วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเพณี วัฒนธรรม กับความเชื่อ

กลับจากญี่ปุ่นพร้อมกับความประทับใจหลาย ๆ อย่าง จากที่ไปมาแล้วหลายครั้งก็ยังคงความประทับใจเช่นเคย อัธยาศัย น้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยังคงมีอยู่
ก่อนกลับวันสุดท้าย ไปเดินหาของกิน ของฝาก โดยขึ้นรถไฟไปหนึ่งสถานี แล้วจะไปหาร้านกัน ด้วยความไม่เคยไป เลยไปถามสาว ๆ ที่นั่งอยู่ ถึงจะสื่อสารกันคนละภาษา แต่พวกเธอก็พยายามอธิบาย ชี้ทางจนไปถูก ส่วนตอนกลับเพราะเดินจนออกไปอีกทาง พวก ๆ กันก็เริ่มหลงทิศ เลยพากันไปถามสาว ๆ (อีกแล้ว) ที่นั่งอยู่แถวนั้น แล้วพวกเธอก็ช่วยนะ โดยพามาส่งจนถึงสถานีเดิมเลย ขึ้นรถไฟมาด้วยกัน
ประทับใจมาก เลยเอาช็อกโกแลตที่ว่าจะเอามาเป็นของฝากให้พวกเธอไปอันนึง. เรื่องพวกนี้คงต้องบ่มเพาะกันมานานนะ ความมีน้ำใจและพยายามช่วยเหลือเนี่ย
ก็อยากจะบอกประสบการณ์ซะหน่อยนะว่าเวลาจะถามใครที่อยู่ใกล้ ๆ สถานีรถไฟ อย่าเลือกถามคนที่เดินไปเดินมา เพราะเขากำลังรีบที่จะไปรถไฟเที่ยวเวลานั้น ๆ อยู่คงช่วยไม่ได้ เพราะรถไฟของเขาตรงเวลามาก ให้เลือกถามคนที่นั่ง หรือยืนเฉย ๆ น่ะ เขาอาจจะว่างและมีเวลาที่จะช่วยเหลือเราได้
ความจริง การเดินทางไปและกลับนี่ก็ไม่ได้เกินความสามารถของเราหรอกนะ แต่อยากคุยกับสาวญี่ปุ่นน่ะ

พอกลับมาสิ่งแรก ๆ ที่อยากจะทำคือไปพิพิธภัณฑ์ เพราะไปคราวนี้อย่างที่เคยบอกไปแล้ว คนญี่ปุ่นเขาพิพิธภัณฑ์ของประเทศเขากันเยอะมาก ๆ จนประทับใจ ในความภูมิใจในชาติพันธ์ของเขา

ช่วงนี้ที่มิวเซียมสยาม มีนิทรรศการเครื่องรางของขลัง แล้วก็นิทรรศการเรื่องส้วม เลยขอไปดูซะหน่อย สำหรับคนที่ไม่ได้ไปพิพิธภัณฑ์นานแล้ว ก็ขอบอกว่าเขาปรับปรุงไปเยอะแล้วนะ
น่าสนใจขึ้นมาก ๆ ไปแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ไปคราวนี้ก็ปลื้มใจนะ ที่เห็นคนให้ความสนใจ ไปเข้าชมทั้งนิทรรศการปกติ และพิเศษ กันหนาตาทีเดียว ดูจะเยอะกว่าคราวก่อนที่มามาก ประทับใจนิทรรศการเครื่องรางของขลัง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อความศรัทธาของคนในบ้านเราได้เป็นอย่างดี ใครอยากเห็นพระเครื่อง ตะกรุด ธนูคต ไม้ครู ที่หาดูที่ไหนได้ยาก ก็มาดูกันซะนะ อาจเป็นครั้งเดียวที่คุณมาเห็นด้วยตาตัวเอง ส่วนตัวแล้วผมมองของพวกนี้ในเชิงความสวยงามด้านศิลปะมากกว่าความขลังนะ ต้องชมว่าทางพิพิธภัณฑ์จัดได้น่าสนใจและสวยมากครับ
บางทีการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราอาจจะพัฒนามาถูกทางแล้วก็ได้นะ
เพราะเป็นคนที่ชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ชอบไปดูโบราณสถาน ครั้งหนึ่งไปดูเวียงกุมกามที่เชียงใหม่ พวกกันที่ไปด้วยมองเห็นซากปรักหักพัง แต่ผมพยายามที่จะมองให้เห็นอดีตที่เคยเป็น
มันจะสนุกขึ้นนะถ้าเวลาที่เราไปดูโบราณสถานแล้วจินตนาการถึงสิ่งที่เคยเป็น จากซากที่หลงเหลืออยู่ เหมือนการฝึกสมองเลยล่ะ
พิพิธภัณฑ์มักจะมีของที่หาดูได้ยาก และน่าสนใจมาก ๆ เสมอ ถ้าไปดู แล้วศึกษา ก็จะมีความรู้ของชาติพันธุ์เราติดตัวไว้ อย่างภาคภูมิใจ

อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวันลอยกระทง วัตถุประสงค์ของวันก็คือการขอโทษและรำลึกถึงคุณของสายน้ำ ปีนี้ก็เช่นเคย ไม่ได้ออกไปไหน ลอยมันในบ่อที่บ้านนี่แหละ คนที่ลอยกระทงเดี๋ยวนี้เพื่ออะไร
ขอพรให้กับตัวเองเกือบทั้งนั้น ประเพณียังคงอยู่แต่วัตถุประสงค์ถูกบิดเบือนไป น่าเสียดายที่ ททท. สนับสนุน โดยมักจะออกตัวว่าเป็นวันเผาเทียนเล่นไฟ ประกวดความงาม ไม่เคยจะบอกถึงวัตถุประสงค์หลักซักครั้ง เขียนไปก็เหมือนกับผมจะมีปัญหากับ ททท. เรื่องการท่องเที่ยวบ่อยนะ เพราะผมมีความคิดว่า ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อ กับการท่องเที่ยว สามารถเดินไปด้วยกันได้ โดยแทบไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลง โครงสร้างเดิม
ถ้าคนของ ททท. มีโอกาสได้อ่าน ฝากไว้ด้วยนะครับว่า อย่าไปแนะนำให้คนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อการท่องเที่ยว แต่ให้ไปแนะนำให้นักท่องเที่ยวปรับปรุงตัวอย่างไร เมื่อไปเที่ยวที่ไหนดีกว่า.
หลายครั้งที่ผมเห็นคนที่ไปเที่ยวในสถานที่ใหม่ ๆ แต่ไม่ยอมที่จะทดลองอาหารหรือเครื่องดื่มในท้องถิ่นนั้น ๆ แล้วจะได้อะไร ถ้าการไปเที่ยวไม่ปรับตัวให้เข้ากับสถานที่

หลังลอยกระทงที่เป็นงานหนักก็คงเป็นเรื่องขยะกระทงล้นเมืองนะ.. ผมใช้ต้นกล้วย ใบตอง และดอกไม้ที่บ้าน ลอยที่บ้าน ลอยเสร็จ ก็เอามาฝังเป็นปุ๋ย.. พยายามไม่เบียดเบียนสายน้ำให้มากกว่านี้ ในเมื่อวัตถุประสงค์หลักของการลอยกระทง
คือการขอขมาลาโทษกับสายน้ำ แล้วจะไปเพิ่มขยะจำนวนมากลงในสายน้ำทำไม.. น่าจะรณรงค์นะ หนึ่งชุมชน หนึ่งกระทงก็ยังดี สร้างความสามัคคีร่วมกันทำกระทง แล้วยังลดขยะได้ด้วย
ส่วนเรื่องของการเล่นประทัด เสียงดัง ๆ นี่ไม่เห็นด้วยนะ ถ้าเป็นพวกไฟเล็ก ๆ สวย ๆ ที่ไม่มีเสียงดังมากมายก็ยังได้อยู่ แต่พวกเสียงดัง ๆ นี่น่าเบื่อมาก..
คล้ายคนที่มีปมด้อยไม่มีใครสนใจแล้วเรียกร้องความสนใจด้วยเสียงดัง ๆ เลย สงสัยคนที่เล่นคงมีปัญหาอะไรซักอย่างในจิตใจน่ะ
อีกเรื่องคือการลอยโคมยี่เป็งที่ภาคเหนือ เขาก็ทำกันมานานแล้ว ก่อนจะมีสนามบินอีกนะ คงต้องหาวิธีที่จะไม่มีปัญหาซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ไปบังคับให้เขาห้ามลอยยี่เป็งช่วงเวลานั้น เวลานี้ อาจสร้างความไม่พอใจให้คนในท้องถิ่นได้นะ
มีวิธีการอีกมากมายที่จะไม่ทำให้เกิดรอยร้าวในจิตใจของผู้คน ลองหาดูละกันนะเครื่องบินเอ๋ย.

คราวนี้ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารอะไร แค่เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง บ่นไปตามเรื่องตามราว ไม่รู้จะยกอะไรมาปิดท้าย

เพราะไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดที่สุด ความถูกและผิดขึ้นอยู่กับสถานที่และช่วงเวลาเสมอ
อย่าบอกว่าการกระทำที่ทำต่อ ๆ กันมาถูกหรือผิด สามารถปรับปรุงได้ แต่อย่าหลงลืมวัตถุประสงค์เริ่มต้นของการกระทำนั้น ๆ ก็แล้วกันนะ

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ฉลองครบรอบเมืองหลวงเก่า นารา 1300 ปี ที่ญี่ปุ่น

คนเรานี่ได้ลองของใหม่ก็ย่อมตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา คราวนี้ได้ลองของใหม่หลายอย่าง เริ่มจากการเดินทางด้วยแอร์พอร์ตลิงค์ ครึ่งชั่วโมงถึงสุวรรณภูมิ สุดยอด.. ตรวจคนเข้าเมืองที่ญี่ปุ่น เพิ่มระบบการสแกนนิ้ว แล้วก็ถ่ายรูปใหม่... ก็ตื่นเต้นดี
เที่ยวนี้มาพร้อมกับดาราดังของไทยเราด้วย อัธยาศัยก็เหมือนดาราทั่วไป แต่ผู้ชายเขาก็ดีหน่อย มีทักทาย มียิ้มให้ด้วย ส่วนผู้หญิงหน้าเป็นจวักตลอด แล้วยังสูบบุหรี่อีกด้วย.. คงเป็นตัวตนจริง ๆ ของเขาละมั้งนะ

มานาราคราวนี้ พร้อมฉลองครบรอบนารา ที่เคยเป็นเมืองหลวงเมื่อ 1300 ปีก่อน มีการจัดงานเยอะแยะ เลยแปลกหูแปลกตาไปบ้างกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายมหาศาลในเมืองนารา
ที่เคยเป็นเมืองเงียบสงบ ก็คึกคักขึ้นมากเลยทีเดียว เขามีการนำเอาเครื่องดนตรี คงเป็นประเภทพิณ มั้ง อายุ 1300 ปี มาจัดแสดงด้วย คนให้ความสนใจกันมหาศาล
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เป็นชาวญี่ปุ่น เห็นแล้วก็สะท้อนใจ บ้านเขาภูมิใจในประวัติและตัวตนแห่งชาติพันธุ์ของตัวเอง พิพิธภัณฑ์ถึงจะเก็บค่าเข้าชมก็ยังมีคนเข้าชมกันมากมาย
ส่วนบ้านเราค่าเข้าชมถูกแสนถูก เวลาไปพิพิธภัณฑ์ที เห็นแต่ชาวต่างชาติ... ถ้าไม่ภูมิใจและสนใจในชาติพันธุ์ของตัวเอง แล้วเราจะพัฒนาไปกันยังไง
พอมานาราช่วงที่ดี ๆ แบบนี้ เลยต้องออกเดินทางไปชื่นชมความงามของเมืองที่มีมรดกโลกอยู่ซะหน่อย ปัญหามีอยู่นิดเดียว คราวนี้ที่พักอยู่ไหนนะ บังเอิญไปได้ที่พักอยู่แถว ๆ Shin-Omiya
จากสนามบินก็เหมือนเดิม ไปขึ้นลีมูซีนบัสที่ชานชาลาที่ 9 ไปลง JR Nara เนื่องจากไปที่พักไม่ถูกเลย ว่าจะขึ้นแท็กซี่ ติดอยู่ตรงที่ไม่มีเงินมากพอจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เลยเดินตากฝนไปลองลงรถไฟที่สถานี  Kintetsu สบาย ๆ มั่ว ๆ 150 เยน ก็ถึงที่ใกล้ ๆ ที่พักแล้ว ประหยัดไปเกือบยี่สิบเท่า ฝากของเรียบร้อยก็ย้อนกลับมาเริ่มที่สถานี Kintetsu แล้วเดินไปที่วัดโคฟุกุจิ ที่มีเจดีย์ 5 ชั้น ที่สูงเป็นอันดับสองในญี่ปุ่น
เพราะเป็นช่วงงานฉลอง เลยมีการเปิดให้เข้าชมภายในเจดีย์ด้วย แต่มีค่าเข้าชมนะ.. เลยขอดูข้างนอกละกัน แล้วก็เลยไป Nara Park สวนสาธารณะกลางเมืองนารา ที่มีกวางเดินกันเพ่นพ่านไปหมด
ผ่านพิพิธภัณธ์แห่งชาติ นารา ที่แสดงพิณ อายุ 1300 ปี แล้วก็มีคนต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อมีโอกาสเข้าไปชื่นชม คนเยอะ เอาไว้ก่อนละกัน เลยไปเยี่ยมชมมรดกโลก วัดโทไดจิ ผ่านซุ้มประตูนันไดมง
เสาไม้ต้นใหญ่ ๆสิบแปดต้น แล้วมียักษ์แกะจากไม้ทั้งต้นตัวใหญ่มาก ๆ ค่อยเฝ้าประตูทั้งสองข้าง ขอบอกว่าคนเยอะมาก ๆ เบียดกันเลย จากที่เคยมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้คนแน่น ๆ มาก ๆ ถึงมากที่สุด
เข้าไปดูด้านใน เสียค่าผ่านประตูไปห้าร้อยเยน เข้าไปดูวิหารไดบุดสึเดน แปลเอาง่าย ๆ ก็วิหารหลวงพ่อโต นั่นแหละ เพราะมีพระสำริด องค์ใหญ่มาก ๆ สูงสิบหกเมตร หนัก 500 ตัน
ชื่นชมเสร็จก็แวะซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ อุดหนุนทางวัดไป ขอบอกที่วัดนี้มีทำบุญกระเบื้องหลังคาเหมือนบ้านเราเลย บริจาดพันเยน แล้วเขียนชื่อลงบนแผ่นกระเบื้อง.. สงสัยเจ้าอาวาสไปดูงานที่เมืองไทยมา..
ออกจากวัดโทไดจิ ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเดิมทุกครั้งที่มา ยิ่งใหญ่ สวยงาม ล้ำค่า สมแล้วที่เป็นมรดกโลก เดินขึ้นเขาไปต่อที่วัดนิงัตสึโด กับวัดซังงัตซึโด มองลงมาเห็ยอดเจดีย์ห้าชั้น ชัดเจนเลย
พร้อมกับข่าวร้าย กล้องแบตฯ หมด.. บอกไม่ถูกเลยว่าการที่เมมโมรี่เต็มกับแบตฯ หมดอันไหนจะเลวร้ายกว่ากัน
ตัดใจเดินเที่ยวต่อไปตามทางที่มีโคมหินเยอะแยะเรียงรายอยู่ริมทาง ไปสู่ศาลเจ้าทามูเกะยามา ฮาชิมังงุ ไม่รู้อ่านถูกหรือเปล่า Tamukeyama Hachimangu Shrine ศาลเจ้าชื่อดังที่คนมาไหว้ขอเรื่องความรักกัน
คนรักสมบูรณ์แบบผมคงไม่ต้องไหว้ขอกันละ ได้แต่ชื่นชมอย่างเดียว แล้วก็ย้อนกลับออกมาผ่านทางเดิน แวะร้านขายของทุกอย่างร้อยเยน ขึ้นรถไฟกลับที่พัก แล้วก็ออกไปหาของกิน (อีกแล้ว) ที่อร่อย ๆ แถวนั้น
ก็ไม่ผิดหวังอาหารอร่อย แต่ราคาก็สูงไปนิดนึงนะ เสร็จทั้งหมดก็เข้าห้องพักกันละเนี่ย.. นารายังคงเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ผู้คนเป็นมิตร แม้ครั้งนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากมาย แต่เสน่ห์ของนาราก็ยังไม่จางไปนะ

ถ้ามองเห็นความสำคัญของชาติพันธุ์ตัวเอง การพัฒนาคงไปอย่างถูกทางและเหมาะสม
ถ้ามองเห็นคุณค่าของชาติพันธุ์ของตัวเอง อนาคตลูกหลานก็ยังคงมีชาติอยู่..

ทำไมต้องไปลอกเลียนผู้อื่นอย่างมากมาย เหมือนทุกวันนี้ แค่มองให้เห็นคุณค่าของเราแล้วรักษามันไว้ ก็เชิดหน้าชูตาได้แล้ว