วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ห่วง มนุษย์ ธรรมชาติ

บอกลากล้องตัวใหญ่ ๆ เลนส์หนัก ๆ เรียบร้อย ลาก่อน Single len หันมาคบกับ Micro Foue Third เรียบร้อย ตอนนี้ก็ซื้อกล้องใหม่มาแล้ว ภาพถ่ายคงอธิบายจากผลที่ออกมา ไม่ใช่จากตัวกล้องและราคาหรอกนะ.. คงไม่มีใครมองว่าผมเป็นโปรเวลาถ่ายรูปแล้วละ..

รู้สึกดีที่หลุดพ้นจากห่วงที่คล้องตัวเองเอาไว้ซะนาน กล้องตัวเล็ก ๆ ก็เพียงพอแล้ว...
ที่รู้สึกดียิ่งกว่าคือการที่คนรัก ก็ชอบด้วย หันมาลองจับลองถ่ายภาพด้วยกล้องใหม่.. ไม่เหมือนตอนใช้กล้องตัวใหญ่ ๆ ที่หนัก เลยพาลเบื่อไม่อยากถ่ายรูป.. แล้วยิ่งเห็นคนที่เรารักชอบหรือดีใจ หรือรู้สึกดี ผมก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้น

รูปนี่ถ่ายจากกล้องตัวนี้แหละ กล้วยไม้ สิงโตสมอหิน ที่บ้านตอนเช้า ๆ ยังไม่มีแดด ภาพเลยขมุกขมัวไปหน่อย

ช่วงที่ไม่ได้เขียนอะไรที่ผ่านมาก็มีประสบการณ์ใหม่หลายอย่าง เดี๋ยวจะทยอยเอาลงมาเล่าให้ฟังกันนะ
เอาเรื่องใกล้ ๆ ก่อน พอผมเปลี่ยนกล้อง ถึงระบบใหม่จะรองรับเลนส์ได้หลากหลาย รวมทั้งมีตัวแปลงเพื่อให้ใช้ได้กับยี่ห้ออื่น ๆ
แต่ผมก็ไม่อยากเก็บเลนส์ตัวเก่า ๆ ไว้แล้ว เลยรื้อกล่องเก็บกล้อง แฟลช และเลนส์ เอาออกมาลงขาย ก็ได้รับผลตอบรับดี รวมทั้งได้พบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่คิดว่าจะเจอด้วย
หนึ่งในเลนส์ที่เอาออกขาย เป็นเลนส์ที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในยุคหนึ่ง ผมตั้งราคาไว้ถูกมาก ๆ เพราะส่วนตัวแล้วไม่ได้ยึดติดอะไรนัก ของใช้แล้วย่อมเสื่อมจะมีราคาเท่าเดิมได้ยังไง
ด้วยราคาที่ถูกมาก ๆ หลังจากตกลงกับผู้ซื้อคนหนึ่งไปแล้ว ก็มีการติดต่อเข้ามามากมาย รวมทั้งการเสนอราคาเป็นสองเท่าจากราคาที่ตั้งไว้ สำหรับตัวผมคำพูดคือคำสัญญา
ผมจึงยังยืนยันเหมือนเดิม ขายให้กับผู้ซื้อคนแรก ก่อนถึงเวลานัดรับของ มีข้อความส่งเข้าโทรศัพท์ว่าผู้ซื้อขอยกเลิก.. ซักพักผู้ซื้อคนนั้นก็โทรมานัดเวลา จากการตรวจสอบ
จึงรู้ว่ามีคนสวมรอย แจ้งยกเลิก เพื่อจะเอาเอง อีกซักพัก ก็มีคนโทรมา ถามเรื่องเลนส์อีก.. คนเราย่อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการจริง ๆ แม้กระทั่งการโกหก เป็นเหมือนห่วงแห่งกิเลสที่รัคคอมนุษย์คนนั้น ๆ อยู่ตลอด
ยิ่งทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเข้าไปอีกที่ปล่อยมันออกไปได้ คนเราจะสะสมสิ่งต่าง ๆ มากมายไปทำไมกัน
ส่วนเรื่องดี ๆ ก็มีอย่างแฟลชที่ขายก็ตั้งราคาถูก ๆ มีคนโทรมาขอซื้อ คุยกันไปคุยกันมาอยู่ซอยเดียวกัน เลยได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีก
ตัวกล้องก็ห่อแล้วตั้งโชว์ไว้ที่บ้าน ไม่ขายหรอกเก็บไว้ดูเล่นสวย ๆ
ได้กล้องใหม่มาก็มีกิเลสตามมามากมาย กลายเป็นห่วงที่พยายามจะหาเหตุผลและวิธีตัดออก ได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสา อยากได้สายคล้องกล้องหนังไปสั่งทำที่ร้านข้าง ๆ บริษัท ได้รู้จักพี่เจ้าของร้านอีก ก็เป็นเรื่องดีอีกเรื่อง ในปี ๆ หนึ่งได้รู้จักคนดี ๆ เพิ่มขึ้นซักคนก้เป็นกำไรให้ชีวิตแล้ว

ช่วงนี้บ้านเรามีน้ำท่วมกันหลายที่ หลายจังหวัด บางที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อนก็ท่วม แล้วยังท่วมหนักอีกด้วย
หลาย ๆ ที่คงท่วมจนชินแล้ว สิ่งหนึ่งที่คนเราควรเข้าใจก็คือธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใครด้วยตัวธรรมชาติเอง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนเราทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น

เราปลูกบ้านในที่ลุ่มน้ำ เพื่อประโยชน์ในการเพาะปลูก เป็นสิ่งที่เราทำกันมาตั้งแต่โบราณ บ้านของเราจึงยกพื้นสูง ใต้ถุนโล่ง เพราะเมื่อน้ำมาก็ไม่มีอะไรเสียหาย ยังสามารถอาศัยอยู่บนบ้านได้
งู หรือสัตว์อันตรายต่าง ๆ ที่มากับน้ำก็ขึ้นเสาเรื่อนไม่ได้อีกด้วย

บ้านตายายผมสมัยก่อนเป็นบ้านใต้ถุนโล่ง น้ำก็ท่วมทุกปี ตากับยายก็ไม่เห็นเดือนร้อนอะไร เพราะมันเป็นธรรมชาติ

อย่างนาข้าวที่มีปัญหาการท่วมจนข้าวเสียหายทุกวันนี้ เพราะธรรมชาติจริงหรือ? ลองกลับความคิดไปคิดใหม่ถ้าไม่มีเขื่อน น้ำจะขึ้นลงตามเวลา ตามธรรมชาติ เมื่อน้ำจะท่วม มันจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเสมอ
ชาวนาย่อมสามารถจะเก็บเกี่ยวหรือหาทางแก้ไขได้ทันก่อนที่จะท่วมจนเสียหาย แต่เวลานี้เมื่อน้ำขึ้นตามปกติ น้ำในเขื่อนย่อมขึ้นด้วย เมื่อเขื่อนไม่สามารถรับน้ำได้มากกว่านั้น ย่อมต้องปล่อยน้ำออกมาทำให้
น้ำท่วมเร็วขึ้นจนไม่สามารถจะป้องกันหรือแก้ไขอะไรได้.. คุ้มค่าหรือไม่ ประกอบกับหากการตัดไม้ทำลายป่าน้อยลง ป่าไม้มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่านี้ ป่าย่อมอุ้มน้ำไว้ได้อีกมาก ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยน้ำส่วนเกินออกมา เมื่อไม่มีป่า น้ำจึงไหลออกมาเร็วขึ้น มันเป็นโทษที่ย้อมกลับมาหาคนเรา จากการกระทำของมนุษย์เองนี่แหละ..

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมย้อนกลับไปแก้ไขที่จุดเริ่มต้นไม่ได้ เราก็คงได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อน ช่วยเหลือกันไปก่อน ยังรู้สึกดีอยู่บ้างที่บ้านเรายังช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี
ร่วมด้วยช่วยกัน ช่วยเหลือกัน ตอนนี้สำคัญที่สุดคงเป็นเรือ ไฟฉาย แล้วก็อาหารนะครับ มีจุดบริจาคหลายที่ ช่วย ๆ กันนะครับ
หลังจากปัญหาผ่านพ้นไปแล้ว หวังว่าจะทบทวนถึงสาเหตุที่แท้จริงกัน ร่วมมือกันแก้ไขและป้องกันอย่างถูกวิธีนะ

ไม่ยึดติดชีวิตมากนัก เคารพธรรมชาติกันให้มาก ๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ชีวิตมันก็มีความสุขขึ้นอีกนะ

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ลมหนาวพัดมา.. ความทรงจำเลือน ๆ ก็แจ่มใสอีกครั้ง..

"ตาก็นั่งเล่นว่าวอยู่นั่นแหละ แล้วเด็กคนนึงก็เดินมาขอว่าวที่ตาเล่น ตาก็ไม่ให้ เด็กคนนั้นก็เดินไปตามพ่อเขา พ่อเขาก็มาขอว่าวให้ลูกเขาเล่น พอตาไม่ให้ พ่อเขาก็ว่าไปกันเถอะลูก ก็เขาไม่ให้นี่"
"แล้วเขาเดินจากไป พ่อของตาจึงค่อยเดินมาบอกว่า พ่อของเด็กคนนั้น คือพระพุทธเจ้าหลวง"
เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งของตา ถ่ายทอดมาสู่แม่ แล้วก็มาสู่ลูก ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การพบกับรัชกาลที่ 5 เนื่องในเดือนที่อยู่ในวันปิยะมหาราช
หากพระองค์ไม่ตราพระราชบัญญัติทาสรัตนโกสินศก 124 บ้านเมืองเราคงไม่เจริญยังทุกวันนี้

ตายังคงวนเวียนเล่นว่าวแข่งขันอยู่เสมอ คำสอนเกี่ยวกับการเล่นต่าง ๆ ก็รับมาบ้าง แต่ไม่หมด ส่วนที่เหลือรับไว้ได้ก็มีมีดเล่มโปรดของตา กับโครงว่าวจุฬาตัวเก่ง...
ตาจากไปยี่สิบปีพอดี ในเดือนที่แล้ว.. แล้วความทรงจำก็กลับมาย้ำเตือน เมื่อไปเยือนบ้านคุณป้าที่ขึ้นบ้านใหม่ ที่อวดฝีมือว่าวจุฬาของตา ที่มอบให้นานแล้ว...
ความทรงจำนี่มันก็แปลก บางอย่างที่เลือน ๆ ไปแล้ว อยู่ ๆ ก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง

ภาพของตาใส่แว่นนุ่งโสร่ง ไม่ใส่เสื้อ นั่งเหลาไม้ไผ่ ทำว่าว, ภาพการถูบ้านพื้นไม้ โดยใช้ผ้าชุบน้ำเปียก ๆ เช็ด แล้วปล่อยให้น้ำไหลลงตามร่องแผ่นไม้พื้น, ภาพตาตั้งไม้ไผ่ติดรอก เพื่อส่งว่าว, ภาพการก่อไฟเรียกลมเพื่อส่งว่าว... ป่านนี้ตาคงสุขสบายแล้วอยู่ที่ไหนซักแห่งนะ..

ช่วงนี้เหมือนว่าจะมีลมหนาวเข้ามาเร็วกว่าปกติ ฝนก็ตกยาวนาน เขาว่าเป็นเพราะปรากฎการณ์เอลนิญญ่า เห็นข่าวกรมอุตุ ว่าปีนี้จะหนาวมากกว่าปีก่อน เขาว่ากรุงเทพฯ จะมีอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส ต่ำว่าปีที่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าไปวัดอุณหภูมิที่ไหนในกรุงเทพฯ ที่บ้านผมปีที่แล้วก็ 16 องศา ในตัวบ้าน นอกบ้านก็ลงไปเกือบ ๆ 15 องศา หนาวแทบแย่
บังเอิญว่าบ้านผมอยู่ในกรุงเทพฯ บังเอิญว่าบ้านผมเป็นสวน บังเอิญว่าต้นไม้มันเยอะ อากาศเลยดี ร้อนก็ไม่มาก ฝุ่นก็น้อย ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ความบังเอิญหรอก
สวนก็ทำมาแต่ตายาย บ้านก็ตั้งใจปลูกให้เป็นแบบประหยัดพลังงาน ต้นไม้ก็ตั้งใจปลูกให้มันเยอะ ๆ ทุกอย่างเกิดจากความตั้งใจ
ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยก็เจอกับลักษณะอากาศแปลปรวน เกิดภัยธรรมชาติมากมาย  ฝนตกหนัก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟป่า ... อย่าโทษโน่น โทษนี่กันเลย
มันเกิดขึ้นเพราะมนุษย์เองนั่นแหละ เป็นคนทำ ตัดไม้ ย้ายลำน้ำ ค้ำแผ่นดิน... แล้วยังไปโทษอย่างอื่นอีก เพราะมนุษย์ทั้งนั้น... ตัวถ่วงของโลกนี่..
ทำไมไม่รู้จักที่จะอยู่ร่วมกันบ้างนะ เบียดเบียนโลกใบนี้ให้น้อยที่สุด โลกก็คงไม่ตอบโต้พวกเราแรงขนาดนี้ เปลี่ยนกันได้แล้วมั่ง เริ่มจากตัวเองก่อน แล้วขยายไปสู่คนในครอบครัว เพื่อน ๆ แล้วก้คนรอบข้าง
การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเริ่มที่จุด ๆ เดียวเสมอ... ถึงจะไม่ดีขึ้นในรุ่นของเรา ความหวังก็ต้องยังคงอยู่ว่าจะดีขึ้นในรุ่นลูกรุ่นหลาน มีความหวังแล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองกันได้แล้ว

เจอลมหนาวทีไร นึกถึงตาทุกที เล่นว่าว เล่านิทาน นั่งหน้ากองไฟ เผามัน ชีวิตมีความสุข เรียบง่าย แล้วก็ไม่เบียดเบียนธรรมชาติมากเกินไป
พอลมหนาวมา ตามักจะร้องเพลงแซวลุงที่อยู่ใกล้ ๆ กัน
"ลมหนาวพัดมาอีกแล้ว ใครมีเมียสาวก็คงสุขแท้ ใครมีเมียแก่คงต้องขาดทุน ขาดทุน..."
ลองมีความสุขอย่างเรียบง่าย และจริงแท้ กันบ้างดีไหม