วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ศีล 5 ? ศีลข้อ 5?

ปาณาติปาตา เวรมณี...
อทินนาทานา เวรมณี...
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี...
มุสาวาทา เวรมณี...
สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี...

ศีล 5 ข้อที่ห้ามการฆ่า, การลักขโมย, การผิดในกาม, การโกหก แล้วก็การดื่มเหล้า
คนที่เป็นนับถือพุทธทุกคนคงรู้จักกันดีนะ แล้วทั้ง 5 ข้อที่พระพุทธเจ้าท่านให้เป็นพื้นฐานนี้ ยังเป็นพื้นฐานเดียวกันในศาสนาอื่น ๆ ทั่วโลกอีกด้วย
ไม่มีศาสนาไหน สอนให้คนฆ่ากัน ไม่ว่าจะศาสนาเดียวกัน หรือต่างศาสนาก็ตาม เหมือนกับการลักขโมย การไปเป็นชู้กับผู้อื่น การพูดโกหก แล้วก็การดื่มเหล้า.. และหากคนส่วนใหญ่ในโลกนี้สามารถทำตามข้อกำหนดพื้นฐานทั้ง 5 ข้อนี้ได้ โลกเราก็คงจะสงบ มีความสุข แล้วก็พัฒนาได้อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการอยู่กับธรรมชาติได้นะ
เมื่อวานนั่งอยู่ที่บ้าน ฝนตกหนักทั้งวัน เลยไม่ได้ออกกำลังทำอะไรมาก นั่งเก็บหนังที่ยังไม่ได้ดูมาดูซะให้จบ ๆ ระหว่างนั้นก็นั่งคิดเรื่อง ศีล 5 ไปด้วยว่า ข้อไหนกันที่น่าจะสำคัญและจำเป็นที่สุด สำหรับใครที่เข้ามาอ่านครั้งแรก หรือไม่รู้จักผม ก็ขอออกตัวนิดนึงว่าผมเป็นคนที่สมองไม่เคยหยุดคิดเลยไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ยกเว้นตอนหลับ เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยฝัน ก็เลยเดาเอาว่าตอนหลับสงสัยจะไม่คิดอะไร กลับมาตอนคิดถึงศีล 5 กันต่อ พอคิดถึงว่าข้อไหนจะสำคัญที่สุด ก็จำเพาะไปได้ว่า น่าจะเป็นการห้ามดื่มเหล้านะ เพราะการดื่มเหล้า จะเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดหลาย ๆ อย่าง อันนี้ยกตัวอย่างของตัวผมเองก็แล้วกัน ผมคงสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นคนที่เห็นความแตกต่าง เนื่องจากเคยเป็นคนที่ดื่มเหล้ามาก่อน และไม่ใช่ดื่มธรรมดา ดื่มหนักด้วย จนตัดสินใจลด เมื่อ 4 ปีก่อน แล้วก็ ละ เมื่อปีที่แล้ว และปีนี้ก็เลิกไปเลย
ช่วงที่ยังดื่มเหล้าอยู่นั้น เหล้าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดหลาย ๆ อย่างในการดำเนินชีวิตของผม เมื่อดื่มเหล้า สิ่งที่จะตามมาคือสติ ความยับยั้งชั่งใจ จะลดลง ทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างอื่น ๆ อย่างไปเที่ยวต่อ ติดสาวตามที่เที่ยวที่ไป หรือไปชอบพอกับสาวที่ไปเที่ยวโต๊ะอื่น ๆ
ซึ่งหากเริ่มจากเหล้า ซึ่งเป็นการผิดศีลข้อ 5 ก็จะนำผมไปสู่การผิดศีลข้อ 3 และตามด้วยศีลข้อ 4 เพราะคงต้องโกหกแม่บ้าง แฟนบ้าง ว่าไม่ได้ดื่ม หรือ ดื่มแต่ไม่ได้เที่ยว หรือไม่ก็ทั้งดื่ม ทั้งเที่ยว แต่ไม่ได้มีสาว ๆ นะ อย่างน้อย ๆ ก็ 3 ข้อแล้วที่ต้องผิดศีลกันไป อันนี้สำหรับผมยังเป็นคนที่ยึดมั่นในการฆ่าและการขโมยอยู่ จึงไม่ได้ผิดศีลใน 2 ข้อนี้ แต่ในส่วนคนรู้จักอื่น ๆ ข้อ 2 นั้น คงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเริ่มจากการดื่ม เพราะการดื่ม การเที่ยว หรือการติดสาว คบผู้หญิงหลายคน จำเป็นต้องใช้เงินในการกระทำ เมื่อเงินเดือนไม่พอ จึงต้องยักยอกสิ่งของ หรืออุปกรณ์ของบริษัทฯ ไปขาย ซึ่งไม่ต่างจากการขโมยเลย แล้วยังมีความรู้สึกว่าไม่ผิดอีกด้วย... ประสาทด้านความสำนึกผิดชอบชั่วดี ก็ผิดเพี้ยนไปด้วยหลังการดื่ม..
หลังจากที่ผมไม่ได้ดื่มอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ศีลทั้ง 5 ข้อนั้น ผมทำได้เกือบทั้งหมดจะหย่อนบ้างก็ข้อ 1 ในส่วนที่เป็นการฆ่ามดหรือยุงบ้าง หรือข้อ4 ที่ต้องพูดโกหกเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกดีบ้าง แต่ไม่โกหกกับคนรอบข้างนะ..
เมื่อไม่ดื่มก็ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวบ่อย ๆ เมื่อไม่ไปเที่ยวบ่อย ๆ และไม่ดื่ม ก็ไม่เผลอใจให้กับสาวอื่น ทำให้ไม่ต้องโกหก หรือขยายไปถึงการยักยอก...
ดังนี้ สำหรับผม ผมมีความเชื่อที่ว่าคนทุกคนมีความดีอยู่ในตัว เหมือนที่เชื่อว่าโลกนี้ไม่มีใครโง่ มีแต่คนพยายามและไม่พยายาม
เมื่อมีความดีอยู่ในตัว ก็อยู่ที่ความพยายามแล้ว ว่าจะดีหรือไม่
การที่คนเราจะดีได้คงต้องเริ่มจากการหยุดเหล้าก่อน ความดีส่วนอื่น ๆ ก็จะขยายตัวออกมาจากตัวเองได้...
แล้วผมพิสูจน์แล้วว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยข้อพิสูจน์จากตัวเอง เมื่อคนอย่างผมทำได้ พวกคุณก็ทำได้เช่นเดียวกัน
ช่วยกันเถอะ เพื่อให้โลกของเราดีขึ้น...

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อุปสรรคและปัญหา

วันก่อนได้เข้าประชุมกับบอร์ดบริหารของบริษัทฯ เป็นครั้งที่สอง ไม่นับกรณีที่โดนสอบสวนหรือมีปัญหานะ
ก่อนจะเริ่มประชุมมีคนนึงถามขึ้นมาว่า "การประชุมครั้งนี้ใช้ภาษาอะไรคะ?" "ภาษาอังกฤษนะซิ มีญี่ปุ่นประชุมด้วยตั้ง 3 คน" อีกคนนึงก็ตอบให้เสร็จสรรพ คนเริ่มคำถามที่นั่งเก้าอี้ชิดกันกับผม ก็พูดเบา ๆ "แล้วเขาจะรู้เรื่องเหรอคะ" พร้อมกับบุ้ยใบ้มาที่ผม... เป็นคุณจะรู้สึกยังไงครับ แต่ผมรู้สึกว่า พวกเธอสองคนนั่นเป็นคนที่แคบมาก ๆ ถ้าจะมองใครแค่การแต่งตัวและตำแหน่ง ผมยอมรับว่าผมคงแต่งตัวไม่เหมาะสำหรับการประชุมบอร์ดบริหาร เพราะผมไม่ใช่ผู้บริหาร การแต่งตัวด้วยเสื้อของบริษัทฯ ใส่เสื้อคลุมเนื่องจากขับรถมอเตอร์ไซค์มา คงไม่สร้างความประทับใจเท่ากับการใส่สูทผูกไทด์หรอก แต่ผมก็แต่งตัวเหมาะสมกับการเป็นช่างเทคนิคนี่ ใช่ว่าไม่เหมาะสมเสียเมื่อไหร่ ผมว่าหลายปีหลังมานี่ผมมีพัฒนาการทางอารมณ์ดีขึ้นมากเลยนะ ไม่รู้สึกโกรธ หรือ หงุดหงิด เลย ซึ่งทำให้ผมยังประชุมได้ โดยมีสติ และความรอบคอบอยู่ ที่จริงผมก็คิดนะว่าการประชุมนี่จะใส่ชื่อผมไปทำไม เอาเฉพาะผู้บริหารก็พอ... การประชุมนัดบ่ายสามโมง คนที่มีตำแหน่งใหญ่สุดในห้องกับเล็กสุดในห้องเท่านั้น ที่ตรงเวลา ที่เหลืออีก 6-7 คน เข้าสายตลอด.... ปล่อยไปนั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว...

พอกลับบ้านไปนั่งคุยบ้านแม่ คุณลูกชาย เด็กชายมะระ ก็ก่อเรื่องไปคาบรองเท้าเพื่อสุขภาพของพี่สาวมากัดซะเละ ทำให้รู้สึกเบื่อ ๆ แม่มะลิก็เหมือนกัน แต่หมาก็ยังเป็นหมานะ มันทำไปตามสัญชาตญาณ นี่แหละเป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างจากสัตว์ การควบคุมอารมณ์ การยับยั้งชั่งใจ การรู้จักผิดชอบชั่วดี นี่แหละทำให้คิดไปถึงพวกที่ ปล้น ฆ่า ข่มขืน แล้วก็พวกทำเรื่องร้าย ๆ ทั้งหลาย ว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติได้... ผมก็เจรจาค่าเสียหายกับพี่สาวไป
ปัญหาอยู่ที่เช้าวันอาทิตย์ ตื่นมาพบว่าเจ้าลูกชายตัวดี ไปเอารองเท้าพี่สาวอีกคู่นึงมากัดซะแล้ว.... งานเข้าละซิ พอแม่มะลิตื่นมาก็หงุดหงิด จะไม่ให้มันกินข้าว โมโหด้วย แม่มันจะรู้ไหมว่าอาการที่แสดงออกมาของเขา อาจทำให้พ่อมะระรู้สึกไม่ดีได้ .. แต่ผมก็เข้าใจนะ โมโหแบบไม่มีที่จะปลดปล่อย จะตีก็สงสาร แม่มะลิเลยร้องไห้ซะงั้น... สาย ๆ ผมเลยทำงานศิลปะชิ้นใหม่ รั้ว หมายเลขสอง เพิ่มความสูงและความถี่ให้กับรั้ว เพื่อไม่ให้ลูกสาวลูกชายข้ามไปบ้านพี่สาวกับบ้านแม่ได้ง่ายเกินไปนัก... ดูถ้าแม่มะลิก็คงพอใจนะ อารมณ์ดีขึ้น ที่เห็นผมสร้างอุปสรรคขวางกั้นเจ้ามะระกับบ้านพี่สาวได้...
ตอนบ่ายพลาดซะ ดันนอนกลางวัน ตื่นมาปวดหัวยันดึกเลย ต้องใช้ยาช่วย ดีนะที่เช้านี่ ค่อยยังชั่วแล้ว เลยมาทำงานได้...
ก็นะชีวิตมันจะราบเรียบไปตลอดได้ยังไง อุปสรรคมีไว้ให้เราก้าวข้าม ปัญหามีไว้ให้เราแก้ไข ถ้าไม่เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นปัญหาบ่อยนัก ชีวิตก็มีรสชาดดีนะ (หวังว่า รั้วหมายเลขสองของผมจะเป็นปัญหาของเจ้ามะระนะ ไม่ใช่แค่อุปสรรค เหมือนรั้วหมายเลขหนึ่งที่มันกระโดดข้ามไปเอารองเท้ามากัดสบาย ๆ เลย)