต้นไม้ไว้จากพวก มะมะมา ได้หรือไม่
บางคนอาจจะตั้งคำถามว่า ทำไมไม่ตี ไม่ทำโทษ พวก มะมะมา
ขอถามกลับว่าทำโทษไปแล้วได้อะไร? คนหลาย ๆ คน บอกว่าอย่าทำ ยังทำ ทั้ง ๆ ที่ก็พูดภาษาเดียวกัน นับประสาอะไรกับหมา ๆ พูดว่าอย่า ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก
ไม่รู้ว่าจะพูดว่าคนมันเป็นเหมือนหมา หรือหมาเขาเป็นอย่างคนดี...
ถึงจะทำโทษ ถึงจะตีไป พวกมะมะมา ก็ไม่เข้าใจหรอก อย่างมากก็แค่สงสัย ว่าตีทำไม เจ็บนะ แต่ต้นไม้ก็ไม่กลับมาเหมือนเดิมอยู่ดี
ถามต่อว่าผมโกรธไหม? ก็ไม่ได้โกรธ แค่หงุดหงิดนิดเดียว แล้วก็ขำ ๆ ก็นะ ปัญหามีไว้ให้แก้ อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้าม จะไปหงุดหงิดมันทำไม
ไม่เหมือนคนนะพูดกันภาษาเดียวกัน ห้ามแล้วก็ยังทำ ทั้ง ๆ ที่เข้าใจ นี่ซิ ที่เป็นปัญหา.. น่าเอามาเป็นอารมณ์มากกว่าเยอะ

ถ้าเอาคนเลวไปเทียบกับหมาแย่ อะไรที่มันจะทำให้โลกเราเลวลงกว่าเดิมกัน
หมามันก็แค่ขุด แค่คุ้ย แค่กัน ต้นไม้เล็ก ๆ พอล้อมรั้ว ก็ป้องกันต้นไม้ได้แล้ว
แต่คนนี่ตัดได้แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ ๆ ล้อมรั้วก็ป้องกันไม่ได้

ปัญหาจากหมา ๆ นี่ ยังพอป้องกันได้ แต่ปัญหาจากคนนี่ซิที่ป้องกันได้ยาก 
ลองไปหาโฆษณาชุด ขอโทษ ประเทศไทย ที่กำลังโดนแบน อยู่ช่วงนี้ดูนะครับ
แล้วลองย้อนดูตัวเองว่า เป็นอย่างนั้นหรือไม่
ยังไงก็เริ่มจากการป้องกันจิตใจของตัวเอง ให้ออกห่างจากการเห็นผิดเป็นชอบก่อนแล้วกัน

แกงส้มดอกแค แล หมูกระทะ

วันเสาร์ที่ผ่านมาได้ไปกินหมูกะทะ บุฟเฟ่ต์ กินไม่อั้น ราคาเดียว 109 บาท
แน่ละ ไปกันสองคน แล้วก็เป็นคนที่กินไม่เยอะทั้งคู่ แต่ได้เหตุผลที่ว่า มีอาหารให้เลือกเยอะ
ด้วยราคานี้ กินได้ตั้งหลายอย่าง ก็ไปนั่งกินกันสองคน ระหว่างนั้นก็มองดูโต๊ะรอบข้าง
แต่ละโต๊ะ เต็มไปด้วยจานอาหารสด คิดว่าจนเกินกว่าที่คน ๆ หนึ่งจะกินได้นะ
แล้วก็กินกันอย่างหิวกระหาย เหมือนไม่เคยกินมาก่อน หรืออดอยากมาหลายวัน
ผมก็นั่งไปค่อย ๆ กินไป เกือบชั่วโมงก็กลับบ้าน ใช้เวลาไปเกือบ ๆ ชั่วโมง
อิ่มมาก ๆ แต่จานอาหารเล็ก ๆ ที่เอามากินกันก็ประมาณสิบจานได้ละมั้ง

จนกลางคืนก็เกิดอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ซะอย่างงั้น เป็นคนเดียวอีก แฟนไม่เป็นไรเลย
นอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะกินเนื้อสัตว์มากไปหน่อย ร่างกายไม่ค่อยชิน เลยเป็นอาการแบบนี้
จนวันอาทิตย์ก็ยังเพลีย ๆ ทั้งวัน แล้วก็ไม่อยากกินอะไรอีกด้วย ร่างกายมันเนือย ๆ ไปเลย

ร้านอาหารแบบกินไม่อั้นนี่เป็นร้านที่เล่นกับความโลภของคนนะ
หากคุณเข้าไปในร้านเพื่อกินแค่อิ่ม โดยต้องการกินอาหารหลากหลาย และควบคุมราคาได้ ก็สามารถไปกินได้
เมื่อคุณเข้าไปนั่งลองสำรวจดูรอบ ๆ ตัว คุณจะเห็นคนโลภ ที่กินอาหารมากเกินพอดี
คนตะกระตะกรามที่พยายามยัดทุกอย่างเข้าไปในท้องตัวเองให้มากที่สุด
คนที่พยายามจะเอาอาหารสดบางส่วนกลับบ้าน นี่ หนักหน่อย กินแล้วยังโกงอีก
มองแล้วก็เห็นละว่ามนุษย์ และโลกเรายังคงเป็นอย่างนี้อยู่
เพราะความโลภบังตา บังใจ เลยพยายามกินเข้าไปให้มากที่สุด เพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด

ยังดีนะที่ผมกับแฟนไม่ได้กินเพื่อให้คุ้มค่า ไม่อย่างนั้นผมคงอาการหนักกว่านี้ละมั้ง
แต่ก็ยังสามารถไปกินได้อีกนะ อาหารหลากหลาย ควบคุมราคาได้
แต่คราวหน้าคงลดลงบ้างแล้ว... ทั้งการกินเนื้อสัตว์ และความโลภ

แล้วถ้าเลือกได้ก็ขอไปเก็บดอกแคหลังบ้านมาทำแกงส้มกินที่บ้านอร่อยกว่า....

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แม่น้ำคุ้งเคี้ยวคด ควรจร

ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ก็รักษาสุขภาพกันหน่อยนะครับ
เกือบเดือนมาแล้วไม่ได้เขียนเลย มัวแต่ดูบอลโลกซะอวันนี้เลยเอาซะหน่อยนะ
ถึงไม่ได้เขียนอะไร แต่ใช่ว่าชีวิตจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมนะครับ
บอลโลกที่จบไปก็สมใจผมละ ทีมที่ผมชอบได้ถ้วยไปครองจนได้ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ความจริงผมแค่ชอบฟุตบอล ทั้งลงไปเล่น แล้วก็ดูนะ ส่วนเวลาที่จะเชียร์ใคร ก็ดูตอนเล่นเลยละกัน
อย่างคู่บราซิลกับฮอลแลนด์ ก็ชอบทั้งคู่ แต่พอเริ่มดูถึงจะรู้ว่าเชียร์ฮอลแลนด์ ก็เพราะว่าเป็นผมละน่ะ
ผมไม่รู้ว่าคนที่ดีใจ เสียใจ ขนาดหนัก เวลาที่ทีมตัวเองเชียร์แพ้ ทำไมถึงเป็นกันได้ขนาดนั้น
หรือคนที่ดีใจสุด ๆ เวลาทีมตัวเองเชียร์ เล่นชนะ ก็เหมือนกัน อย่างบางคนที่เรียกตัวเองว่าสาวก ทีมนั้น ทีมนี้
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อาจเป็นเพราะ ผมไม่ใช่พวกที่ชอบหรือเกลียดอะไรสุดขั้วได้ละมั้ง ก็ดีไปอย่าง...

นอกจากบอลโลก ช่วงที่ผ่านมาก็เรียนรู้ชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย ได้รู้จัก ได้ศึกษา มนุษย์ เพิ่มขึ้น ทั้งคนที่เห็นแก่ตัว คนที่เผื่อแผ่
คนที่เอาเปรียบคนอื่นเสมอ คนที่ยอมคนอื่นเสมอ คนที่เอาแต่ใจ คนที่ชอบตามใจคนอื่น ๆ คนที่เห็นการทำผิดเป็นชอบ
คนที่รู้ว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่ยอมทำ คนที่มัวแต่ขโมยงานคนอื่น จนตัวคิดงานเองไม่เป็น คนที่คิดงานดี ๆ ได้ แต่มองวิธีทำให้สำเร็จผิด
คนที่คอยขัดแข้งขัดขาคนอื่น เวลาที่เขากำลังจะทำดีแล้วได้ดี คนที่ไม่เห็นความสำคัญของคนอื่น ถึงแม้จะเก่ง แต่ไม่ใช่พวกพ้องตัวเอง

เพราะมนุษย์ ยังคงเป็นอย่างนี้อยู่ โลกจึงอยู่ในสภาพอย่างนี้ สังคมจึงเป็นแบบนี้
ผมก็ได้แต่ศึกษา แล้วถอยออกมาห่าง ๆ คอยดูคนเหล่านี้เฉย  ๆ พยายามไม่ไปคลุกคลีด้วย
น่าแปลกที่กลับเป็นตัวผมเองที่รู้สึกว่าแปลกแยกไปจากคนอื่น คนอื่นมองมาที่เราแปลก ๆ ขวางโลก
เหมือนเวลาที่มีคนพูดว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่ถ้าเป็นเป็นเรื่องไม่ดี ก็ยังจะทำตามเหรอ เห็นความกระโดดลงบ่อโคลน เราต้องกระโดลงตามหรือ
ที่เขียน ๆ มานี่ ไม่ใช่ว่าผมจะเป้นคนดีพร้อมนะครับ ก็ยังเป็นคนธรรมดาที่พยายามจะดีแค่นั้นเอง

ด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ที่เข้ามา ทำให้รู้สึกเสื่อมศรัทธาในมนุษย์ลงไปอีกนะ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ว่าคงจะมีคนดี ๆ อยู่บ้าง
ปี ๆ หนึ่ง ได้พบได้รู้จักคนดี ๆ เพิ่มขึ้นแค่คนเดียวก็คุ้มแล้ว แม้ว่าปีหนึ่ง ๆ จะพบจะรู้จักคนเลวเป็นร้อยคนก็ตามนะ

ช่วงนี้เลยหันมาอ่านโคลงโลกนิติ อย่างจริง ๆ จัง ๆ เพื่อศึกษาความรู้จากคนรุ่นเก่า ๆ แนะนำให้ลองหามาอ่านนะครับ
แล้วก็หาแบบที่มีการอธิบายมาด้วยเลย เพราะคำที่ใช้ในโคลงหลาย ๆ คำ โบราณ หรืออาจไม่ได้ใช้แล้ว อาจจะเข้าใจยาก ถ้าอ่านเฉยๆ
แต่ขอยืนยันครับ ว่าเพราะและมีประโยชน์จริง ๆ ถ้า อ่านแล้วคิด คิดแล้วพิจารณา พิจารณาแล้วเลือกมาปฏิบัติ
มีทั้งคำเตือน คำสอน คำแนะนำ ดี ๆ ครับ

เลยขอจบด้วยบทหนึ่งจากโคลงโลกนิติ เลยแล้วกัน

แม่น้ำคุ้งเคี้ยวคด    ควรจร
เหล็กคดทำเคียวรอน    ไร่เข้า
ไม้กระทดกระทำทอน  ทุกที่  กงนา
คนคดดั่งคูถเหน้า  บ่ต้อง  การงาน

แม่น้ำคดเคี้ยว ก้ยังใช้เดินทางไปไหนมาไหนได้นะ เหล็กคดก้เอามาใช้ทำเคียวได้อีก
ไม้คดยังเอามาทำกงล้อเกวียนได้อยู่ แต่ไอ้คนคดนี่ซิ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ น่ารังเกียจที่สุด