วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า (4)

รูปน้องอิ๊กคิวส่งมาให้โดย MMS

วันเสาร์ที่ผ่านมามีเรื่องน่ายินดี คือน้องคนหนึ่ง เจ้าเอ๋ ภรรยาของเขาน้องเอ็นคลอดลูกสาว
การกำเนิดใหม่ (อุบัติ) ย่อมส่งผลดีแก่โลกนี้ การเกิดของลูกสาวของเขา คงจะสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้กับชีวิตเขาได้อีกมาก
การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในการดำเนินชีวิตกำลังรอเขาอยู่แล้ว ก็ขอแสดงความยินดี และเป็นกำลังใจให้ พยายามเข้านะไอ้น้อง

คราวนี้ก็กลับมาว่ากันต่อในเรื่องของ การอย่าเชื่อถือ ข้อที่ 4
"อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันมีอ้างไว้ในตำรา"
เคยได้ยินดำพูดประชดประชันที่ว่า
"จบปริญญาตรีเชื่อตำรา จบปริญญาโทเชื่อตัวเอง จบปริญญาเอกเชื่อหมอดู" ไหมครับ ผมคิดว่าเป็นคำพูดที่เป็นจริงทีเดียวนะ
เมื่อคนเราเรียนจบปริญญาตรี ก็มักจะเป็นเพราะมีการสอน และอ่านเยอะ และการที่จะเรียนจบก็คงต้องพยายามอ่านอย่างมาก จนไม่มีเวลาวิเคราะห์ว่าจริงแค่ไหน?
ส่วนปริญญาโทก็ต้องอาศัยความคิดวิเคราะห์ของตนเองเป็นหลัก เลยมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง จนลืมดูว่ารอบตัวนั้นมีคนเก่งกว่าตัวเองอยู่มากมาย ทั้งที่คนพวกนั้นไม่จบปริญญาด้วยซ้ำ
และปริญญาเอกนั้น... ข้อนี้ลองไปคิดกันเอาเองครับ แล้วส่งความเห็นมาจะเอามาแทรกในหัวข้อนี้ให้ โดยส่วนตัวเท่าที่สัมผัส หรือรู้จักมา ปริญญาเอกทั้งหลายก็เป็นจริง ๆ แล้วยังงมงายหนักซะด้วย

เมื่อก่อนนี้ ผมมีคติในเรื่องการเรียนอยู่ว่า
"ปริญญาตรีกันหมากัดได้ ปริญญาโทตีหมาได้ ปริญญญาเอกสั่งหมาได้"
เนื่องจากเมื่อจบปริญญาตรี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นก็กั้นไม่ให้คนอื่น ๆ ค่อยแหนบแนมเรา ในเรื่องการศึกษาได้ หากจบปริญญาโทก็ทำให้เรามีความสามารถจัดการกับผู้คนรอบข้าง
ที่ต่ำกว่าได้ และถ้าจบปริญญาเอก ก็สามารถสั่งการได้เช่นกัน

แต่ด้วยความคิดในปัจจุบัน คติเรื่องการเรียนของผมเปลี่ยนไปแล้ว
ปริญญาตรีที่เอาไว้กันหมา มันก็กันได้หลายตัว หลายพันธุ์อยู่
ปริญญาโทที่เอาไว้ตีหมา ก็เพียงตีได้เพียงหมายสองสามตัว และไม่กี่พันธุ์เท่านั้น
ปริญญาเอกที่เอาไว้สั่งหมา ก็เพียงตัวเดียว พันธุ์เดียว
ยิ่งเรียนสูงจิตใจยิ่งคับแคบลง ความเห็นใจต่อผู้อื่นยิ่งต่ำลง แม้ไม่ใช่ทุกคน แต่ที่ผมได้สัมผัส ส่วนใหญ่เป็นครับ
แต่ผมก็ยังอยากเรียนจนจบปริญญาเอกนะ เพราะผมมั่นใจว่าผมยังคงเป็นผมได้ แม้จะมีความรู้มากขึ้น หรือระดับการศึกษาสูงขึ้นก็ตาม

เมื่ออ่านหนังสือ หลาย ๆ เล่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร อย่าเพิ่งเชื่อในตัวหนังสือนั้นทั้งหมดครับ เราควรพิจารณาว่าเนื้อหาเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
เราสามารถอ่านหนังสือแล้วพิจารณา วิเคราะห์ เพื่อเลือกที่จะเชื่อและไม่เชื่อในบางสิ่งได้ครับ อย่างคนที่อ่านในสิ่งที่ผมเขียน ไม่ว่าจะในบล็อกนี้ หรือหนังสือเล่มอื่น ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อ
และผมก็แนะนำว่าไม่ให้เชื่อ แต่ให้วิเคราะห์และพิจารณากันเอาเองด้วยเหตุด้วยผลว่าถูกต้อง เป็นจริงหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อครับ

ไม่มีหนังสือเล่มไหนในโลกนี้ที่มีสาระ โดยที่คุณยังไม่ได้อ่าน
ไม่มีหนังสือเล่มไหนในโลกนี้ที่มีประโยชน์ โดยที่คุณอ่านแล้วยังไม่เข้าใจครับ

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รูปถ่ายและการถ่ายรูป

เคยไหม ที่มีคนถามอะไรเรา แล้วเราไม่ตอบ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
อาจเป็นเพราะยังไม่แน่ใจ อาจเป็นเพราะกลัวคำตอบจะทำร้ายคนอื่น อาจเเป็นเพราะกลัวคำตอบจะทำให้ตัวเองเดือดร้อน

คำถามนึงที่ผมถูกถามบ่อย ๆ คือ "เดี๋ยวนี้ ไม่ถ่ายรูปแล้วเหรอ?" "ทำไมไม่ซื้อกล้องใหม่ละ?"
สำหรับคำตอบนั้นมีอยู่ในใจผมแล้ว และก็ตอบไปแล้ว นั่นคือ ยังถ่ายรูปอยู่แต่ไม่ซื้อกล้องใหม่...

ส่วนคำอธิบายของคำตอบนั้น ยังไม่เคยบอกกับใคร ๆ คราวนี้เลยเอาความคิดส่วนนี้มาอธิบายนะครับ

สาเหตุของความชอบในการถ่ายรูปของผมนั้น เริ่มเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน จากการที่เริ่มอ่านหนังสือ และเห็นรูปภาพสวย ๆ ตามนิตยสารสารคดีต่าง ๆ

แล้วก็อยากจะถ่ายรูปบ้าง ก็เริ่มจากกล้องโกดักตัวเล็ก ๆ ของพ่อกับแม่ก่อน เลยกับฟิลม์ 35 ม.ม. แล้วก็อีกตัวหนึ่งกับฟิลม์ 110 โดยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการถ่ายรูปว่าต้องเป็นการบันทึกภาพที่ออกมาเป็นจริงเท่านั้น ประกอบกับอุปนิสัยของผมที่ไม่ค่อยชอบสังคมและผู้คนนัก

การถ่ายรูปของผมจึงโอนเอียงไปทางการถ่ายภาพธรรมชาติ และสัตว์ต่าง ๆ เป็นหลัก และมาเริ่มถ่ายรูปอย่างค่อนข้างจริงจัง ในอีก 3 ปีต่อมาด้วยกล้องแคนนอน SLR จนกล้องพังไปจากการที่ถ่ายรูปนกน้ำกลางเขื่อนแล้วเรือล่ม... ก็เปลี่ยนมาใช้แคนนอนอีก ช่วงนั้นยังเรียนหนังสืออยู่ จึงต้องทำงานนอกเก็บเงินไปด้วยนานอยู่กว่าจะได้กล้องตัวใหม่ ซึ่งก็เกิดปัญหาจากการใช้งานตอนไปถ่ายรูปป่าฝนที่ภาาคใต้อีก... คราวนี้พักไปยาวแล้วเปลี่ยนมาใช้นิคอน แล้วก็เลนส์อีกหลายตัว เนื่องจากทำงานประจำแล้วจึงมีเงินพอจะนำมาใช้จ่ายส่วนนี้ได้ แล้วก็เพนแท็กซ์ อีกตัวไว้เป็นกล้องสำรอง... และการถ่ายรูปใช้แต่ฟิลม์สไลด์เท่านั้น

เวลาเดินทางไปถ่ายรูปที ขนของกันเพียบ เลนส์ 2-3 ตัว แฟลช กล้อง SLR 2 ตัว ขาตั้งกล้อง.... การเดินทางในช่วงนั้น เมื่อเข้าป่าจึงเลิกนอนเต็นท์ แล้วนอนเปลแทน เพราะแบกเต็นท์ไปด้วยไม่ไหว ประกอบกับชอบที่จะเดินทางคนเดียวหรือกลุ่มเล็ก ๆ จึงต้องมีความคล่องตัวในการเดินทางสูง

กระเป๋ากล้อง 2 ใบ คาดเอว 1 สะพาย 1 แล้วก็เป้ใส่ของใช้ส่วนตัว.. ผมเดินทางถ่ายรูปมาแล้วทั่วประเทศ ป่าทางเหนือ ป่าทางใต้ ป่าอีสาน หรือป่าตะวันตก...

มีรูปภาพมากมายที่อยู่ในฟิลม์สไลด์ ดีบ้าง แย่บ้าง... เคยจะได้ร่วมงานกับนิตยสารเกี่ยวกับสารคดี.. แต่เนื่องจากยังไม่มีรางวัลอะไรรองรับ จึงยังไม่ออกจากงานเดิม มาถ่ายรูปเป็นอาชีพ...

เมื่อโลกเปลี่ยนมาสู่กล้องดิจิตอล กล้องดิจิตอลตัวแรก ๆ ในประเทศไทยก็ผ่านมือผมมาก่อนที่คนทั่วไปจะรู้จัก เนื่องด้วยงานที่ทำต้องตรวจสอบสินค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ..

และจนถึงปัจจุบันนี้ ผมก็ยังไม่มีกล้องดิจิตอลของตัวเองซักตัวเลย..

สาเหตุก็มาจากว่า ผมรู้สึกว่าความน่าหลงใหลของการถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอลนั้นน้อยกว่ากล้องฟิลม์มาก... กล้องฟิลม์ต้องใช้ฝีมือและทักษะมาก เพราะเราจะไม่เห็นภาพทันที เราต้องจินตการให้ได้ว่าภาพจะออกมาเป็นเช่นไร กับการตั้งค่าต่าง ๆ ให้กับการถ่ายรูปนั้น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้ผมชอบการถ่ายรูป

ข้อดีของกล้องดิจิตอลก็คือ ทำให้เกิดตากล้องฝีมือดีขึ้นอีกจำนวนมาก มีภาพสวย ๆ ที่ผมไม่เคยเห็น ไม่เคยทำได้เพิ่มขึ้นอีกเยอะ..

แต่ตากล้องดิจิตอล มักจะควบคู่ไปกับการตกแต่งภาพ.. ภาพที่ได้สวยจริงจากฝีมือการถ่ายภาพของตัวเองหรือ? หรือว่าเกิดจากฝีมือการตกแต่งภาพจากคอมพิวเตอร์

ถ้าการตกแต่งภาพนั้น ผมทำได้อย่างสบาย ๆ เพราะการทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานหลักของผมอยู่แล้ว...
ผมยังถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอลอยู่บ้างแต่มักเป็นกล้องของคนอื่น หลากหลายยี่ห้อ.. หรือไม่ก็กล้องจากโทรศัพท์มือถือ... ตอนนี้กระบี่อยู่ที่ใจแล้วครับ ใช้อะไรก็ได้...
มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนถ่ายรูปบ้างคน คือการใช้กล้องดิจิตอลถ่ายภาพ แล้วเอาข้อมูล รูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ มาถ่ายด้วยกล้องฟิลม์... ฝีมืออยู่ตรงไหนเนี่ย แล้วน่าภูมิใจตรงไหน..

เนื่องจากผมถ่ายรูปโดยเน้นความเป็นจริงเป็นหลัก และหลงใหลในการใช้จินตการเพื่อบันทึกภาพ

คำตอบของผมจึงเป็น

"ยังชอบถ่ายรูปและยังถ่ายรูปอยู่ แต่ไม่อยากซื้อกล้องดิจิตอลครับ"
"เพราะผมรักการใช้จินตการในการบันทึกภาพครับ"
และบทความนี้มีภาพประกอบนะครับ แต่ต้องดูจากสไลด์ที่ผมมีอยู่เท่านั้นครับ....ไม่ใช่ไฟล์ดิจิตอล ที่คุณไม่มีทางจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง...

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ชีวิตอิสระ กับมะระมะลิ

หายหน้าหายตาไปเป็นสัปดาห์ เพราะเล่นเกมครับ เป็นเกมที่น่าสนใจมาก แล้วจะมาเล่าให้ฟังกันอีกทีนะ
เมื่อวานนี้วันเสาร์ ช่วงเช้า เข้าไปช่วยแม่เก็บมะม่วงในสวน ก็เป็นเรื่องปกตินะ ถ้ามีเวลาว่าง ก็ช่วยงานในสวนตามปกติ แต่ที่พิเศษกว่าก็คือ คราวนี้พาเจ้ามะลิกับมะระเข้าไปด้วย.. เป็นครั้งแรกที่พาเข้าไปในสวนนะ แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พาออกนอกบ้านนะ ทุกครั้งที่พาออก หรือได้ออกนอกบ้าน ก็จะร่าเริงเป็นพิเศษอยู่แล้ว คราวนี้พาพาเข้าสวน พอปลดสายจูงเท่านั้นแหละ คุณนึกออกไหม ว่าพวกมันจะทำิอะไรเป็นอย่างแรก
หนูมะลิกระโดลงท้องร่อง แล้วเจ้ามะระก็โดดตาม ว่ายน้ำข้ามร่องสวน ไปมา อย่างร่าเริง จนตัวมีแต่โคลนแล้วก็แหน.. ผมก็ได้แต่หัวเราะ แล้วก็ไปขึ้นต้นมะม่วง เก็บมะม่วงให้แม่ แม่จะเอาไปขายน่ะ... ระหว่างที่เก็บ คุณเกดแม่เจ้าสองมะ ก็มาช่วยเก็บที่ผมสอยจากข้างบนต้นแล้วส่งลงมาข้างล่าง ท่ามกลางเสียงกระโดดน้ำ เสียงเห่าเวลาไปเจอตัวอะไรแปลก ๆ ส่วนบนต้นอย่างผม ก็จะได้ยินเสียงแม่เจ้าสองมะ คอยตะโกนเรียก เพราะความเป็นห่วง.. จนเก็บมะม่วงจนพอแล้ว พาเจ้าสองมะกลับ ก็ต้องอาบน้ำเจ้าสอง มะทันที เพราะทนไม่ไหวกับโคลนแล้วก็แหนที่ติดเต็มตัว... ก็ตัวมันจากขาว ๆ กลายเป็นดำไปน่ะ..คิดดู

เห็นเจ้าสองมะร่าเริงมากขนาดนั้น ก็ย้อนมาดูคนเรานะ การที่คนเราต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบต่าง ๆ ก็เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นมีความสงบสุข และเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วสงสัยไหม ว่าทำไมคนเราจึงต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์จำนวนมาก แต่สัตว์ไม่ต้อง.. ในความคิดผมเป็นเพราะคนเรานั้นมีความคิดจิตใจที่ซับซ้อนลึกซึ้งกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป และในความคิดลึกซึ้งที่มีอย่างมากมายของสัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์นั้น.. มีทั้งความคิดที่สร้างสิ่งที่สร้างสรรค์ อย่างหนังสือ วรรณกรรม ศาสนา ยารักษาโลก ความรัก ฯลฯ แต่ก็ยังมีความคิดที่ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ อย่างอาวุธ ยาเสพติด การเอารัดเอาเปรียบ การฆาตกรรม สงคราม ฯลฯ พวกนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องมีการสร้างกฎขึ้นมาเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระเบียบ และสงบสุข แล้วถ้าเราคิดต่อไปอีก... บางประเทศมีกฎเกณฑ์สำหรับการอยู่ร่วมกัน ไม่กี่ข้อ แต่ในประเทศเรามีเป็นร้อยข้อ.. เพราะอะไร การที่อยู่ร่วมกันโดยอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อ หมายความว่า ความคิดในด้านร้ายในจิตใจน้อย หรือความเห็นแก่ตัวต่ำ นั่นละมั้ง แล้วประเทศเราละ?
เมื่อเราอยู่ใต้กฎเกณฑ์ แล้วรู้สึกว่าไม่มีความสุขมาก ๆ คงต้องย้อนมองว่า เพราะเรามีความเห็นแก่ตัวสูงเกินไปหรือไม่? เราพร้อมที่จะอยู่ใต้กฎเกณฑ์นั้น ๆ หรือไม่? หากเรายังอยากอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นั้น ๆ แต่ยังลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้ไม่มาก ทำให้เกิดความทุกข์ ลองดูตัวอย่างเจ้าสองมะนะครับ ลองให้อิสระักับตัวเองบ้าง ให้ความสุขกับตัวเองอย่างเต็มที่ ซักช่วงหนึ่ง เพื่อความสุขครับ แต่ต้องไม่ใช่ภายใต้สถานที่ที่มีกฎเกณฑ์นั้น ๆ อย่างเจ้าสองมะ คือเข้าไปในสวน อย่างของคนเรา อาจเป็นการเปลี่ยนสถานที่ ไปเที่ยว หรือไปในที่ ๆ เราไม่รู้จักบ้าง จิตใจก็จะได้รับการปลดปล่อย อาจจะทำให้ส่วนอื่น ๆ ของกฎเกณฑ์ที่เราเบื่อหน่ายอยู่ก็ได้นะ
แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้คือ การที่เราเปลี่ยนสถานที่ หมายความว่า เราเปลี่ยนการอยู่ภายใต้กฎอย่างหนึ่ง ไปสู่ภายใต้อีกกฎหนึ่งเสมอ ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีกฎเกณฑ์ครับ อย่างการอยู่ร่วมกันของสัตว์ ย่อมต้องมีจ่าฝูง และมีการขับไล่ลูกตัวผู้ออกนอกฝูง ทั้งนี้ เพื่อให้สายพันธุ์นั้น ๆ มีความแข็งแรงอยู่เสมอ มันอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เพื่อความอยู่รอดของสายพันธุ์ แต่คนเราข้ามสิ่งเหล่านี้มาแล้วครับ เรื่องส่วนนี้ผมมีแนวความคิดค่อนข้างเยอะ แล้วจะแยกออกมาเล่าให้ฟังต่างหาก... คนเรานั้นก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอครับ...

ถ้าหากเครียดกับการอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดิม ๆ ลองเปลี่ยนสถานที่ดูบ้าง ความคิดอาจจะพัฒนาขึ้น..
แต่อย่างลืม แม้เราจะหลีกหนีจากกฎเกณฑ์ที่เราไม่ชอบได้ แต่ก็ต้องไปอยู่ภายใต้อีกกฎเกณฑ์หนึ่งอยู่ดี
แม้แหวกกฎเกณฑ์เดิม ๆ ได้ ยังต้องพบกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ..

ทำจิตใจให้เข้าใจถึงกฎเกณฑ์ พักผ่อนซะบ้าง ลดความเห็นแก่ตัวลงอีกซักหน่อย อยู่ที่ไหนก็มีความสุขครับ

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า (3)

เพิ่งกลับมาจากการเที่ยวกับทางบริษัทฯ เพียงสำหรับผมนั้นเป็นเพียงการผ่านเท่านั้นเอง ไม่ได้นับว่าไปเที่ยวแต่อย่างใด
ความหมายของการไปเที่ยวสำหรับผมนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเดินทางไป ระหว่างทางมีอะไรบ้าง เมื่อไปถึงที่ ๆ ต้องการแล้ว สถานที่นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีความน่าสนใจอยู่ตรงไหนบ้าง สถานที่หรือสิ่งที่อยู่คู่กับสถานที่นั้น ๆ มายาวนาน การได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่เที่ยวนั้น ๆ ให้มากที่สุด โดยไม่ให้เกิดความเสียหาย การมองดู รู้เห็นว่าสังคมแถวนั้นเป็นอย่างไร อาหารเป็นอย่างไร และเมื่อกลับบ้านมีความประทับใจอย่างไรบ้าง การไปเที่ยวครั้งนี้สำหรับผมจึงเป็นเพียงการเดินผ่านและแวะนอนเท่านั้นเอง...
คนเรามีพื้นฐานและความสนใจไม่เหมือนกันย่อมรู้สึกแตกแยกออกจากกันเป็นธรรมดา

วันนี้เรามาต่อกันเรื่องของการอย่าได้เชื่อถือ ให้หัวข้อที่ 3 นะครับ

อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง

ข้อนี้ก็ง่าย ๆ สั้น ๆ เวลาที่ได้ยินเรื่องใด ๆ ก็แล้วแต่ ที่คนเขาพูดกันและบอกว่าจริง อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องมีการพิจารณาและพิสูจน์ เพื่อให้เห็นความจริงแท้ก่อน เพียงแต่ข้อนี้เป็นเรื่องที่เราจะพบได้มากมายในสังคมปัจจุบัน เนื่องจากสังคมออนไลน์ที่แพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทุกคนที่มีอีเมลล์ คงต้องได้รับจดหมาย ที่มีลักษณะของการบอกเล่าความรู้ ซึ่งอาจจะยังไม่มีการพิสูจน์ว่าจริง พออ่านเสร็จก็รีบส่งต่อไปให้กับคนอื่น ๆ ต่อไปอีก ทำให้แพร่กระจายออกไปเรื่อย ๆ โดยเชื่อว่าจริง และหลาย ๆ คนปฏิบัติตาม ลองถามตัวเองดูว่าทำไมเราต้องเชื่อในทุกสิ่งที่คนเขาเล่าต่อกันมาหรือ ทำไมไม่เริ่มจากเชื่อในตัวเองก่อน

ผมคิดว่าเหตุผลที่คนเราเชื่อเสียงเล่าลือจากคนอื่นง่าย ๆ นั้น เพราะพื้นฐานของมนุษย์นั้นมีจิตใจดีและไม่คิดจะหลอกลวงใครอยู่แล้ว ทำให้ตกเป็นทาสของความคิดผู้อื่นได้ง่าย ๆ
และเชื่อในเรื่องต่าง ๆ ง่ายเกินไป ประกอบกับไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ค้ำยันในจิตใจตัวเอง จึงคิดว่าเสียงจากผู้อื่นถูกต้อง และสำคัญเสมอ ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นว่าใกล้เคียงกับสภาพจิตใจของคนเหล่านี้ก็คือ
ลูกปูที่อยู่ในคลอง พอน้ำไหล พบกอสวะ ก็ว่ากอสวะดี อาศัยอยู่ได้ พบลูกมะพร้าวแห้งลอยอยู่ ก็ว่าลูกมะพร้าวดี พบขอนไม้ลอยอยู่ ก็ว่าขอนไม้ดี แต่ตัวลูกปูนี้ยังไม่เคยได้ไปถึงตลิ่ง จึงไม่รู้ว่า ยังมีสิ่งที่มั่นคงกว่าอีกมากมายนัก เหมือนกับคนเรา เมื่อเจอข้อมูลหรือข้อความที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาแล้วว่าจริงก็เชื่อ เพราะตัวยังไม่มีความจริงแท้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวอยู่ในจิตใจ
ลองพิจารณาดูดี ๆ นะครับ ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มีการเล่าต่อ ๆ กันมา ไม่ว่าจะทางคำพูด หนังสือ หรือ ข้อความในอีเมลล์ ล้วนมีทั้งสิ่งที่จริงและไม่จริง
พิจารณาหาความจริงในข้อมูลเหล่านั้น มันก็ยังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับตัวเราเองได้เหมือนกัน
ในเมื่อโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดถูกที่สุด สิ่งใดผิดที่สุด ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเองว่าจะพิจารณาอย่างไร


ส่วนตัวผมก็ยังเป็นลูกปูที่ลอยไปเกาะกอสวะบ้าง เกาะลูกมะพร้าวบ้าง เกาะขอนไม้บ้าง
แต่ส่วนมากแล้วจะเกาะอยู่ที่ตลิ่ง
อยากเห็นลูกปูตัวอื่น ๆ มาเกาะให้มาก ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะไม่เกาะอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ ..

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จิตตก


จิตตกสำหรับผมคือภาวะอาการที่เกิดความไม่มั่นคงในจิตใจ โดยค่อนไปทางเรื่องร้าย ๆ นะครับ ที่ขึ้นหัวเรื่องแบบนี้เพราะเพิ่งเกิดกับตัวเองมาเลย ทำให้ได้คิดว่า ถึงว่าผมจะคิดว่าสามารถควบคุมตัวเองได้ดีพอสมควรแล้ว แต่จริง ๆ แล้วยังไม่ดีเพียงพอที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ประมาท เพราะความที่จิตใจไม่มั่นคงพอ อาจทำให้เราเดินทางไปสู่ทางที่ผิดได้ง่าย ๆ เพราะยังงี้ผมคงต้องพยายามพัฒนาจิตใจตัวเองต่อไปอีกละนะ
เหตุการณ์แรกเกิดที่คลองถม ด้วยความที่เดินดูของเพลิน ๆ พอเงยหน้าขึ้นก็พบรอยยิ้มที่ส่งมาให้ผมโดยตรง จากผู้หญิงคนหนึ่ง เชื่อไหมว่าผมรู้สึกว่าตกใจอย่างแรง ถึงแม้ผมจะเคยเห็นผู้หญิงคนนี้หลายครั้งแล้วก็ตาม เธอเป็นผู้ญิงที่แต่งตัวด้วยเสื้อแขนกุด  กางเกงขาสั้น ทาปากแดง ทาแป้งขาว ผมคิดว่าเธอสติไม่ดีนะ เรื่องนี้ไม่ยืนยัน เมื่อก่อนผมไปคลองถมบ่อย ๆ ก็ไม่เคยเจอนะ เพิ่งเจอช่วงหลัง ๆ นี่เอง ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรเธอถึงพอใจที่จะก้าวออกจากความเป็นจริงไปอยู่ในโลกที่เธอสร้างขึ้นเอง แต่ดูท่าทางเธอก็มีความสุขดี นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองน่ารังเกียจที่ตกใจเมื่อเธอยิ้มให้ ซึ่งแสดงว่าผมมีจิตใจที่ไม่มั่นคงพอที่จะยอมรับกับทุกบุคคลได้ ซึ่งเป็นส่วนที่ผมคงต้องพัฒนาต่อไปนะ หนทางยังอีกยาวไกล

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องใหม่สด ๆ ร้อน ๆ ของวันนี้ ระหว่างที่ผมขับมอเตอร์ไซค์อยู่แถวโบ๊เบ๊ ผมโดนแท็กซี่เฉี่ยวล้มครับ! แล้วแท็กซี่ส่วนบุคคลคันนั้นก็รีบขับต่อไป... ผมยกรถขึ้นมาขับต่อได้ ไม่ได้บาดเจ็บ ก็คนมันแข็งแรงอ่ะนะ ด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิดมาก ๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว ผมไม่ได้ขับรถประมาท ขับเร็ว หรือขับแทรกไปแต่ประการใด แท็กซี่คันนั้นแซงไปอย่างกระชั้นชิด กระจกข้างเกี่ยวแฮนด์มอเตอร์ไซค์จนล้มลง.... และไม่มีความรับผิดชอบ ที่จะลงมาดูแต่ประการใด... เรื่องเฉี่ยวล้ม เป็นอุบัติเหตุ พอเข้าใจได้ แต่เรื่องที่ไม่สนใจจะดูเลยนี่ รับไม่ได้ อันเป็นเหตุให้หงุดหงิด และมีความคิดที่ไม่ดี ๆ เกิดขึ้น เมื่อความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้น ก็ทำให้การควบคุมตัวเองและจิตใจลดลงไปด้วย ทำให้รู้สึกว่าทำอะไรก็จะไม่ปลอดภัย เลยพาลไม่อยากทำอะไรเลย... จิตตก..
เรื่องนี้เป็นเหตุให้ผมคิดได้ว่า ถึงเราจะไม่ประมาทในการขับรถ แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่ยังประมาทอยู่ เราต้องไม่ประมาทเพิ่มขึ้นเป็นสอง-สามเท่า เพราะให้เกิดความปลอดภัย รวมทั้งใจผมที่คิดร้ายกับคนขับแท็กซี่ นี่ก็ต้องปรับปรุง ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะให้อภัยได้ ทำให้ใจตัวเองไหม้อยู่กับความแค้น และความคิดไม่ดี เป็นชั่วโมง ๆ
เนื่องจากเหตุการณ์จตตกของผมทั้งสองเหตุการณ์อยู่ในสถานะที่ต่างกัน แต่เกิดอาการที่คล้ายคลึงกัน และเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่ายังคงต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกเยอะเลยสำหรับผม
สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นประสพการณ์ เพื่อการพัฒนาจิตใจตัวเองสำหรับผมต่อไป

ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท อย่างสม่ำเสมอ
เรามาพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กันไหม? เริ่มที่การให้อภัยกันนะครับ