วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เด็กดื้อ

เพิ่งอ่านเรื่อง "วาสิฏฐี" ที่เรียบเรียงโดยเสถียรโกเศศ และ นาคะประทีป จบ
เพื่อตอบคำถามตัวเองที่ว่า ทำไมจึงมีคำพูดที่ว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม"
หนังสือเล่มที่เอามาอ่านเป็นหนังสือที่เคยเป็นแบบเรียนวรรณคดีไทย ชั้น ม.3 เมื่อ 30 ปีก่อน
สมัยผมเรียน ม.3 ก็ไม่ได้เรียนแล้วนะ

ก่อนจะอ่านคิดว่าเรื่องของกามนิตและวาสิฏฐี เป็นแค่นิยามรัก ๆ ใคร่ ๆ ทั่วไป
พออ่านเล่มนี้แล้วถึงรู้ว่าเป็นเรื่องที่มีคติธรรมอยู่เต็มไปหมด ส่วนที่เป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มีอยู่น้อยเดียวเอง

โดยทั่ว ๆ ไปหนังสือเล่มนี้แสดงภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่ร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดีนะ
เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแค่ไหน เพราะมีการแปลจากต้นฉบับไปเป็นภาษาเยอรมัน แล้วแปลจากเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษ แล้วท่านเสถียรโกเศศ และ ท่านนาคะประทีป ก็แปลมาเป็นภาษาไทยอีกที

ในหนังสือบรรยยถึงการเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ระบบวรรณะ ความเป็นอยู่ของชนชั้นสูง อย่างวรรณะพราหมณ์, กษัตริย์ และแพศย์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงวรรณะที่ต่ำที่สุดคือจัณฑาล ความเชื่อเกี่ยวกับแม่น้ำคงคา นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองคุลิมาล, พระสารีบุตร, พระอานนท์ และพระพุทธเจ้าสมณโคดมศากยบุตร ซึ่งก็ทำให้เกิดความรู้กับผมเองเพิ่มขึ้นอีกมาก ใครที่ไม่เคยอ่านก็ลองหามาอ่านดูนะครับ

หลังจากที่อ่านจนจบ และทำความเข้าใจได้พักหนึ่ง ก็เลยพอจะเข้าใจได้ว่าคำว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" น่าจะมาจากการกระทำของตัวกามนิตเอง เมื่อผิดหวังจากการที่ไปเห็นวาสิฏฐีกำลังเข้าพิธีแต่งงานกับสาตาเคียรบุตร แล้วกลับมายังบ้านเมืองตนเองตั้งหน้าตั้งตาค้าขายจนร่ำรวยมหาศาล
แล้วเกิดนิสัยด่วนได้ อยากได้อะไรก็หาซื้อมาในทันที ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือสิ่งของ รวมไปทั้งเมื่อพ่อหาผู้หญิงมาให้เพื่อแต่งงานก็ยังจัดทันทีอีก คงจะสามารถถือเอาการกระทำแบบนี้เป็นที่มาของคำว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" ได้ละมั้ง

นอกจากนี้ยังมีเรื่องคำสอนที่น่าประทับใจที่พระพุทธเจ้าแสดงให้กับกามนิต ตอนที่กามนิตออกจาริกแสวงบุญ และต้องการจะเดินทางไปพบพระพุทธเจ้าเพราะได้ยินมาว่าเป็นผู้รู้แจ้ง น่าจะให้คำตอบแก่การจาริกของตนได้ แล้วบังเอิญไปพักอยู่ที่เดียวกับพระพุทธเจ้าที่บ้านของช่างปั้นหม้อในคืนหนึ่ง แล้วเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้าเอง กามนิตจึงพยายามถามเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าการแสวงหาที่สิ้นสุดคือความสุขใช่ไหม

แต่โดยคำสอนของพุทธนั้นคือการแสวงหาความหลุดพ้น ไม่ใช่หาความสุข รวมไปถึงการที่กามนิต นั่งคุยและฟังการแสดงธรรมจากพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ และคิดว่าต้องฟังจากปากของพระพุทธเจ้าเอง จนพาตัวเองไปพบจุดจบในที่สุด เรื่องที่พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างมาเพื่อสอนให้กามนิต

รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เขาแสวงหาคือเรื่องของเด็กดื้อ ซึ่งผมขอเล่าสั้น ๆ แบบสรุปใจความก็แล้วกัน
เรื่องก็คือ

เด็กคนหนึ่งเป็นทุกข์จากอาการปวดฟัน แล้วไปหาหมอ หมอก็ว่าต้องถอนออกเท่านั้น ความเจ็บปวดก็จะหายไป แต่เด็กไม่ยอมและแย้งว่าในเมื่อตนพบความทุกข์จากความเจ็บปวดแล้ว จึงอยากได้ความสุขเพื่อหยุดความทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่นี่ ว่าแล้วเด็กคนนั้นก็ไปหาคนเล่นกล ซึ่งรับปากว่าเขาสามารถให้ความสุขแล้วทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้ เมื่อเก็บเงินเด็กไปแล้ว เขาก็ทำให้เด็กเพลินมีความสุข จนลืมความเจ็บปวด แต่ไม่นานก็เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมาอีก

และในขณะที่ผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งมีอาการปวดฟันเหมือนกัน เมื่อไปหาหมอตรวจก็เสนอทางแก้ และชายผู้นั้นก็ทำ ความเจ็บปวดก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการดับทุกข์ นะครับ เมื่อเกิดทุกข์ ก็ให้ดับที่เหตุ ถ้าปวดฟัน ถอนออกก็หายปวด แต่หากยังดื้อดึงหาวิธีอื่น ๆ มาเพิ่มความสุขให้ตัวเอง โดยไม่ดับทุกข์ที่ต้นเหตุ ความทุกข์ก็จะยังวนเวียนกลับมาหาเราเสมอ เหมือนกับเด็กดื้อคนนั้น

ผมเคยบอกแล้วว่าผมในตอนนี้เป็นคนที่มีความสุข อาจเป็นเพราะผมหาทางดับทุกข์บางอย่างที่ต้นเหตุไปได้บ้าง แต่ยังไงผมก็ยังเป็น "เด็กดื้อ" ในหลาย ๆ เรื่องอยู่ดี เพียงแต่คงจะน้อยเรื่อง เลยรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่ามั้ง

แล้วพวกคุณละเป็น "เด็กดื้อ" กันมากแค่ไหน

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จินตนาการสำคัญกว่าความรู้..

ชีวิตผมมีแต่คำถาม คงเป็นเพราะผมยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะตอบคำถามให้กับตัวเองได้ละมั้ง.
แล้วความรู้คืออะไรละ แล้วพวกคุณเชื่อว่ามีคนที่เป็นพหูสูตร หรือคนที่มีความรู้หลากหลายด้านจริงไหม?
ความรู้ คือการที่คนเราจะเข้าใจในเรื่องอะไรซักเรื่องแล้วนำออกมาใช้ประโยชน์ได้ หรือเป็นแค่ข้อมูลที่กระแสไฟฟ้าในสมองบันทึกลงไปในเซลสมอง
แล้วกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอีกครั้ง เพื่อนำออกมาใช้
ถ้าเป็นอย่างนั้น หมายความว่าคนที่ถูกนับถือว่ามีความรู้มากกว่าคนอื่น คือผู้ที่มีเซลสมองมากกว่าคนอื่นใช่ไหม?
ถ้าอย่างนั้นคนที่อาจจะระบุได้ว่าเป็นพหูสูตร ก็ต้องมีเซลสมองมากขึ้นไปอีกงั้นหรือ?
แล้วที่ไอสไตน์บอกว่า
"Imagination is more important than knowledge"
"จินตการสำคัญกว่าความรู้" เป็นเรื่องจริงหรือ
ไม่ใช่ว่าคนที่มีเซลสมองมากกว่าจะคิดอะไรได้มากกว่าคนอื่น ๆ หรือ?
แล้วจินตนาการคืออะไรละ? คือกระบานการสร้างภาพของสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อย่างนั้นหรือ?
สำหรับผมแล้วจินตการคือสิ่งที่สมองสร้างขึ้นเพื่อพยายามให้คนเราหลุดพ้นจากความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน
เหมือนกับคนบ้าที่ไม่อยู่ในโลกแห่งความจริงอีก แต่เข้าไปอยู่ในจินตนาการของตัวเองตลอดเวลานั่นเอง
และคนธรรมดา เมื่อมีจินตนาการ แล้วไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั่นตลอดเวลา ต่างกันเพียงแค่นี้เอง
ส่วนตัวผมนั่น คิดว่า ไอสไตน์ พูดถูก การทำงานหรือการใช้ชีวิตของผม อาศัยจินตนาการเป็นหลัก
การวางแผนงานล่วงหน้า, การอธิบายข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้, การถ่ายรูป, การปลูกต้นไม้
ทุกอย่างในชีวิตผมใช้จินตนาการนำหน้าเสมอ แล้วค่อยหาความรู้มารองรับเพื่อให้จินตการนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้
จินตการบางอย่างก็สำเร็จ บางอย่างก็ไม่ เนื่องจากความรู้ไม่เพียงพอ หรือคิดจินตนาการล่วงหน้ามากเกินไป
เกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ด้วยขุมความรู้และเทคโนโลยีปัจจุบัน
ปัญหาอยู่ตรงนี้
การนำเสนองานหลาย ๆ อย่างที่เป็นจินตนาการ อาจไม่ได้รับความเห็นชอบ ในเวลานี้ แต่อย่าหยุดที่จะคิด
เพราะหลายครั้ง ที่งานที่ผมคิดไว้ย้อนหลังไป หลาย ๆ ปี ได้รับการยอมรับและนำมาใช้งานในปัจจุบัน
ถ้าคนเราไม่มีจินตนาการ จะสามารถพัฒนาความรู้ได้หรือ นักวิทยาศาสตร์ คิดได้เองก่อนหรือ ว่ามีทฤษฎีนั้น ทฤษฎีนี้อยู่จริง
ต้องจินตนาการก่อนทั้งนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วค่อยหาวิธีพิสูจน์ว่าจริงทีหลัง และหากพิสูจน์ไม่ได้ ก็จะบอกว่าสิ่งนั้น ๆ ไม่มีอยู่จริง
อันนี้เป็นข้อด้อยของวิทยาศาสตร์เลยนะ เพราะการที่พิสูจน์ไม่ได้ว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่มีอยู่จริง อาจเป็นเพราะองค์ความรู้และเทคโนโลยียังไม่เพียงพอก็เป็นได้
ผมเชื่อว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่ความรู้จำเป็นต้องศึกษาตลอดเวลา เพื่อทำให้จินตนาการเป็นจริงได้
ถ้ามีแต่จินตนาการแต่ไม่ทำให้เป็นจริง ก็คล้าย ๆ คนบ้าที่อยู่เพียงในจินตนาการของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ทำจินตนาการของตัวให้เป็นจริง เพื่อให้จับต้องได้

หากมีจินตนาการก็มีความหวัง
หากมีความรู้ก็ทำให้สมหวังได้

ขอให้ทุกคนอุดมไปด้วยจินตนาการ, หมั่นเสาะหาความรู้ และพยายามทำจินตนาการของตัวเองให้เป็นจริงนะครับ โลกนี้จะได้มีสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาครับ

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ใบไม้ใบเก่าบนต้นไม้ใหญ่

หากเปรียบว่าต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่ผู้ที่อยู่ใต้ต้น
ลูกไม้ที่ตกลงมาเพื่อจะเติบโตต่อไปก็ย่อมต้องอาศัยร่มเงานั้น ๆ เพื่อปกป้องจากแสงแดดที่จะแผดเผา ตอนยังเล็ก ๆ เริ่มเติบโต
ถ้าลูกไม้ที่ตกลงมาสู่ดินไม่ได้ร่มเงาจากร่มใบของต้นไม้ใหญ่ ก็อาจไม่งอกงาม เติบโต หรือเติบโตโดยไม่สมบูรณ์
ไม่มีลูกไม้ไหนที่เติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ โดยไม่มีร่มเงาของใบไม้ อาจเป็นร่มเงานที่มาจากต้นที่ให้กำเนิดตน หรือต้นอื่น ๆ ที่พร้อมจะให้ร่มเงาได้
แต่ไม่มีสิ่งใดหนีเวลาพ้น วันนึงใบไม้ที่เคยเป็นร่มเงาให้ลูกไม้เติบโตก็ร่วงลง...
เวลาให้หลายสิ่งหลายอย่างกับชีวิตของเรา แล้วมันก็พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปด้วย
ณ วันนี้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ก็ร่วงลงไปอีกใบหนึ่ง ปล่อยให้เหลือเพียงต้นไม้ และลูกไม้ที่เติบโตเกือบจะเต็มที่แล้ว..
ใบไม้ที่ร่วงลง ใช่จะไปไหน เพียงกลับลงไปรวมสู่ที่ ๆ กำเนิด เป็นการกลับไปสู่บ้านเก่าที่คุ้นเคย...

ลูกไม้ที่กลายเป็นไม้ใหญ่ ณ วันนี้คงต้องเติบโตต่อไม้ โดยไร้ร่มเงาจากใบไม้นั่น
และขยายกิ่งก้าน แตกออกออกใบเป็นร่มเงา กลับคือให้แก่ต้นใหญ่ใหญ่ต้นเก่าที่ไร้ใบบ้าง...
แล้วยังต้องเตรียมเป็นร่มเงาให้แก่ลูกไม้ต่าง ๆ ต่อไป..

ใบไม้ใบเก่าร่วงลงอีกใบแล้ว...
เวลาเป็นทั้งผู้ให้และผู้ทำลาย..
ดูแลตนไม้แก่ ๆ ทั้งต้นและใบให้ดี ๆ อย่าปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินไป...
และยังคงต้องเติบโตต่อไป...

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความกลัว

เคยกลัวอะไรกันไหม? ผมเชื่อว่าทุกคนคงต้องมีอะไรที่กลัวกันอยู่ทั้งนั้น..
เพียงแต่จะแสดงความกลัวนั้น ๆ ออกมาหรือไม่เท่านั้นเอง
สะกดความกลัวได้จะกลายเป็นความกล้า แต่หากปล่อยออกมาทั้งหมด ความกลัวจะทำให้คุณกลายเป็นคนขลาด

แต่ถ้าไม่มีความกลัวเลยคุณก็กลายเป็นผู้ที่ไม่ควรคบหาด้วย คุณอยากเป็นคนแบบไหนกันนะ...
เมื่อวันเสาร์ พึ่งรู้ว่าเจ้ามะระ ลูกชายตัวแสบก็มีความกลัวเหมือนกัน กลัวเสียงพลุดัง ๆ
ตอนแรกที่มีเสียงพลุก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ถึงพยายามเปิดมุ้งลวดจะเข้ามาหาในบ้านตลอด
ออกไปตี อีกสักพักก็มาอีกแล้ว ผิดปกติ เลยสังเกตว่าคงเป็นเสียงพลุนี่เอง
เลยออกไปหา เจ้ามะระก็รีบไปนั่งตักแม่มันทันที ซึ่งธรรมดา อาการแบบนี้ หนูมะลิจะชอบใช้เพื่ออ้อนแม่เขา ส่วนเจ้ามะระไม่เคยนั่งตัก

พอนั่งตักเสร็จก็เอาหัวซุกเข้าให้ก่อน พอพลุดัง ๆ อีก ก็วิ่งมากาผม นั่งตักแล้วก็เอาหัวซุก
เขาคงกลัวมากจริง ๆ ส่วนหนูมะลิ เฉย ๆ มองผมท มองแม่เขาที คงสงสัย ว่ามะระเป็นอะไรมั่ง
แล้วก็พยายามเล่นด้วย... ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย...
คงเป็นหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีก ว่าถ้าช่วงที่มีเสียงพลุ ในเทศกาลต่าง ๆ คงต้องอยู่บ้านซะแล้ว....

ในส่วนความกลัวของตัวผมเองนั้น คงไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมนะ งู, ผี หรืออะไรที่คนอื่น ๆ เขากลัวกัน ก็ไม่ได้รู้สึกถึงขนาดจะกลัว
แค่ไม่อยากเจอเฉย ๆ นะ ความกลัวของผมคงเป็นเรื่องของศีลธรรมละมั่ง กลัวบาป กลัวผลกรรม ที่จะย้อนกลับมา

อาจเป็นข้อดีที่ผมมีความกลัวอยู่นะ เพราะมันทำให้ผมไม่อยากและไม่ชอบที่จะทำชั่ว ทำเลว อะไร ถึงแม้จะมีโอกาสก็ตาม

เมื่อสังเกตความกลัวจะเห็นหลาย ๆ อย่างที่มีประโยชน์

กลัวตาย ทำให้พยายามมีชีวิตอยู่
กลัวจน ทำให้พยายามทำงาน
กลัวอด ทำให้ขยันทำกิน
กลัวบาป ทำให้อยู่ในศีลในธรรม
กลัวกรรม ทำให้ระมัดระวังการกระทำของตัว
กลัวชั่ว ทำให้ทำความดี
กลัวผี ก็ไม่อยากทำอะไรที่ผีไม่ชอบ ซึ่งมักเป็นเรื่องขัดศีลธรรม อย่างไม่อย่างตัดไม้ เพราะกลัวเจ้าป่าจะลงโทษ

แล้วคุณละมีความกลัวแบบไหนอยู่ในใจ?

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ธันวาคม ๒๕๕๒

ธันวาคม อีกแล้ว...


ใกล้จะหมดไปอีกปีแล้วซิ ปีนี้เป็นปีที่เวลาวิ่งไปเร็วมาก ๆ อีกปีนึงแล้วนะ
คงต้องทบทวนว่าในปีที่ผ่านมา มีอะไรที่ทำไปแล้วเสียใจบ้าง หรือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำบ้าง
แล้วก็วางแผนว่า จะลด ละ เลิก อะไรบ้างในปีหน้า...

พอผมมาทบทวนสิ่งที่ผ่านมาในปีนี้ ก็พบว่าอาจมีบ้างที่ทำงานไม่เต็มร้อย ปีหน้าก็คงต้องตั้งใจให้มากกว่านี้แหละนะ
อาจมีคำพูดที่มำให้คนอื่นไม่สบายใจบ้าง แต่คงไม่ผิดเท่าไหร่ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องพูด บางครั้งความจริง ก็อาจทำให้คนอื่นเสียใจ หรือ ตัวเราเองเสียใจได้นะ
แล้วก็การที่ไม่ได้พาแฟนไปเที่ยวที่ไหนเลยอย่างที่ตั้งใจกันไว้ อย่างวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นก็คุยกันว่าจะไปเที่ยวกัน ก็มาติดทำหมันเจ้ามะระ ต้องอยู่ดูแลมันซะอีก

ในปีที่ผ่านมา คงมีเรื่องรบกวนจิตใจ แค่สามเรื่องนี้แหละมั้ง

ยังคงไม่คดโกงใคร, ไม่เอาเปรียบคนอื่น, ช่วยเหลือคนทั่วไปตามโอกาสอำนวย, แทบจะไม่พูดโกหก, ไม่ซื้อของละเมิดลิขสิทธิ์, ไม่แตะแอลกอฮอล์เลย...

ถือว่าเรื่องที่ตั้งใจไว้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีนะ

เป้าหมายของปีหน้าคงเป็นการลดการพูดคำหยาบ แล้วก็การดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้นละมั่ง
เพราะยังไงก็รู้สึกว่าพยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่หนักอกหนักใจของคนอื่นอยู่ และคงทำต่อไปนะ
อืม... คงไม่มีอะไรให้เขียนมากนัก แค่คิดว่า เวลามันยังวิ่งเร็วอยู่นะ

จะทำอะไรก็รีบทำซะ ถึงเวลาจะมีอยู่เหลือเฟือ แต่มันก็มีวันหมดอายุนะ
ทำดีกับตัวเอง ทำดีกับคนในครอบครัว ทำดีกับเพื่อน ทำดีกับคนรอบข้าง ทำดีกับสังคม
แค่นี้ก็ไม่รู้สึกว่าเวลาวิ่งเร็วเกินว่าที่เราต้องการแล้วละ