วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใช้ชีวิตคู่หรืออยู่ร่วมกัน

เมื่อมนุษย์ เป็นสัตว์สังคม ย่อมไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้
คำกล่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่ คำตอบสำหรับผมคือจริง
ถึงผมจะถูกมองว่าเป็นคนสันโดษ (แปลว่า ความยินดี ความพึงพอใจ ในสิ่งที่มี การรู้จักพอเพียง นะครับ) ซึ่งเพื่อน ๆ จะมองว่าผมชอบอยู่คนเดียว ไม่สุงสิง หรือไปร่วมงานเลี้ยงบ่อยครั้งนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมว่าคนทุกคนล้วนต้องการอยู่กับผู้อื่นเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ลักษณะใดก็ลักษณะหนึ่ง ผมชอบที่จะอยู่บ้านกับแฟน หรืออยู่กับเพื่อน โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการพูดคุยก็ได้ ผมสามารถอยู่อย่างเงียบ ๆ ได้ เป็นเวลาหลายชั่วโมง ในกรณีที่อยู่ร่วมกับคนอื่น แต่หากเป็นการอยู่คนเดียว เวลาเพียงไม่นาน ก็อาจจะฮัมเพลงออกมาก็ได้ นี่คงเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า คนเราต้องอยู่ร่วมกัน หากกำหนดให้ชัดเจนขึ้น การที่คนเราต้องอยู่ร่วมกัน ประกอบกับความรัก ความต้องการ จึงเกิดเป็นการแต่งงานขึ้น และหลังจากนั้นจึงใช้คำว่า ใช้ชีวิตคู่ ทำไมไม่ใช่คำว่าอยู่ร่วมกัน อาจเพราะเป็นเรื่องที่เจาะลึกลงไปอีกว่า เป็นเงื่อนไขเฉพาะ เพียงสองคนที่ใช้ชีวิตคู่เท่านั้นที่จะใช้ได้ ไม่ใช่เงื่อนไขที่สามารถใช้ได้กับทุกคนที่เราอยู่ร่วมกันได้ ทำให้การใช้ชีวิตคู่ เป็นสิ่งที่พิเศษกว่าการอยู่ร่วมกันเฉย ๆ

สำหรับผม การใช้ชีวิตคู่เป็นเรื่องที่มีความหมาย และสำคัญมาก โดยเฉพาะกับคนที่มีพื้นที่ส่วนตัวกว้าง ๆ และโลกส่วนตัวสูง ๆ อย่างผม อย่าเพิ่งงง ว่าพื้นที่ส่วนตัวคืออะไร คุณเคยรู้สึกอย่างนี้ไหม? ตอนที่ยืนอยู่เฉย ๆ เมื่อมีคนมายืนใกล้คุณเท่าไหร่ จึงจะเริ่มรู้สึกอึดอัด นั่นแหละพื้นที่ส่วนตัวของคุณ มันจะบ่งชี้ได้ว่าคุณมีพื้นที่ส่วนตัวกว้างเท่าไหร่ และมันจะเป็นวงกลมล้อมตัวคุณเสมอ ... สำหรับผมแล้วค่อนข้างกว้างมากนะ อย่างในลิฟต์กว้าง ๆ ขนาด 15-20 คนนี่ ถ้ามีคนอยู่ด้วยในลิฟต์ซักคนหรือสองคนก็อึดอัดแล้ว แต่ใช้งานคนเดียวได้ไม่มีปัญหา แล้วผมยังไม่ชอบให้ใครถูกตัว หรือไปถูกตัวใครด้วย เพราะมันจะทำให้ผมรู้สึกอึดอัด เมื่อเป็นอย่างนี้ การใช้ชีวิตคู่และการอยู่ร่วมกันของผม จึงเป็นเรื่องที่ผมต้องปรับปรุงตัวค่อนข้างมาก เพื่อให้พื้นที่ส่วนตัวของผมแคบลงสำหรับคนที่อยู่ด้วย... ก็ทำได้นะ
นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขอีกมากมายที่ทำให้การใช้ชีวิตคู่ค่อนข้างยากกว่าการอยู่ร่วมกับคนอื่น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่คนที่จะใช้ชีวิตคู่ต้องทำใจยอมรับ และทำตามให้ได้นะ หากไม่เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเอง แล้ว การใช้ชีวิตคู่จะต่างกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นยังไง แล้วการใช้ชีวิตคู่คงไปไม่รอดหรอกนะ

เมื่อเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ ก็ปรับตัวให้เข้ากับโลกอย่างที่มันเป็นซะก็สิ้นเรื่องนะ ง่ายจะตายไป
การใช้ชีวิตคู่ย่อมยากกว่าการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นเสมอ

แต่คงจะง่ายขขึ้นหากเราเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตคู่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปถึงการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้นไปด้วย

ถึงตอนนี้ การใช้ชีวิตคู่ของผม เป็นสิ่งที่ผมไม่หนักใจอีกต่อไปแล้วครับ

และหากถามว่าเมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว เราจะกลายเป็นอะไร?

ตัวตนของเรา จะยังเป็นตัวตนของเราไม่เปล่ยนแปลงครับ

เจ้ามะระกับหมอสุรัชต์

สัปดาห์ก่อนพา มะระ เจ้าลูกชายจอมกวน ไปทำหมัน กับคุณหมอสุรัชต์ เช่นเคย แต่คราวนี้ไม่ได้ไปคนเดียวแล้ว

แม่เจ้ามะระ ก็อุตส่าห์หยุดงานมาด้วย ตอนแรกกะว่าจะพาไปทำหมัน ตอนวันพุธ บ่าย ๆ เย็น ๆ แต่คุณหมอไม่ว่าง เลยนัดอีกทีเป็นพฤหัสบดี เที่ยง
แล้วก็โทรไปเลื่อนนัดเป็นบ่ายสามโมง เพราะคิดได้ว่าต้องอดอาหารแต่เช้า 8 ชั่วโมง

พอเช้าวันพฤหัสที่ 24 พอให้กินข้าวเช้ากันแล้วก็จับเข้ากรง ท่าทางว่าเจ้ามะระจะชอบซะด้วยนะกรงนี่
แล้วก็ขึ้นไปทำงานบ้านกัน แม่เจ้ามะระก็ไม่ยอมให้ลงจากบ้านเลย กลัวเจ้ามะระ จะอยากออกมาเล่นมั้ง..
บ่ายสองกว่า ๆ ก็จูงเจ้ามะระออกไปหาคุณหมอ โดยมีแม่มันขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปด้วย จะได้รับพ่อมันกลับ

ไปถึงคุณหมอก็ให้ชั่งน้ำหนัก ยี่สิบเอ็ดกิโล!! มันตัวหนักจริง ๆ พอฉีดยาซึมแล้วก็พาเข้าห้องผ่าตัดไปทำหมัน
การทำหมันหมาตัวผู้นี่เร็วกว่าตัวเมียเยอะนะ ตอนหนูมะลิทำหมันใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่เจ้ามะระนี่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย
กำลังจะชวนแม่มันไปกินราดหน้าพอดีก็เสร็จซะแล้ว เพิ่งรู้ว่าทำหมันตัวผู้ไม่ได้ตัดไข่ออกทั้งพวง (เข้าใจผิดมาตั้งนาน)
คราวนี้แม่มันไม่ร้องไห้เหมือนตอนหนูมะลินะ เห็นบอกว่าเจ้ามะระมันไม่น่าสงสารเท่าหนูมะลิ
เลยอุ้มกันกลับบ้าน เอาเข้ากรง เจ้ามะระก็ผงกหัวขึ้นมาดูได้แล้ว!!

พอเย็น ๆ ก็รู้สึกตัวแล้ว อยากออกจากกรง แต่ยายังไม่หมด มันเลยลุกไม่ไหว หนูมะลิ ก็พายามชวนเจ้ามะระออกมาเล่นนะ แต่มันยังมึนอยู่ เลยไม่อยากเล่นมั้ง..

สี่ทุ่มกว่า ๆ ก็เอานมมาให้กิน ทั้งเจ้ามะระกับหนูมะลิ เลยกินกันเพียบ เจ้ามะระคงหิว เพราะไม่ได้กินข้าวเย็นด้วย เสร็จแล้วก็ให้นอนในกรงก่อน กลัวมันลงไปเล่นน้ำในบ่อ

เช้าวันศุกร์ ลงไปเปิดกรง เจ้ามะระแกะผ้าปิดแผลออกเรียบร้อยแล้ว ฝีมือคุณหมอสุดยอด เห็นแผลเป็นเส้นยาวนิ้วกว่า ๆ เอง ไม่มีรอยเย็บเลยนะ
วันนี้แปลก พอเผลอ ๆ เจ้ามะระจะเข้าไปนอนในกรงเอง เหมือนจะชอบ แต่ก็มีปัญหาคือมันพยายามเลียแผลอยู่ตลอดเวลาจนแม่มันกังวล...

ส่วนสถานการณ์ล่าสุด เช้าวันจันทร์นี้ เหมือนจะหายสนิท วิ่งเล่น งับ กัด เล่นแรง ๆ ได้แล้ว .... คราวนี้มันจะหนักขึ้นอีกกี่กิโลเนี่ย

ขอบคุณคุณหมอสุรัชต์อีกครั้งนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พัฒนา?

เวลานี่วิ่งเร็วดีจริง ๆ 
เดือนที่แล้ว (ต.ค.) ไม่ได้เขียนอะไรเลยนะเนี่ย
สาเหตุก็มาจากการที่ได้ซื้อเครื่องเล่นเกมมาเล่นนี่เอง
ตามที่เคยเขียนไว้นะครับ กว่าจะได้ซื้อก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว แต่ก็สำเร็จอีกเรื่องหนึ่งครับ


สัปดาห์ที่แล้วมีโอกาสไปทำงานในประเทศลาว ที่เวียงจันทร์ แล้วก็น้ำพืน ผ่านปากซัน ปากเซ
เป็นการเข้าไปหลังจากห่างไปประมาณ 4-5 ปี สำหรับเวียงจันทร์ เพราะล่าสุดที่เข้าไปคือ 3 ปีก่อน แต่เป็นที่สะหันนะเขต กับเขื่อนน้ำเถิน.. ไม่ได้ไปเวียงจันทร์


สิ่งที่ได้พบได้เห็นก็คือ "การพัฒนา
ตึกใหม่ ๆ , ร้านอาหาร, ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น! ร้านดอกไม้!! โรงแรมม่านรูด!!! รวมทั้งแหล่งเสื่อมโทรมอื่น ๆ สำหรับผมแล้ว ที่นี่พัฒนาเร็วมาก ๆ เร็วจนมีความคิดว่า ผู้คนจะรับทันหรือ? มีการรณรงค์ให้ใช้เงินกีบ "อยู่เมืองลาว ต้องใช้เงินกีบ" อนาคต คงใช้เงินไทยไม่ได้ซะแล้วละ จากที่ได้พูดคุยกับคนที่อาศัยอยู่ในเวียงจันทร์ ทั้งคนที่มีเงิน และคนธรรมดาสามัญทั่วไปอย่างผม พวกเขาก็เห็นการพัฒนาต่าง ๆ ว่าเร็วดี แต่รายได้ของคนทั่วไป ก็ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก อาชีพขับรถ อจาได้เงินเดือนเป็นเงินไทย ประมาณ 3000 บาท หรือช่างเทคนิค อาจมีรายได้ประมาณ 4000 บาท รายได้แค่นี้คงไม่เพียงพอกับการอาศัยอยู่ในเวียงจันทร์ โดยที่ต้องอาศัยอาหารนอกบ้านทุกมื้อแน่ ๆ ข้าวจี่ ปาเต้ (ขนมปังฝรั่งเศส ผ่ากลางใส่ แตงกวา หมูยอ แล้วก็ตับบด) อันเล็กก็ 50 บาทแล้ว แต่กินอิ่มนะ อิ่มมาก เพราะอันเล็กนี่ก็ยาวฟุตนึงแล้ว ราคาจาก 4-5 ปีก่อน ก็ขึ้นมาประมาณ 15-20 บาท  กาแฟร้อนแก้วละ16-20 บาท
ราคาพวกนี้เป็นราคาที่คนลาวซื้อกันจริง ๆ นะ ไม่ใช่ราคานักท่องเที่ยว เพราะคติในการเดินทางของผมคือ การที่ต้องกินอาหารท้องกิ่นที่คนท้องถิ่นเขากินกัน ถึงจะเป็นการไปถึงที่จริง ๆ ไม่ใช่การ "ถึง" ในความหมายอื่น ๆ ที่คนไทยทั่วไปเข้าใจกันนะ
พูดถึงคำว่าไป "ถึง" นี่นะ ทำไมไม่เข้าใจกันใหม่ให้มันดีขึ้น ทำไมเราไม่คิดบ้างว่า ผู้หญิง เป็นเพศแม่ที่ต้องให้เกียรตินะ ไม่ใช่สินค้า หรือพูดอย่างเต็ม ๆ ก็คือ มนุษย์ ไม่ใช่สินค้า นะ เมื่อไปถึงที่ไหน ๆ ก็หาซื้อผู้หญิง ของเมืองนั้น ๆ มานอนด้วย แล้วบอกว่าถึงแล้ว... นี่เป็นเรื่องที่ทุเรศมาก ๆ สำหรับผม การจะนอนด้วยกับใครก็ตาม จำเป็นต้องมีความรัก ความพึงพอใจ มาด้วยนะ หากไม่ใช่ ก็ไม่ต่างกับสัตว์ ที่มีเพศสัมพันธ์กันตามสัญชาตญาณ แต่มนุษย์นี่เลวกว่าอีก ใช้สิ่งสมมุติ (เงิน) แลกกับการแสดงความรัก (เซ็กส์) เป็นเรื่องที่น่าละอายมาก แล้วเราไม่คิดกันบ้านหรือว่า หากคนต่างชาติมาถามเราเรื่องเที่ยวผู้หญิง แล้วพูดคุย เยาะเย้ยหรือไม่ให้เกียรติเพศหญิงของประเทศเรา เราจะรู้สึกอย่างไร  เกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นคน, ความเป็นชาติ จะทำให้เราเงยหน้ามองคนที่พูดกับเราได้เต็มตาหรือ 


ที่เวียงจันทร์สัปดาห์นี้ ผู้คนแต่งตัวเป็นสากลขึ้น นักเรียนเริ่มมีแบบใส่กระโปรงลายสก็อต แทนผ้าซิ่นบ้างแล้ว รถมอเตอร์ไซค์, รถยนต์ วิ่งกันเต็มเมือง... ตำรวจเต็มเมือง อยู่ทุกแยก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับซีเกมส์ ต้นเดือนหน้า แต่พอเดินทางผ่านสนามกีฬา และหมู่บ้านนักกีฬา แล้วก็ศูนย์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ควรจะสร้างเสร็จแล้วกลับเป็นการเริ่มต้น ขึ้นโครงหรือ บางส่วนยังไม่ฉาบเลย มีแต่ตัวสนามกีฬาใหม่เท่านั้นละ ที่พอจะเสร็จทัน เลยเกิดความสงสัย ว่าจะทันต้นเดือนหน้าหรือเนี่ย...


ที่น้ำพืน นั่งกินอาหารก่อนเข้าไซค์งาน คนลาวเปิดช่องดาวเทียมของกลุ่มเสื้อแดง คุณจตุพร กำลังพูดอยู่บนเวที ด่ารัฐบาล และทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขา คุณณัฐวุฒิ จะรู้ไหมว่า คนลาวเขาดูไป หัวเราะไป ในความขัดแย้งของบ้านเรา ผมเคยเขียนไปแล้วว่า ผมไม่ใช่ทั้งเหลืองและแดง ไม่เห็นด้วยกับการโกง การโกหก การใส่ร้ายป้ายสี และการที่ผมอยู่ี่ตรงนั้นที่พวกเขากำลังหัวเราะเยาะคนไทยอยู่นั้น เป็นการสร้างความรู้สึกที่ทำให้อาย อายมาก จนไม่อยากกินข้าวเลยนะครับ สงสารประเทศกันบ้างเถอะ


ไซค์งานที่ผมเข้าไปเป็นโรงไฟฟ้า บ้านเราซื้อไฟฟ้า จากลาวมาปีละหลายล้านเมกกะวัตต์นะครับ พอเข้าไปตรวจงานก็ต้องทำให้รู้สึกว่าไว้ใจคนของตัวเองไม่ได้อีกต่างหาก เพราะรายงานที่ส่งไปให้ผมก่อนที่จะเดินทางมาดูเองนี่ สภาพต่างกันค่อนข้างมาก จนต้องลงมือตรวจสอบเองทั้งหมด... เหนื่อยและท้อใจขึ้นมานิดหน่อย..  เดินทาง 4 ชั่วโมงจากเวียงจันทร์ ทำงาน 3 ชั่วโมง เดินทางกลับอีก 4 ชั่วโมง.. งานไม่เสร็จ คนของเราที่รับผิดชอบ ยังไม่คุยถึงเรื่องงานเลย คุยกับคนลาวแต่เรื่องจะหาผู้หญิง ทำให้ผมรู้ว่า เวลาที่เขาเดินทางเขามาทำงานคงไม่ได้ตั้งใจทำงาน หรอก คงเป็น ทำงาน 10-20 เปอร์เซนต์ ที่เหลือเที่ยว....


บ้านเมืองของลาวกำลังพัฒนา ไปอย่างก้าวกระโดด ต่างกับบ้านเราที่ชะลอตัว เหมือนกันตรงที่เป็นการพัฒนาที่แทบไม่มีเส้นทางที่ชัดเจน และเน้นที่การพัฒนาแต่บ้านเมืองและเศรษฐกิจ โดยไม่นำพาถึงการพัฒนาจิตใจของผู้คน


คนนี่แหละที่พัฒนายากที่สุด และยังเป็นคนนี่แหละที่นำไปสู่ความเสื่อมเร็วที่สุดอีกด้วย...
สงสัยว่าผมคงจะเกิดผิดยุคผิดสมัยซะแล้ว.....