วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กิ๊ก? ชู้? ในความคิดของผม..

ด้วยความที่ยังเรียบเรียงข้อมูลในหัวตัวเองไม่ได้..
เลยลองอาศัยสังคมออนไลน์ว่าอยากรู้เรื่องอะไรบ้าง.. มีคนตอบมาว่าอยากรู้เรื่องกิ๊ก..
ถ้าอย่างงั้นก็ลองอ่านความหมายของกิ๊กในความคิดของผมดูก็แล้วกันนะ

เพราะว่าสังคมไทยยังคงเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญต่อเพศชายสูงกว่าเพศหญิง ทำให้สถานะทางสังคมหลาย ๆ อย่างนั้นเพศชายมักจะได้มากกว่าเสมอ
สังคมไทยในอดีตนิยมการมีเมียหลาย ๆ คน ตามฐานะ ตามความต้องการ ตามความนิยม ในยุคสมัยนั้น ๆ และยังสืบทอดความนิยมนั้น ๆ มายังปัจจุบัน
ว่าการที่เพศชาย จะมีเพศหญิงหลาย ๆ คนนั้น เป็นเรื่องดี เรื่องน่ายกย่อง ลองมองย้อนกลับไปในอดีต ในเวลาที่อยู่ในช่วงของการสร้างบ้านแปงเมือง
จำนวนผู้คนในเมืองเป็นสิ่งสำคัญ จึงมีทั้งการกวาดต้อนเชลยเข้ามาเป็นแรงงาน การย้ายครัวของหัวเมืองประเทศราษฎร์เข้ามา ยังผลให้ในปัจจุบัน บ้านเราจึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และประเพณี แม้จะอยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน
อีกส่วนหนึ่งคือการเพิ่มประชากรโดยชนชั้นปกครอง ที่อาจนับได้ว่าเป็นสายพันธุ์ที่ดี เพราะมักมีความฉลาดหลักแหลม และสามารถพัฒนาบ้านเมืองได้.. การสืบพันธุ์ของคนกลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องมีจำนวนมาก
และด้วยความที่การแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่เจริญจนทำให้อัตราการตายของทารกนั้นสูง จึงทำให้จำเป็นต้องมีการสืบพันธุ์แบบมากกว่าคู่
ในสมัยโบราณการที่เพศชายจะมีเพศหญิงหลาย ๆ คน จึงอาจเป็นเรื่องที่อนุโลมได้..
ค่านิยมนี้ยังคงสืบทอดมายังปัจจุบัน ในยุคที่มีประชากรล้นเมือง ยุคที่การแพทย์เจริญก้าวหน้า ยุคที่สังคมเท่าเทียมกัน ยุคที่เทคโนโลยีเจริญรุ่งเรือง แต่จิตใจตกต่ำลงทุกที..

มนุษย์ถูกออกแบบขึ้นมาแบบสมมาตร.. แขน ขา ตา หู เป็นคู่กันหมด จึงอาจสื่อความหมายว่ามนุษย์ควรใช้ชีวิตกับเพศตรงข้ามแบบคู่เดียวนะ..
นกกระเรียน นกเขา นกเงือก ฯลฯ และสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย ใช้ชีวิตแบบผัวเดียว เมียเดียว.. แต่มนุษย์อีกมากมายที่ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบคู่เดียวได้

เพราะอะไรหรือ.. ขอบอกในฐานะที่จมอยู่ในวิถีนั้น ๆ มาก่อนนะ.. อาจเป็นเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง ขาดความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติ รวมทั้งการนิยมในเรื่องผิด ๆ ที่สืบทอดกันมา
ถึงปัจจุบัน เมื่อมองย้อนกลับไป ถามว่าในช่วงนั้น ๆ มีความสุขไหม? ขอบอกตรง ๆ ว่าไม่มีความสุข จมอยู่ในความกังวล ความหวาดระแวง ความหึงหวง. เรื่องร้อน ๆ ทั้งนั้น
ถึงแม้ช่วงหลัง ๆ จะมีการนำคำว่ากิ๊กมาใช้แทนชู้ เพื่อให้รู้สึกผิดน้อยลง แต่จริง ๆ ความผิดมันไม่ได้ลดลงเลย ยังคงผิดศีลข้อสาม ในศาสนาพุทธ เหมือนเดิม
การเปลี่ยนคำเรียก ไม่มีทางเปลี่ยนตัวตนจริง ๆ ได้หรอกนะ..

มองเห็นคนมากมายรอบตัว ยังคงใช้ชีวิตตามค่านิยมโบราณแบบนี้อยู่ก็สะท้อนใจ.. คนเราควรมองและคิดใหเห็นจริงได้ด้วยตัวเองนะ ยังคงทำตราม ๆ กันไปโดยนิยมว่าดี
แต่ไม่เคยเห็นใครมีความสุขจริง ๆ ซักที.. สัตว์โลกย่อมมีสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์ ผลักดันให้มีคู่และมีเพศสัมพันธุ์ มนุษย์แตกต่างกับสัตว์ตรงที่สามารถควบคุมสัญาชตญาณได้ดีกว่า จึงเกิดเป็นการแต่งงาน และอื่น ๆ เพื่อควบคุมสัญชาตญาณสำหรับคนหมู่มาก รวมทั้งยังมีความรู้สึกที่ลึกซึ้ง อย่างเช่นความรักมาคอยกำหนดอีกชั้นหนึ่ง
หากเราปล่อยให้สัญชาตญาณในการสืบพันธุ์ มีอำนาจอยู่เหนือการควบคุม และความรัก มนุษย์นั้น ๆ ก็ไม่ต่างจากสัตว์ทั่ว ๆ ไป สัตว์โลกทั่วไป มักมีประโยชน์กับโลกใบนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และมนุษย์ซึ่งโดยปกติก็เป็นตัวทำลายโลกใบนี้อยู่แล้ว
หากปล่อยให้ตัวเองเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ คงทำให้หนักโลกขึ้นไปอีก..
เพศสัมพันธุ์ที่ปราศจากความรัก ย่อมไร้ซึ่งความหมาย เพียงทำไปตามสัญชาตญาณการสืบพันธุ์เท่านั้น
ผมอยากจะเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นสัตว์โลกที่มีประโยชน์กับโลกใบนี้บ้าง ไม่ใช่เป็นมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนสัตว์โลกทั่วไป ไปวัน ๆ สำหรับผมกิ๊กหรือชู้ก็ไม่ต่างกัน และผมก็ไม่ต้องการจะมี และไม่อยากให้คนรอบข้างมีด้วย

ครั้งหนึ่งเมื่อความคิดผมยังเยาว์ ผมเคยถามพี่คนหนึ่งว่า แต่งงาน เช้ากินข้าวด้วยกัน เย็นกินข้าวด้วยกัน เห็นหน้ากันตลอด ไม่เบื่อบ้างหรือ
ครั้งนั้นผมไม่เข้าใจความหมายของคำตอบที่พี่คนนั้นตอบมา
ครั้งนี้เมื่อความคิดผมโตขึ้น ผมไม่เคยเบื่อที่จะกินข้าวเช้า กลางวัน เย็น พร้อมกับคนรักทุก ๆ วัน เห็นหน้ากันตลอดก็ไม่เคยเบื่อ จึงเข้าใจ

ลองถามตัวเองดูว่าเมื่อมีคู่แล้ว พร้อมที่จะดูแลกันและกันไปตลอดหรือไม่
ชีวิตคู่ ย่อมเริ่มจากความรัก แล้วแปรไปเป็นความผูกพัน
จากนั้นอยู่ที่คนสองคนว่าจะถนอมรักษาเอาไว้อย่างไร

จะปีใหม่แล้วใครที่ยังเดินอยู่ในวังวนนั้น ๆ ก็ลองคิดดูใหม่ได้นะ
เชือกที่มีปม มักใช้งานไม่ค่อยได้ ปมทุกปมที่ขมวดไว้ ย่อมสามารถคลายได้ แต่อาจต้องใช้เวลาซักหน่อยนะ

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ธันวาคม ๒๕๕๓

ไป ๆ มา ๆ ใกล้หมดไปอีกปีแล้วนะ.. เวลานี่มันเดินเร็วดีจริง ๆ หรืออาจช้าสำหรับบางคนก็ได้
ปีที่กำลังจะหมดไปก็นับได้ว่าเป็นปีที่ทำงานได้อย่างที่ตั้งใจไว้นะ ทำงานเต็มที่โดยตลอด ไม่คด ไม่โกง ไม่เอาเปรียบใคร จิตใจยังเป็นปกติ คำพูดที่อาจไปทำให้คนอื่นขัดข้องหมองใจก็ลดลง..
สัปดาห์ก่อนไปทำงานที่ฉะเชิงเทรา งานเสร็จ ยังไม่ทันสรุป ก็เกิดอาการอาหารเป็นพิษ กินชีวิตซะสองวันสองคืนเต็ม ๆ ตั้งแต่วันพฤหัสบดี แถมวันเสาร์ก็ยังไม่ฟื้น..
วันอาทิตย์พอฟื้นตัวนิดนึงก็ออกไปเที่ยวซะหน่อย หาประสบการณ์แปลกใหม่ กระตุ้นความกระปรี้กระเปร่าซะหน่อย ตีห้ากว่า ๆ วันอาทิตย์ก็ไปเดินการกุศลกับทางกาชาด ที่สวนลุมพีนี เช้า ๆ วันอาทิตย์ ถ้าใครบอกสวนลุมฯ มีแต่คนแก่ ๆ ต้องบอกว่าสาว ๆ ก็เยอะนะ
แต่ชอบที่มีกลุ่มอากง อาม่า มารำไทเก็ก รำพัด กันพรึบพรับ เสียงดัง พร้อมเพรียงกันเชียว. แข็งแรง แข็งแรง
เดินเสร็จก็ไปต่อที่หอศิลป์ กรุงเทพฯ ที่ไปกี่ครั้งก็ยังสวย ช่วงนี้ก็มีนิทรรศการใหม่ ๆ ที่ชั้น 7, 8 และ 9 อยู่นะครับ ลองไปดู ๆ กันนะ ไปคราวนี้ก็ยังคงเดิม คนไทยน้อยเหมือนเดิม แต่อาจเป็นเพราะยังเช้าอยู่ละมั้ง..
นั่งคุยกับต่างชาติหน่อยนึง แบบขำ ๆ ที่ชั้น 7 ตรงที่มีหน้อจอเล่นเกมกบกินแมลง ต่างชาติสองคนเล่นไป หัวเราะไป มีคนไทยนั่งสอนอยู่ข้าง ๆ
กลับออกมา ไปแวะงานเพื่อนพึ่งภาฯ ที่วังสวนกุหลาบ ใกล้ ๆ บ้าน ของกินเยอะนะ แล้วก็ส่วนที่ให้ความรู้หลาย ๆ ส่วน ติดใจอยู่ก็ตรงที่ ส่วนหนึ่งมีการแจกน้ำดื่มในกล่องพลาสเจอไรซ์
โดยอธิบายในเรื่องการนำกล่องกระดาษเครื่องดื่มมาทำเป็นกระเบื้องมุงหลังคา เป็นการรีไซเคิลที่ดีมาก แต่ส่วนขายอาหารขายบนกล่องโฟม จานโฟม พร้อมช้อนพลาสติก
มันขัดกันมากไปไหม? แต่มันขัดความรู้สึกมากเลยนะ ไหน ๆ ก็เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำไมไม่ให้ส่วนขายอาหาร เปลี่ยนไปใช้ภาชนะที่ย่อยสลายง่าย หรือนำกลับมาใช้ใหม่ง่ายกว่านี้นะ

กลับบ้านมาหลับเป็นตาย สงสัยเพิ่งฟื้นจากที่ไม่สบาย ร่างกายเลยอ่อนแอไปหน่อย พักผ่อนเพื่อเตรียมตัวออกไปช่วงเย็นอีกที พอช่วงเย็นก็ออกไปงาน Night at The Museum ตอน หิมพานต์ ที่สถาบันการเรียนรู้แห่งชาติ Museum Siam วันสุดท้ายของงานพอดี งานจัดได้ดีนะ น่าสนใจดี มีการแสดงดี ๆ ด้วย เป็นการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ตอนกลางคืนครั้งแรกในบ้านเราของผมนะ ผมว่าจัดแบบนี้ดี ไม่ต้องจัดนานเป็นเดือนหรือเป็นสัปดาห์หรอก
แค่จัดเป็นช่วง ๆ 2-3 วันแบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องจัดบ่อยด้วย จะได้มีแนวคิดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ในการจัดแต่ละครั้ง งานดีมีคุณภาพ ใครมีลูกมีหลานควรพาไปดูนะ ถ้าเขาจัดคราวหน้า
ชีวิตมันต้องเรียนรู้ตลอดเวลาแหละ ถ้าไม่หัดให้เด็ก ๆ รักการเรียนรู้ แล้วอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรานะ ไปเมื่อคืนเห็นต่างชาติมามองลอดกำแพงเข้าไปคงสงสัยว่ามีอะไรกัน ก็ไปชวนเขาเข้ามาเที่ยวได้อีก ถึงจะพูดแบบมึน ๆ งง ๆ ก็เถอะ. ร่างกายไม่พร้อมนี่ทำให้สมองช้าจริง ๆ ด้วย

กลับมาบ้านดูข่าวก็ต้องรู้สึกว่าปีหน้ามีเรื่องน่าหนักใจอีกแล้ว จะมีการยกระดับการชุมนุมกัน.. คิดอะไรกันไม่ได้แล้วหรือ.. พอไม่ได้อะไรดังใจ ก็ปลุกระดม.
สำหรับผมแล้วบ้านเราคงยังไม่เหมาะกับระบอบประชาธิปไตยจริง ๆ นั่นแหละ ยังคงความคิดเดิม ผู้คนในบ้านเรายังคงไม่สามารถใช้ความคิดวิเคราะห์ นำความรู้สึก และการถูกชักจูงได้นะ
รวมทั้งยังเห็นเงินสำคัญกว่าสิ่งอื่น ๆ ศักดิ์ศรีไม่มีความหมาย. ความอิสระสำหรับพวกเขาหมายถึงสามารถจะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ได้หมายถึงการทำอะไรก็ได้โดยไม่ไปเบียดเบียนสิทธิของคนอื่น..
การที่มีการชุมนุมกัน ทำให้ผมเสียสิทธิ์ในการเดินทางผ่านถนนนั้น ๆ ไปทำงานโดยอิสระ และรู้สึกปลอดภัย ผมควรจะไปร้องเรียนที่ไหน?

ใกล้จะเข้าสู่ปีใหม่อีกแล้ว ยังไงก็ลองทบทวนการกระทำปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาตัวเองในปีต่อไปกันนะครับ

อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับสิ่งเก่า ๆ เดิม ๆ โดยไม่พัฒนา หรือเรียนรู้ใด ๆ เลย.
เปิดใจให้กว้าง ๆ เดินเข้าพิพิธภัณฑ์บ้าง.
พูดคุย พบหา ทำความรู้จักเพื่อนดี ๆ เพิ่มขึ้นอีกซักคน.
ไม่ต้องไปไขว่คว้าเอาอะไรมาเป็นของตนมากนัก.
ออกกำลังกาย เลือกกินอาหารมีประโยชน์ ลดอะไร ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าทำร้ายร่างกายบ้าง.

ปีหน้าก็ขอให้เป็นปีที่ทุกคนมีความทุกข์น้อยลงโดยทั่วกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความจริง?

ช่วงนี้ลมหนาวเริ่มพัดมาตามเวลาของมัน หลังจากที่ฝนสุดท้ายเพิ่งจางหายไป เพื่อรอเวลาที่จะกลับมาพบกันใหม่ในปีหน้า
อากาศสดชื่น แสงแดดสดใส ไม่แรงร้อนจนเกินไปนัก ทุกวันนี้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ร้อน หนาว เหมาะสม ตามหน้าที่ของฤดู
ตื่นขึ้นมาก็สดชื่น นั่งจิบกาแฟ ละเลียดอาหารเช้า พร้อม ๆ กับอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ เด็กไทยได้รางวัลชนะการแข่งขันระดับชาติ ทั้งทางด้านกีฬา และความรู้
นักการเมืองทำงานอย่างเต็มที่ มีการผ่านกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง มาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการโกงกิน หรือเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง
ข่าวตำรวจบำเพ็ญประโยชน์มากขึ้น ก็ไม่มีอาชญกรรมมานานแล้วนี่นะ พวกนักธุรกิจบริจาคช่วยเหลือสังคมกันมากมาย
ข่าวพระหลาย ๆ วัดที่บำเพ็ญตนเหมาะสม และเผยแพร่คำสอนในแนวทางที่ถูกต้อง ไม่หลงไปกับวัตถุมงคลงมงาย
เสร็จจากอาหารเช้า เดินออกจากบ้าน เล่นกับเจ้าตัวเล็กนิดหน่อย บ้านช่องไม่ต้องล็อกมากก็ได้ นี่ว่าจะรื้อรั้วออกแล้ว เดี๋ยวนี้ความปลอดภัยในบ้านเราสูงมาก
เหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีจะเข้าทำงาน เดินไปสองนาทีถึงสถานีรถไฟฟ้า เดินทางด้วยรถไฟฟ้าอีกสิบนาที เดินอีกห้านาทีก็ถึงที่ทำงาน
ไม่ต้องเผื่อเวลามากมาย ระบบขนส่งมวลชนเดี๋ยวนี้สะดวกสบาย และตรงเวลาดีมาก จะไปไหนมาไหน แทบไม่ต้องใช้รถส่วนตัว
การจราจรก็ไม่ติดขัด ผู้ใช้รถใช้ถนนเคารพกฎจราจร และมีน้ำใจซึ่งกันและกัน จราจรจึงเป็นไปได้สะดวกไม่ติดขัดมานานแล้ว
ถึงที่ทำงาน พักซักนาที ก็เริ่มทำงานได้ทันที ทุกคนที่มาทำงานตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีการขัดแย้ง มีแต่ร่วมกันพัฒนา
ไม่มีการโกงกิน เข้าข้างพวกพ้อง ให้โอกาสผู้ที่มีความสามารถ คนที่ทำงานเลยตั้งใจทำงานกันเต็มที่

ลืมตาขึ้นมา
ฝันไปนี่หว่า
เข้าสู่ความจริงได้แล้วเรา อากาศที่วิปริต ผิดฤดู ผู้คนที่เห็นแก่ตัว การจราจรคับคั่ง นักการเมืองโกงกิน ถ่วงประเทศชาติ......

แต่เรายังต้องมีความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นนะ แม้จะอยู่ในความฝันก็เถอะ
to sleep, perchance to dream..

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเพณี วัฒนธรรม กับความเชื่อ

กลับจากญี่ปุ่นพร้อมกับความประทับใจหลาย ๆ อย่าง จากที่ไปมาแล้วหลายครั้งก็ยังคงความประทับใจเช่นเคย อัธยาศัย น้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยังคงมีอยู่
ก่อนกลับวันสุดท้าย ไปเดินหาของกิน ของฝาก โดยขึ้นรถไฟไปหนึ่งสถานี แล้วจะไปหาร้านกัน ด้วยความไม่เคยไป เลยไปถามสาว ๆ ที่นั่งอยู่ ถึงจะสื่อสารกันคนละภาษา แต่พวกเธอก็พยายามอธิบาย ชี้ทางจนไปถูก ส่วนตอนกลับเพราะเดินจนออกไปอีกทาง พวก ๆ กันก็เริ่มหลงทิศ เลยพากันไปถามสาว ๆ (อีกแล้ว) ที่นั่งอยู่แถวนั้น แล้วพวกเธอก็ช่วยนะ โดยพามาส่งจนถึงสถานีเดิมเลย ขึ้นรถไฟมาด้วยกัน
ประทับใจมาก เลยเอาช็อกโกแลตที่ว่าจะเอามาเป็นของฝากให้พวกเธอไปอันนึง. เรื่องพวกนี้คงต้องบ่มเพาะกันมานานนะ ความมีน้ำใจและพยายามช่วยเหลือเนี่ย
ก็อยากจะบอกประสบการณ์ซะหน่อยนะว่าเวลาจะถามใครที่อยู่ใกล้ ๆ สถานีรถไฟ อย่าเลือกถามคนที่เดินไปเดินมา เพราะเขากำลังรีบที่จะไปรถไฟเที่ยวเวลานั้น ๆ อยู่คงช่วยไม่ได้ เพราะรถไฟของเขาตรงเวลามาก ให้เลือกถามคนที่นั่ง หรือยืนเฉย ๆ น่ะ เขาอาจจะว่างและมีเวลาที่จะช่วยเหลือเราได้
ความจริง การเดินทางไปและกลับนี่ก็ไม่ได้เกินความสามารถของเราหรอกนะ แต่อยากคุยกับสาวญี่ปุ่นน่ะ

พอกลับมาสิ่งแรก ๆ ที่อยากจะทำคือไปพิพิธภัณฑ์ เพราะไปคราวนี้อย่างที่เคยบอกไปแล้ว คนญี่ปุ่นเขาพิพิธภัณฑ์ของประเทศเขากันเยอะมาก ๆ จนประทับใจ ในความภูมิใจในชาติพันธ์ของเขา

ช่วงนี้ที่มิวเซียมสยาม มีนิทรรศการเครื่องรางของขลัง แล้วก็นิทรรศการเรื่องส้วม เลยขอไปดูซะหน่อย สำหรับคนที่ไม่ได้ไปพิพิธภัณฑ์นานแล้ว ก็ขอบอกว่าเขาปรับปรุงไปเยอะแล้วนะ
น่าสนใจขึ้นมาก ๆ ไปแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ไปคราวนี้ก็ปลื้มใจนะ ที่เห็นคนให้ความสนใจ ไปเข้าชมทั้งนิทรรศการปกติ และพิเศษ กันหนาตาทีเดียว ดูจะเยอะกว่าคราวก่อนที่มามาก ประทับใจนิทรรศการเครื่องรางของขลัง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อความศรัทธาของคนในบ้านเราได้เป็นอย่างดี ใครอยากเห็นพระเครื่อง ตะกรุด ธนูคต ไม้ครู ที่หาดูที่ไหนได้ยาก ก็มาดูกันซะนะ อาจเป็นครั้งเดียวที่คุณมาเห็นด้วยตาตัวเอง ส่วนตัวแล้วผมมองของพวกนี้ในเชิงความสวยงามด้านศิลปะมากกว่าความขลังนะ ต้องชมว่าทางพิพิธภัณฑ์จัดได้น่าสนใจและสวยมากครับ
บางทีการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราอาจจะพัฒนามาถูกทางแล้วก็ได้นะ
เพราะเป็นคนที่ชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ชอบไปดูโบราณสถาน ครั้งหนึ่งไปดูเวียงกุมกามที่เชียงใหม่ พวกกันที่ไปด้วยมองเห็นซากปรักหักพัง แต่ผมพยายามที่จะมองให้เห็นอดีตที่เคยเป็น
มันจะสนุกขึ้นนะถ้าเวลาที่เราไปดูโบราณสถานแล้วจินตนาการถึงสิ่งที่เคยเป็น จากซากที่หลงเหลืออยู่ เหมือนการฝึกสมองเลยล่ะ
พิพิธภัณฑ์มักจะมีของที่หาดูได้ยาก และน่าสนใจมาก ๆ เสมอ ถ้าไปดู แล้วศึกษา ก็จะมีความรู้ของชาติพันธุ์เราติดตัวไว้ อย่างภาคภูมิใจ

อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวันลอยกระทง วัตถุประสงค์ของวันก็คือการขอโทษและรำลึกถึงคุณของสายน้ำ ปีนี้ก็เช่นเคย ไม่ได้ออกไปไหน ลอยมันในบ่อที่บ้านนี่แหละ คนที่ลอยกระทงเดี๋ยวนี้เพื่ออะไร
ขอพรให้กับตัวเองเกือบทั้งนั้น ประเพณียังคงอยู่แต่วัตถุประสงค์ถูกบิดเบือนไป น่าเสียดายที่ ททท. สนับสนุน โดยมักจะออกตัวว่าเป็นวันเผาเทียนเล่นไฟ ประกวดความงาม ไม่เคยจะบอกถึงวัตถุประสงค์หลักซักครั้ง เขียนไปก็เหมือนกับผมจะมีปัญหากับ ททท. เรื่องการท่องเที่ยวบ่อยนะ เพราะผมมีความคิดว่า ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อ กับการท่องเที่ยว สามารถเดินไปด้วยกันได้ โดยแทบไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลง โครงสร้างเดิม
ถ้าคนของ ททท. มีโอกาสได้อ่าน ฝากไว้ด้วยนะครับว่า อย่าไปแนะนำให้คนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อการท่องเที่ยว แต่ให้ไปแนะนำให้นักท่องเที่ยวปรับปรุงตัวอย่างไร เมื่อไปเที่ยวที่ไหนดีกว่า.
หลายครั้งที่ผมเห็นคนที่ไปเที่ยวในสถานที่ใหม่ ๆ แต่ไม่ยอมที่จะทดลองอาหารหรือเครื่องดื่มในท้องถิ่นนั้น ๆ แล้วจะได้อะไร ถ้าการไปเที่ยวไม่ปรับตัวให้เข้ากับสถานที่

หลังลอยกระทงที่เป็นงานหนักก็คงเป็นเรื่องขยะกระทงล้นเมืองนะ.. ผมใช้ต้นกล้วย ใบตอง และดอกไม้ที่บ้าน ลอยที่บ้าน ลอยเสร็จ ก็เอามาฝังเป็นปุ๋ย.. พยายามไม่เบียดเบียนสายน้ำให้มากกว่านี้ ในเมื่อวัตถุประสงค์หลักของการลอยกระทง
คือการขอขมาลาโทษกับสายน้ำ แล้วจะไปเพิ่มขยะจำนวนมากลงในสายน้ำทำไม.. น่าจะรณรงค์นะ หนึ่งชุมชน หนึ่งกระทงก็ยังดี สร้างความสามัคคีร่วมกันทำกระทง แล้วยังลดขยะได้ด้วย
ส่วนเรื่องของการเล่นประทัด เสียงดัง ๆ นี่ไม่เห็นด้วยนะ ถ้าเป็นพวกไฟเล็ก ๆ สวย ๆ ที่ไม่มีเสียงดังมากมายก็ยังได้อยู่ แต่พวกเสียงดัง ๆ นี่น่าเบื่อมาก..
คล้ายคนที่มีปมด้อยไม่มีใครสนใจแล้วเรียกร้องความสนใจด้วยเสียงดัง ๆ เลย สงสัยคนที่เล่นคงมีปัญหาอะไรซักอย่างในจิตใจน่ะ
อีกเรื่องคือการลอยโคมยี่เป็งที่ภาคเหนือ เขาก็ทำกันมานานแล้ว ก่อนจะมีสนามบินอีกนะ คงต้องหาวิธีที่จะไม่มีปัญหาซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ไปบังคับให้เขาห้ามลอยยี่เป็งช่วงเวลานั้น เวลานี้ อาจสร้างความไม่พอใจให้คนในท้องถิ่นได้นะ
มีวิธีการอีกมากมายที่จะไม่ทำให้เกิดรอยร้าวในจิตใจของผู้คน ลองหาดูละกันนะเครื่องบินเอ๋ย.

คราวนี้ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารอะไร แค่เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง บ่นไปตามเรื่องตามราว ไม่รู้จะยกอะไรมาปิดท้าย

เพราะไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดที่สุด ความถูกและผิดขึ้นอยู่กับสถานที่และช่วงเวลาเสมอ
อย่าบอกว่าการกระทำที่ทำต่อ ๆ กันมาถูกหรือผิด สามารถปรับปรุงได้ แต่อย่าหลงลืมวัตถุประสงค์เริ่มต้นของการกระทำนั้น ๆ ก็แล้วกันนะ

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ฉลองครบรอบเมืองหลวงเก่า นารา 1300 ปี ที่ญี่ปุ่น

คนเรานี่ได้ลองของใหม่ก็ย่อมตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา คราวนี้ได้ลองของใหม่หลายอย่าง เริ่มจากการเดินทางด้วยแอร์พอร์ตลิงค์ ครึ่งชั่วโมงถึงสุวรรณภูมิ สุดยอด.. ตรวจคนเข้าเมืองที่ญี่ปุ่น เพิ่มระบบการสแกนนิ้ว แล้วก็ถ่ายรูปใหม่... ก็ตื่นเต้นดี
เที่ยวนี้มาพร้อมกับดาราดังของไทยเราด้วย อัธยาศัยก็เหมือนดาราทั่วไป แต่ผู้ชายเขาก็ดีหน่อย มีทักทาย มียิ้มให้ด้วย ส่วนผู้หญิงหน้าเป็นจวักตลอด แล้วยังสูบบุหรี่อีกด้วย.. คงเป็นตัวตนจริง ๆ ของเขาละมั้งนะ

มานาราคราวนี้ พร้อมฉลองครบรอบนารา ที่เคยเป็นเมืองหลวงเมื่อ 1300 ปีก่อน มีการจัดงานเยอะแยะ เลยแปลกหูแปลกตาไปบ้างกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายมหาศาลในเมืองนารา
ที่เคยเป็นเมืองเงียบสงบ ก็คึกคักขึ้นมากเลยทีเดียว เขามีการนำเอาเครื่องดนตรี คงเป็นประเภทพิณ มั้ง อายุ 1300 ปี มาจัดแสดงด้วย คนให้ความสนใจกันมหาศาล
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เป็นชาวญี่ปุ่น เห็นแล้วก็สะท้อนใจ บ้านเขาภูมิใจในประวัติและตัวตนแห่งชาติพันธุ์ของตัวเอง พิพิธภัณฑ์ถึงจะเก็บค่าเข้าชมก็ยังมีคนเข้าชมกันมากมาย
ส่วนบ้านเราค่าเข้าชมถูกแสนถูก เวลาไปพิพิธภัณฑ์ที เห็นแต่ชาวต่างชาติ... ถ้าไม่ภูมิใจและสนใจในชาติพันธุ์ของตัวเอง แล้วเราจะพัฒนาไปกันยังไง
พอมานาราช่วงที่ดี ๆ แบบนี้ เลยต้องออกเดินทางไปชื่นชมความงามของเมืองที่มีมรดกโลกอยู่ซะหน่อย ปัญหามีอยู่นิดเดียว คราวนี้ที่พักอยู่ไหนนะ บังเอิญไปได้ที่พักอยู่แถว ๆ Shin-Omiya
จากสนามบินก็เหมือนเดิม ไปขึ้นลีมูซีนบัสที่ชานชาลาที่ 9 ไปลง JR Nara เนื่องจากไปที่พักไม่ถูกเลย ว่าจะขึ้นแท็กซี่ ติดอยู่ตรงที่ไม่มีเงินมากพอจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เลยเดินตากฝนไปลองลงรถไฟที่สถานี  Kintetsu สบาย ๆ มั่ว ๆ 150 เยน ก็ถึงที่ใกล้ ๆ ที่พักแล้ว ประหยัดไปเกือบยี่สิบเท่า ฝากของเรียบร้อยก็ย้อนกลับมาเริ่มที่สถานี Kintetsu แล้วเดินไปที่วัดโคฟุกุจิ ที่มีเจดีย์ 5 ชั้น ที่สูงเป็นอันดับสองในญี่ปุ่น
เพราะเป็นช่วงงานฉลอง เลยมีการเปิดให้เข้าชมภายในเจดีย์ด้วย แต่มีค่าเข้าชมนะ.. เลยขอดูข้างนอกละกัน แล้วก็เลยไป Nara Park สวนสาธารณะกลางเมืองนารา ที่มีกวางเดินกันเพ่นพ่านไปหมด
ผ่านพิพิธภัณธ์แห่งชาติ นารา ที่แสดงพิณ อายุ 1300 ปี แล้วก็มีคนต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อมีโอกาสเข้าไปชื่นชม คนเยอะ เอาไว้ก่อนละกัน เลยไปเยี่ยมชมมรดกโลก วัดโทไดจิ ผ่านซุ้มประตูนันไดมง
เสาไม้ต้นใหญ่ ๆสิบแปดต้น แล้วมียักษ์แกะจากไม้ทั้งต้นตัวใหญ่มาก ๆ ค่อยเฝ้าประตูทั้งสองข้าง ขอบอกว่าคนเยอะมาก ๆ เบียดกันเลย จากที่เคยมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้คนแน่น ๆ มาก ๆ ถึงมากที่สุด
เข้าไปดูด้านใน เสียค่าผ่านประตูไปห้าร้อยเยน เข้าไปดูวิหารไดบุดสึเดน แปลเอาง่าย ๆ ก็วิหารหลวงพ่อโต นั่นแหละ เพราะมีพระสำริด องค์ใหญ่มาก ๆ สูงสิบหกเมตร หนัก 500 ตัน
ชื่นชมเสร็จก็แวะซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ อุดหนุนทางวัดไป ขอบอกที่วัดนี้มีทำบุญกระเบื้องหลังคาเหมือนบ้านเราเลย บริจาดพันเยน แล้วเขียนชื่อลงบนแผ่นกระเบื้อง.. สงสัยเจ้าอาวาสไปดูงานที่เมืองไทยมา..
ออกจากวัดโทไดจิ ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเดิมทุกครั้งที่มา ยิ่งใหญ่ สวยงาม ล้ำค่า สมแล้วที่เป็นมรดกโลก เดินขึ้นเขาไปต่อที่วัดนิงัตสึโด กับวัดซังงัตซึโด มองลงมาเห็ยอดเจดีย์ห้าชั้น ชัดเจนเลย
พร้อมกับข่าวร้าย กล้องแบตฯ หมด.. บอกไม่ถูกเลยว่าการที่เมมโมรี่เต็มกับแบตฯ หมดอันไหนจะเลวร้ายกว่ากัน
ตัดใจเดินเที่ยวต่อไปตามทางที่มีโคมหินเยอะแยะเรียงรายอยู่ริมทาง ไปสู่ศาลเจ้าทามูเกะยามา ฮาชิมังงุ ไม่รู้อ่านถูกหรือเปล่า Tamukeyama Hachimangu Shrine ศาลเจ้าชื่อดังที่คนมาไหว้ขอเรื่องความรักกัน
คนรักสมบูรณ์แบบผมคงไม่ต้องไหว้ขอกันละ ได้แต่ชื่นชมอย่างเดียว แล้วก็ย้อนกลับออกมาผ่านทางเดิน แวะร้านขายของทุกอย่างร้อยเยน ขึ้นรถไฟกลับที่พัก แล้วก็ออกไปหาของกิน (อีกแล้ว) ที่อร่อย ๆ แถวนั้น
ก็ไม่ผิดหวังอาหารอร่อย แต่ราคาก็สูงไปนิดนึงนะ เสร็จทั้งหมดก็เข้าห้องพักกันละเนี่ย.. นารายังคงเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ผู้คนเป็นมิตร แม้ครั้งนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากมาย แต่เสน่ห์ของนาราก็ยังไม่จางไปนะ

ถ้ามองเห็นความสำคัญของชาติพันธุ์ตัวเอง การพัฒนาคงไปอย่างถูกทางและเหมาะสม
ถ้ามองเห็นคุณค่าของชาติพันธุ์ของตัวเอง อนาคตลูกหลานก็ยังคงมีชาติอยู่..

ทำไมต้องไปลอกเลียนผู้อื่นอย่างมากมาย เหมือนทุกวันนี้ แค่มองให้เห็นคุณค่าของเราแล้วรักษามันไว้ ก็เชิดหน้าชูตาได้แล้ว

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ห่วง มนุษย์ ธรรมชาติ

บอกลากล้องตัวใหญ่ ๆ เลนส์หนัก ๆ เรียบร้อย ลาก่อน Single len หันมาคบกับ Micro Foue Third เรียบร้อย ตอนนี้ก็ซื้อกล้องใหม่มาแล้ว ภาพถ่ายคงอธิบายจากผลที่ออกมา ไม่ใช่จากตัวกล้องและราคาหรอกนะ.. คงไม่มีใครมองว่าผมเป็นโปรเวลาถ่ายรูปแล้วละ..

รู้สึกดีที่หลุดพ้นจากห่วงที่คล้องตัวเองเอาไว้ซะนาน กล้องตัวเล็ก ๆ ก็เพียงพอแล้ว...
ที่รู้สึกดียิ่งกว่าคือการที่คนรัก ก็ชอบด้วย หันมาลองจับลองถ่ายภาพด้วยกล้องใหม่.. ไม่เหมือนตอนใช้กล้องตัวใหญ่ ๆ ที่หนัก เลยพาลเบื่อไม่อยากถ่ายรูป.. แล้วยิ่งเห็นคนที่เรารักชอบหรือดีใจ หรือรู้สึกดี ผมก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้น

รูปนี่ถ่ายจากกล้องตัวนี้แหละ กล้วยไม้ สิงโตสมอหิน ที่บ้านตอนเช้า ๆ ยังไม่มีแดด ภาพเลยขมุกขมัวไปหน่อย

ช่วงที่ไม่ได้เขียนอะไรที่ผ่านมาก็มีประสบการณ์ใหม่หลายอย่าง เดี๋ยวจะทยอยเอาลงมาเล่าให้ฟังกันนะ
เอาเรื่องใกล้ ๆ ก่อน พอผมเปลี่ยนกล้อง ถึงระบบใหม่จะรองรับเลนส์ได้หลากหลาย รวมทั้งมีตัวแปลงเพื่อให้ใช้ได้กับยี่ห้ออื่น ๆ
แต่ผมก็ไม่อยากเก็บเลนส์ตัวเก่า ๆ ไว้แล้ว เลยรื้อกล่องเก็บกล้อง แฟลช และเลนส์ เอาออกมาลงขาย ก็ได้รับผลตอบรับดี รวมทั้งได้พบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่คิดว่าจะเจอด้วย
หนึ่งในเลนส์ที่เอาออกขาย เป็นเลนส์ที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในยุคหนึ่ง ผมตั้งราคาไว้ถูกมาก ๆ เพราะส่วนตัวแล้วไม่ได้ยึดติดอะไรนัก ของใช้แล้วย่อมเสื่อมจะมีราคาเท่าเดิมได้ยังไง
ด้วยราคาที่ถูกมาก ๆ หลังจากตกลงกับผู้ซื้อคนหนึ่งไปแล้ว ก็มีการติดต่อเข้ามามากมาย รวมทั้งการเสนอราคาเป็นสองเท่าจากราคาที่ตั้งไว้ สำหรับตัวผมคำพูดคือคำสัญญา
ผมจึงยังยืนยันเหมือนเดิม ขายให้กับผู้ซื้อคนแรก ก่อนถึงเวลานัดรับของ มีข้อความส่งเข้าโทรศัพท์ว่าผู้ซื้อขอยกเลิก.. ซักพักผู้ซื้อคนนั้นก็โทรมานัดเวลา จากการตรวจสอบ
จึงรู้ว่ามีคนสวมรอย แจ้งยกเลิก เพื่อจะเอาเอง อีกซักพัก ก็มีคนโทรมา ถามเรื่องเลนส์อีก.. คนเราย่อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการจริง ๆ แม้กระทั่งการโกหก เป็นเหมือนห่วงแห่งกิเลสที่รัคคอมนุษย์คนนั้น ๆ อยู่ตลอด
ยิ่งทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเข้าไปอีกที่ปล่อยมันออกไปได้ คนเราจะสะสมสิ่งต่าง ๆ มากมายไปทำไมกัน
ส่วนเรื่องดี ๆ ก็มีอย่างแฟลชที่ขายก็ตั้งราคาถูก ๆ มีคนโทรมาขอซื้อ คุยกันไปคุยกันมาอยู่ซอยเดียวกัน เลยได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีก
ตัวกล้องก็ห่อแล้วตั้งโชว์ไว้ที่บ้าน ไม่ขายหรอกเก็บไว้ดูเล่นสวย ๆ
ได้กล้องใหม่มาก็มีกิเลสตามมามากมาย กลายเป็นห่วงที่พยายามจะหาเหตุผลและวิธีตัดออก ได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสา อยากได้สายคล้องกล้องหนังไปสั่งทำที่ร้านข้าง ๆ บริษัท ได้รู้จักพี่เจ้าของร้านอีก ก็เป็นเรื่องดีอีกเรื่อง ในปี ๆ หนึ่งได้รู้จักคนดี ๆ เพิ่มขึ้นซักคนก้เป็นกำไรให้ชีวิตแล้ว

ช่วงนี้บ้านเรามีน้ำท่วมกันหลายที่ หลายจังหวัด บางที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อนก็ท่วม แล้วยังท่วมหนักอีกด้วย
หลาย ๆ ที่คงท่วมจนชินแล้ว สิ่งหนึ่งที่คนเราควรเข้าใจก็คือธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใครด้วยตัวธรรมชาติเอง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนเราทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น

เราปลูกบ้านในที่ลุ่มน้ำ เพื่อประโยชน์ในการเพาะปลูก เป็นสิ่งที่เราทำกันมาตั้งแต่โบราณ บ้านของเราจึงยกพื้นสูง ใต้ถุนโล่ง เพราะเมื่อน้ำมาก็ไม่มีอะไรเสียหาย ยังสามารถอาศัยอยู่บนบ้านได้
งู หรือสัตว์อันตรายต่าง ๆ ที่มากับน้ำก็ขึ้นเสาเรื่อนไม่ได้อีกด้วย

บ้านตายายผมสมัยก่อนเป็นบ้านใต้ถุนโล่ง น้ำก็ท่วมทุกปี ตากับยายก็ไม่เห็นเดือนร้อนอะไร เพราะมันเป็นธรรมชาติ

อย่างนาข้าวที่มีปัญหาการท่วมจนข้าวเสียหายทุกวันนี้ เพราะธรรมชาติจริงหรือ? ลองกลับความคิดไปคิดใหม่ถ้าไม่มีเขื่อน น้ำจะขึ้นลงตามเวลา ตามธรรมชาติ เมื่อน้ำจะท่วม มันจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเสมอ
ชาวนาย่อมสามารถจะเก็บเกี่ยวหรือหาทางแก้ไขได้ทันก่อนที่จะท่วมจนเสียหาย แต่เวลานี้เมื่อน้ำขึ้นตามปกติ น้ำในเขื่อนย่อมขึ้นด้วย เมื่อเขื่อนไม่สามารถรับน้ำได้มากกว่านั้น ย่อมต้องปล่อยน้ำออกมาทำให้
น้ำท่วมเร็วขึ้นจนไม่สามารถจะป้องกันหรือแก้ไขอะไรได้.. คุ้มค่าหรือไม่ ประกอบกับหากการตัดไม้ทำลายป่าน้อยลง ป่าไม้มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่านี้ ป่าย่อมอุ้มน้ำไว้ได้อีกมาก ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยน้ำส่วนเกินออกมา เมื่อไม่มีป่า น้ำจึงไหลออกมาเร็วขึ้น มันเป็นโทษที่ย้อมกลับมาหาคนเรา จากการกระทำของมนุษย์เองนี่แหละ..

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมย้อนกลับไปแก้ไขที่จุดเริ่มต้นไม่ได้ เราก็คงได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อน ช่วยเหลือกันไปก่อน ยังรู้สึกดีอยู่บ้างที่บ้านเรายังช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี
ร่วมด้วยช่วยกัน ช่วยเหลือกัน ตอนนี้สำคัญที่สุดคงเป็นเรือ ไฟฉาย แล้วก็อาหารนะครับ มีจุดบริจาคหลายที่ ช่วย ๆ กันนะครับ
หลังจากปัญหาผ่านพ้นไปแล้ว หวังว่าจะทบทวนถึงสาเหตุที่แท้จริงกัน ร่วมมือกันแก้ไขและป้องกันอย่างถูกวิธีนะ

ไม่ยึดติดชีวิตมากนัก เคารพธรรมชาติกันให้มาก ๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ชีวิตมันก็มีความสุขขึ้นอีกนะ

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ลมหนาวพัดมา.. ความทรงจำเลือน ๆ ก็แจ่มใสอีกครั้ง..

"ตาก็นั่งเล่นว่าวอยู่นั่นแหละ แล้วเด็กคนนึงก็เดินมาขอว่าวที่ตาเล่น ตาก็ไม่ให้ เด็กคนนั้นก็เดินไปตามพ่อเขา พ่อเขาก็มาขอว่าวให้ลูกเขาเล่น พอตาไม่ให้ พ่อเขาก็ว่าไปกันเถอะลูก ก็เขาไม่ให้นี่"
"แล้วเขาเดินจากไป พ่อของตาจึงค่อยเดินมาบอกว่า พ่อของเด็กคนนั้น คือพระพุทธเจ้าหลวง"
เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งของตา ถ่ายทอดมาสู่แม่ แล้วก็มาสู่ลูก ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การพบกับรัชกาลที่ 5 เนื่องในเดือนที่อยู่ในวันปิยะมหาราช
หากพระองค์ไม่ตราพระราชบัญญัติทาสรัตนโกสินศก 124 บ้านเมืองเราคงไม่เจริญยังทุกวันนี้

ตายังคงวนเวียนเล่นว่าวแข่งขันอยู่เสมอ คำสอนเกี่ยวกับการเล่นต่าง ๆ ก็รับมาบ้าง แต่ไม่หมด ส่วนที่เหลือรับไว้ได้ก็มีมีดเล่มโปรดของตา กับโครงว่าวจุฬาตัวเก่ง...
ตาจากไปยี่สิบปีพอดี ในเดือนที่แล้ว.. แล้วความทรงจำก็กลับมาย้ำเตือน เมื่อไปเยือนบ้านคุณป้าที่ขึ้นบ้านใหม่ ที่อวดฝีมือว่าวจุฬาของตา ที่มอบให้นานแล้ว...
ความทรงจำนี่มันก็แปลก บางอย่างที่เลือน ๆ ไปแล้ว อยู่ ๆ ก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง

ภาพของตาใส่แว่นนุ่งโสร่ง ไม่ใส่เสื้อ นั่งเหลาไม้ไผ่ ทำว่าว, ภาพการถูบ้านพื้นไม้ โดยใช้ผ้าชุบน้ำเปียก ๆ เช็ด แล้วปล่อยให้น้ำไหลลงตามร่องแผ่นไม้พื้น, ภาพตาตั้งไม้ไผ่ติดรอก เพื่อส่งว่าว, ภาพการก่อไฟเรียกลมเพื่อส่งว่าว... ป่านนี้ตาคงสุขสบายแล้วอยู่ที่ไหนซักแห่งนะ..

ช่วงนี้เหมือนว่าจะมีลมหนาวเข้ามาเร็วกว่าปกติ ฝนก็ตกยาวนาน เขาว่าเป็นเพราะปรากฎการณ์เอลนิญญ่า เห็นข่าวกรมอุตุ ว่าปีนี้จะหนาวมากกว่าปีก่อน เขาว่ากรุงเทพฯ จะมีอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส ต่ำว่าปีที่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าไปวัดอุณหภูมิที่ไหนในกรุงเทพฯ ที่บ้านผมปีที่แล้วก็ 16 องศา ในตัวบ้าน นอกบ้านก็ลงไปเกือบ ๆ 15 องศา หนาวแทบแย่
บังเอิญว่าบ้านผมอยู่ในกรุงเทพฯ บังเอิญว่าบ้านผมเป็นสวน บังเอิญว่าต้นไม้มันเยอะ อากาศเลยดี ร้อนก็ไม่มาก ฝุ่นก็น้อย ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ความบังเอิญหรอก
สวนก็ทำมาแต่ตายาย บ้านก็ตั้งใจปลูกให้เป็นแบบประหยัดพลังงาน ต้นไม้ก็ตั้งใจปลูกให้มันเยอะ ๆ ทุกอย่างเกิดจากความตั้งใจ
ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยก็เจอกับลักษณะอากาศแปลปรวน เกิดภัยธรรมชาติมากมาย  ฝนตกหนัก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟป่า ... อย่าโทษโน่น โทษนี่กันเลย
มันเกิดขึ้นเพราะมนุษย์เองนั่นแหละ เป็นคนทำ ตัดไม้ ย้ายลำน้ำ ค้ำแผ่นดิน... แล้วยังไปโทษอย่างอื่นอีก เพราะมนุษย์ทั้งนั้น... ตัวถ่วงของโลกนี่..
ทำไมไม่รู้จักที่จะอยู่ร่วมกันบ้างนะ เบียดเบียนโลกใบนี้ให้น้อยที่สุด โลกก็คงไม่ตอบโต้พวกเราแรงขนาดนี้ เปลี่ยนกันได้แล้วมั่ง เริ่มจากตัวเองก่อน แล้วขยายไปสู่คนในครอบครัว เพื่อน ๆ แล้วก้คนรอบข้าง
การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเริ่มที่จุด ๆ เดียวเสมอ... ถึงจะไม่ดีขึ้นในรุ่นของเรา ความหวังก็ต้องยังคงอยู่ว่าจะดีขึ้นในรุ่นลูกรุ่นหลาน มีความหวังแล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองกันได้แล้ว

เจอลมหนาวทีไร นึกถึงตาทุกที เล่นว่าว เล่านิทาน นั่งหน้ากองไฟ เผามัน ชีวิตมีความสุข เรียบง่าย แล้วก็ไม่เบียดเบียนธรรมชาติมากเกินไป
พอลมหนาวมา ตามักจะร้องเพลงแซวลุงที่อยู่ใกล้ ๆ กัน
"ลมหนาวพัดมาอีกแล้ว ใครมีเมียสาวก็คงสุขแท้ ใครมีเมียแก่คงต้องขาดทุน ขาดทุน..."
ลองมีความสุขอย่างเรียบง่าย และจริงแท้ กันบ้างดีไหม

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

เห็ดโคน เขาว่าเจอแล้วจะโชคดี

เกือบจะหมดเดือนกันยายนแล้ว ใกล้จะขึ้นปีใหม่เข้าไปอีกเดือน สำหรับใครที่เฝ้ารอว่าเมื่อไร่จะถึงปีใหม่ ก็คงรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ส่วนใครที่ไม่ได้คอยก็รู้สึกว่ามันเร็วนะ อย่างที่เคยบอกไปแล้ว เวลามันไม่ได้คงที่เหมือนนาฬิกานะ ถ้าอยากให้มันเร็วก็อย่าไปสนใจมัน หรือถ้ามีความสุขเวลามันก็วิ่งเร็วเหมือน ๆ กัน
วันเสาร์ที่ผ่านมาตอนเช้า ระหว่างที่กำลังมองดูกล้วยไม้ ต้นไม้ใบไม้ที่บ้าน พอมองไปที่พื้นดินแถวนั้น สายตาก็ไปสะดุดกับสีเทา ๆ ตุ่น ๆ รูปทรงรี ๆ บ้าง เหมือนจานบ้าง กระจายตัวอยู่ ก็ดีใจซิครับ มันคือเห็ดโคน เยอะแยะเชียว ไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่เคยมีเห็ดโคนนะ มันก็ขึ้นของมันทุกปีแหละ ในสวนก็เยอะ ตรงที่มันขึ้นนี่ก็เคย พอไปเปิดแผ่นกระเบื้องหลังคาที่วางไว้ข้าง ๆ นั้น ก็เจออีก... พร้อมด้วยรังปลวก.. ก็นะ ถ้าเจอเห็ดโคน แสดงว่าแถว ๆ นั้นรังปลวกอยู่ คราวนี้เป็นกับตาเลย เห็ดโคนมันออกมาจากรังปลวกตรง ๆ เลย ถ้าเรารู้จักอยู่ร่วมกับมันบ้าง ก็มีประโยชน์ร่วมกันได้ละนะ โลกนี่ไม่มีอะไรที่มีประโยชน์ หรือมีโทษ อย่างเดียวหรอก

พอเจอเห็ดก็เก็บซะ คิดขึ้นมาได้ว่า จะเอามาทำอะไรกินละ เลยเดินไปตามแม่มาเก็บต่อ แล้วก็ให้แม่ไปทำกับข้าวหมดเลย แม่ก็ว่าเจอเห็ดโคนเนี่ย เขาว่าจะโชคดี แน่ละ ถ้าเจอก็เอามาทำอาหารกินได้ เป็นโชคดีอย่างแรก แต่ถ้าเจอเยอะมาก ๆ จนกินไม่ทันเอาไปขายก็โชคดีอย่างที่สอง ถือว่าเป็นโชคสองชั้นเลยนะ สรุปว่าแม่เอาไปต้มน้ำปลา พ่อก็ชอบ แม่ก็ชอบ ผมก็มีความสุข กรุงเทพฯ ในบ้านตัวเอง มีเห็ดโคน จะหาบรรยากาศแบบนี้ได้ที่ไหน เก็บได้ พ่อกับแม่กินอร่อย แล้วผมก็มีความสุขไปด้วย ยังมีเห็ดอีกหลายอย่างที่ขึ้นที่บ้าน จากนี้ว่าจะเก็บข้อมูลเห็ดที่ขึ้นที่บ้านบ้างละ เผื่อจะมีประโยชน์..

พอสาย ๆ ก็ทำต้นไม้ จะเอาไปให้คุณป้าที่เคารพนับถือกัน ในโอกาสขึ้นบ้านใหม่ เมื่อวันศุกร์ ไปซื้อต้นไม้ที่เทเวศร์มา ได้ต้นพลูลงยา ใบสวย คุยกันกับคุณลุงคุณป้าเจ้าของร้าน หลายเรื่อง เรื่องต้นพลูลงยา เรื่องกล้วยไม้ คุณลุงแกก็ว่าแกเป็นลูกศิษย์อาจารย์ระพีด้วย ผมก็เลยว่าคงต้องไปคุยกันบ่อย ๆ หาความรู้เพิ่มเติมซะหน่อย ไว้จะถ่ายรูปพลูลงยา มาให้ดูกันนะ
เอาพลูลงยา 2 กระถางมาใส่ในกระถางใหญ่แบบแขวนได้ เพราะมันเลื้อยขึ้น หรือย้อยลงไปก็ได้นะ กระถางนี้จะเอาไปให้เขา ส่วนอีกต้นก็ลงในกระถางเหลี่ยมทรงสูงหวังจะให้มันย้อยลงเป็นหลัก ของแบบนี้ต้องลอง ยังไงก็เป็นการปลูกครั้งแรก เป็นกรณีศึกษาน่ะ กระถางแขวน เดี๋ยววันอาทิตย์ค่อยเอาไปให้เขา ตอนเย็น ๆ ก็ออกไปซื้อปลากัดมาใส่บ่อน้ำที่บ้านไว้บ่อละตัว หวังว่าคงอยู่รอดนะ เจ้าปลากัดน้อย พอวันอาทิตย์ก็เข้าสวนไปหาปลากิม กับพวกแมดงน้ำมาใส่บ่อเป็นเพื่อนเจ้าปลากัด แล้วก็เก็บเอาจอกมาใส่ไว้ด้วย เอาไว้ให้เป็นที่หลบแดดของเจ้าปลา ๆ ทั้งหลาย ตอนเย็นก็เอาพลูลงยาไปให้คุณป้าตามที่ตั้งใจไว้สำเร็จไปอีกหนึ่งเรื่อง พอตกมืดฝนตกหนัก ฟ้าคะนอง เลยไม่ได้เปิดโทรทัศน์ ซึ่งก็ไม่ได้เดือดร้อนนะ ยังไงผมก็ชอบอ่านหนังสือมากกว่าอยู่แล้ว

นั่งอ่านได้ซักพัก ง่วงเลยนอนเร็วเลย มาตื่นอีกทีตอนตีสอง ด้วยเสียงเจ้ามาวินเห่าดังมาก ส่วนเจ้าสองมะยังเงียบ ๆ อยู่ แสดงว่าไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าเข้ามาในซอยละ เลยรีบลงไปดูที่บ้านพี่ เจอเลย เจ้ามาวินกำลังเห่าใส่ลูกแมวตัวเล็ก ๆ อยู่ ลูกแมวมาจากไหน? ฝนก็ตกจนเจ้าแมวน้อยเปียกโชกไปหมด เจ้ามาวินก็เห่าไม่ยอมหยุดจนพี่ชายลุกมาช่วยกันแยกเจ้ามาวิน และล้อมจับเจ้าแมวน้อย กว่าจะจับได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมง ดูมันอ่อนแอ น่าจะหลงกับแม่มันนะ ไม่รู้นานรึยัง หวังแต่คงไม่ใช่มีคนมาปล่อย
เพราะถ้าเอามาปล่อยก็เรียกได้ว่าชั่วจริง ๆ พอจับได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มันเสร็จ ปัญหาต่อมาคือ แล้วจะเอาไปไว้ที่ไหนละ บ้าานพี่ก็เจ้ามาวิน บ้านผมก็เจ้าสองมะ เลยเอาไปใส่กรงไว้ที่บ้านแม่ละกัน มีแมวตั้ง 5 ตัว แม่มาบอกด้วยว่าเก็บลูกแมวได้.. บอกแม่ว่านี่ไงโชคมาแล้ว แม่งัวเงียอยู่
คงไม่เข้าใจนะว่า ผมหมายถึงเหมือนที่แม่บอก เจอเห็ดโคนจะโชคดี นี่ไงได้แมวมาตัวหนึ่ง ได้โชคเป็นสัตว์สี่ขา หวังว่ามันจะแข็งแรงพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นะ ผมก็คงช่วยได้เท่านี้แหละ เดี๋ยวเย็น ๆ ค่อยไปดูมันอีกที..

เพราะเรียนรู้ที่จะใช้เวลา จึงไม่มีช่วงเวลาใดที่เนิ่นนานเกินไป
เพราะเรียนรู้ถึงการอยู่ร่วมกัน จึงได้มีโอกาสเจอสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน
เพราะเรียนรู้ที่จะใส่ใจสิ่งเล็กน้อย จึงได้มีโอกาสช่วยชีวิตเล็ก ๆ อีกชีวิตหนึ่ง

อย่าปล่อยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านไป โดยไม่สังเกตุ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจนไม่อยากอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เวลาจะได้ไม่มีความสำคัญ
อยากเจอเห็ดโคนอีก แต่ไม่อยากได้ลูกแมวแล้วนะ...

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

เงาม่าน

เมื่อวันก่อนอยู่บ้านนี้มาครบสองปีแล้ว ลงทุนลาพักร้อนมาเก็บกวาดเช็ดถูบ้าน... ซักผ้าม่าน มุ้งลวด...
บ้านดูสว่างขึ้นมามากเลยทีเดียว.. แล้วเป็นวันพระพอดี ตกกลางคืนก็สวดมนต์ไหว้พระตามปกติ จังหวะที่เปิดหน้าต่าง ก็เห็นภาพสวย ๆ
ครอบครัวนกเขาเกาะนอนกันอยู่บนกิ่งขนุน.. พ่อแม่อยู่ด้านนอก ลูกสองตัวอยู่ตรงกลาง.. ดูแล้วสวย น่ารักดี เลยถ่ายรูปซะหน่อย..
รู้อยู่ว่านกเขาเป็นนกที่รักเดียวใจเดียว แต่เพิ่งรู้ว่ามันดูแลลูกช่วงที่โตแล้วด้วย.. ดูเป็นตัวอย่างเอาไว้นะ ไอ้พวกมนุษย์ทั้งหลาย..
ที่มองเห็นครอบครัวนกเขานี่ ไม่ใช่ไม่เคยเปิดหน้าต่าง แต่เวลาเปิด เงาจากผ้าม่านมักจะปิดบังส่วนนี้ไป ทำให้ไม่เคยเห็น แต่วันนี้ผ้าม่านถอดไปซักทำให้มองเห็นได้
บางทีคนเราถ้าถอดสิ่งที่บังตาบังใจออกไปได้บ้าง คงจะมองเห็นสิ่งใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นนะ.

เมื่อวานจนถึงเมื่อคืนฝนตกตลอด อากาศดีมาก อย่างที่เคยบอกผมชอบฝนตก.. ช่วงเย็นจนมืดก็ไปช่วยแม่ทำน้ำพริกขนมจีน ที่แม่จะทำเฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น
ครั้งนี้ก็พิเศษ เพราะคุณป้าที่เคารพนับถือกันมานาน ขอให้ทำให้ในงานขึ้นบ้านใหม่ แม่เลยต้องเกณฑ์ ลูก ๆ หลาน ๆ มาช่วยกันทำ ยังคงใช้ครกทำเครื่อง ไม่ใช่เครื่องปั่น.
ความอร่อยของน้ำพริกนั้นต่างไปจริง ๆ นะครับ แต่ไม่เหมาะกับการทำเป็นการค้านะ เพราะมันใช้เวลานานและละเอียดอ่อน ถ้าทำขายคงต้องราคาสูงกว่าที่อื่น ๆ
ในสังคมบ้านเราที่ชอบแต่ของถูกไม่สนใจเรื่องคุณภาพแล้ว อาจจะไม่มีลูกค้าก็ได้ แต่ศึกษาไว้ก่อน อีกหน่อยเผื่อเอามาทำเป็นอาชีพ ทางเลือก ของผมอีกอาชีพหนึ่ง
ว่ากันเรื่องของถูก ใคร ๆ ก็ชอบ ผมเองก็ชอบ แต่อย่างว่าแหละ คุณจะหาของถูกแล้วก็ดีจริง ๆ จากไหน
เวลาที่คนเราซื้ออะไร เปลี่ยนการตัดสินใจจากราคาถูก เป็นราคาเหมาะสมกับคุณภาพคงจะดีกว่านะ ผู้ผลิตก็มีกำลังใจที่จะทำของดี ๆ ออกมา
เหมือนที่บางคนบอก ที่ญี่ปุ่นของดีที่สุดจะขายในประเทศ ส่วนของดีรองลงมาจะส่งขายต่างประเทศ ตรงข้ามกับประเทศเรา ที่เอาของดีที่สุดส่งขายต่างประเทศ แล้วเอาของรอง ๆ ลงมาขายให้คนในประเทศ
อย่าโทษผู้ผลิตเลย เพราะค่านิยมผิด ๆ ที่สังคมเราปลูกฝัง น่าจะช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมแย่ ๆ ในสังคมเรากันได้แล้ว

อย่างวันก่อนผมไปเดินซื้อแผ่นเพลง ได้มา 3 แผ่น เพื่อนไปด้วยกันเห็นผมซื้อก็ว่าไม่ใช่แนว.. ด้วยเคยพูดเรื่องลิขสิทธิ์กับเพื่อนไปหลายครั้งแล้ว ก็ได้แต่ยิ้ม ๆ จนถึงที่สุด การเปลี่ยนความคิดและค่านิยมในสังคมบ้านเราอาจต้องรอให้หมดไปซักสองช่วงอายุคนนะ กว่าจะถึงตอนนั้น เพื่อนบ้านเราคงก้าวข้ามเราไปหมดแล้ว เพราะสังคมบ้านเราปล่อยให้สิ่งผิด ๆ บังตาบังใจ โดยอ้างว่าคนอื่นเขาทำกัน.. ถ้าปลดสิ่งผิด ๆ ออกจากจิตใจกันบ้างก็ดี.

เมื่อคืนเจ้าสองมะ เห่าผิดปกติ ออกไปดูครั้งนึงได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งไปอย่างเร็ว  แต่ไม่เห็นอะไร ออกมาดู สองสามครั้ง ทั้งคืน เช้ามา เจอเหตุการณ์รถที่จอด ก่อนถึงบ้านซักสิบเมตร โดนทุบเอาของในรถ ถึงไม่ได้จอดในบ้าน แต่จอดในซอยนะ ไม่ใช่ถนนใหญ่ ไม่ใช่ทางผ่าน โจรมันจะเอามันยังกล้า.. ไม่รู้จะพูดยังไง กับพวกขโมยนี่ เลวจริง ๆ สงสารแต่พี่เขา สงสัยว่าคราวนี้เวลาเจ้าสองมะเห่ากลางคืนต้องดูให้ทั่วถึงหน่อยแล้ว..

ถ้าว่าง ๆ ก็ลองปลดผ้าม่านที่บังตาบังใจของตัวเองออกบ้างนะ อาจะได้เห็นครอบครัวนกเขาน่ารัก ๆ แล้วก็ความจริงและสิ่งงดงามต่าง ๆ เพิ่มขึ้น..

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ความว่างเปล่ามันบอกว่าเท้าอยากออกเดินทางอีกแล้ว...

เพราะเป็นนักเดินทางมาตลอด ระยะทางที่เดินทางน่าจะเกินกว่า 40000 กิโลเมตร ไปแล้ว.. พูดได้ว่าคงเกินกว่าเส้นรอบวงของโลกเราไปแล้ว
เดินทางแทบไม่เคยหยุดนิ่ง.. ไปในหลากหลายสถานที่ ไปเที่ยวบ้าง ไปทำงานบ้าง ไปที่ซ้ำ ๆ บ้าง ไปที่ใหม่ ๆ บ้าง ประสบการณ์ที่ได้รับมีค่ามากมาย
ถึงแม้ว่าการเดินทางจะทำให้เกิดความเสียหายทางด้านการเงินมาเสมอ ๆ แต่ก็เทียบไม่ได้กับประสบการณ์ที่ผมได้รับ
โลกนี้คงมีคนจำนวนไม่มากนัก ที่จะมีประสบการณ์ในการเดินทางแบบผม ยิ่งในประเทศของเราคงยิ่งน้อยลงไปอีก

เพราะการที่ไม่เคยหยุดนิ่ง จึงเหมือนกว่าการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต.. ต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ พบเจอสิ่งใหม่ ๆ เป็นอาหารที่หล่อเลี้ยงจิตใจ ให้เต็มอิ่มอยู่ตลอดเวลา
และเพราะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พยายามเป็นนักเดินทางอีก... ลงหลักปักฐาน ตั้งหลักให้กับชีวิต เพื่อดูแลครอบครัวและคนที่ผมรัก.. จึงลดการออกเดินทางจนน้อยลงไปมาก

หลายวันมานี่ จากการที่ได้รับประสบการณ์ที่ค่อนข้างไม่ได้จากมนุษย์ทั่ว ๆ ไป ทั้งการเอาเปรียบ การเห็นแก่ตัว..
ทำให้รู้สึกแปลก ๆ โหวง ๆ ว่างเปล่า ขึ้นมาข้างใน ประทุขึ้นมาอีกครั้ง เป็นความรู้สึกที่บอกให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ แต่ตัวเองเข้าใจว่าเป็นความรู้สึกที่อยากออกเดินทางอีกครั้ง
ช่วงเวลาเกือบ 3 ปีหลังจากการลงหลักปักฐานที่ผ่านมา กับการเดินทางประมาณ 10 ครั้ง คงไม่เพียงพอที่จะช่วยเยียวยา อาการโหวง ๆ ว่างเปล่า นี้ได้..
ทุกครั้งที่เกิดอาการนี้ ถ้ามองหน้าคนที่เรารัก อาการที่ว่าก็มักจะเจือจางลง แต่สองวันมานี้รู้สึกว่าอาการจะค่อนข้างหนัก

ถ้าได้ออกเดินทางบ้างคงจะทำให้รู้สึกดีขึ้นละมั้ง..

คงต้องหาเวลาออกไปแสวงหาประสบการณ์ กับสถานที่ใหม่ ๆ กันบ้างแล้ว
เอาประสบการณ์ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มาเยียวยารักษาอาการว่างเปล่า ที่เกิดขึ้นข้างในตัวผมอีกครั้ง
และคงต้องในเร็ว ๆ นี้แหละนะ แล้วจะเอาเรื่องราวใหม่ ๆ มาฝากกัน.
เมื่อก่อนเดินทางคนเดียวรูปภาพที่บันทึกไว้ส่วนใหญ่จึงมีรูปของตัวเองน้อยมาก แต่การเดินทางคร้งนี้จะเปลี่ยนไปละ..
คนเดียวหัวหาย (ไม่ค่อยมีรูป) สองคนเพื่อนตาย (ผลัดกันถ่ายรูปได้)

เพราะชีวิตมันสั้นนัก เปิดหู เปิดตา เปิดใจ เพื่อซึมซับเอาความรู้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่จะได้จากการเดินทางกันเถอะนะ

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

แค่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน.

วันนี้ได้ไปบริจาดเกล็ดเลือดมา เลยตามมาด้วยอาการง่วง ๆ ไม่ค่อยปกติ.. ทำงานได้ช้ากว่าเดิมนิดหน่อย ประกอบกับอยู่ในช่วงอาการเบื่อ ๆ เลยพาลไม่อยากทำงานปกติไปซะอย่างนั้น
เอาน่ะใครที่รู้จักผมแล้วเห็นผมไม่ค่อยปกติช่วงนี้ก็อย่าถือสาหาความกันเลยละกัน กำลังปรับอารมณ์อยู่น่ะ
 
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมามีแผนที่จะทำอะไร ๆ ที่บ้านหลายอย่าง ทั้งการทำชั้นวางของเพื่อเก็บอุปกรณ์ใต้บันได ทำประตูกั้นบันไดใหม่ ไว้กันเจ้าสองมะแผลงฤิทธิ์ ขึ้นบ้าน
แล้วก็ตัดแต่งการะเวกที่ออกแผ่เต็มให้ออกจากซากมะม่วง ใจจริงไม่อยากตัดกิ่งมันเยอะอย่างนี้หรอกนะ แต่เกรงว่ามันจะรั้งเอาต้นมะม่วงที่ยืนต้นตายน่ะล้ม เลยจำเป็น
ประกอบกับเวลาที่พุ่มการะเวกนี้อยู่มืด ๆ เจ้าสองมะ มักจะไปเห่า แล้วก็ตะกุย ๆ ตรงใต้ต้นประจำเลย ไม่แน่ใจว่ามันเห็นอะไร เลยเอาออกซะก่อนดีกว่า
ประกอบชั้น กับทำประตู ใช้เวลาเต็ม ๆ วันเสาร์ เช้า ยันมืด วันอาทิตย์ค่อยทำต้นไม้ เสร็จก็ปรากฎว่าหมดแรงกันไปเลย ไม่ได้ใช้แรงจนหมดตัวมานานแล้ว...
ตอนนี้ก็กำลังคิดว่าสุดสัปดาห์นี้จะทำอะไรดีอยู่...
ตอนที่ทำชั้นเพื่อจัดของที่อยู่ใต้บันไดใหม่ พอรื้อของออกก็เจอปลวก เยอะแยะไปหมด ปลวกมันก็ทำมาหากินของมันไปตามธรรมชาติน่ะนะ มันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก
แต่บังเอิญว่ามันเข้ามาทำให้ที่พักอาศัยของเราจะมีปัญหาเอาน่ะซิ ว่ากันถึงเรื่องปลวกนี่ ก็เป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ได้ร้อยเปอร์เซนต์หรอกนะ
ตอนแรกที่ทำบ้านก่อนจะทำพื้นก็ราดน้ำยาฆ่าปลวกที่เป็นสมุนไพรไว้  ผ่านมาไม่กี่เดือนปลวกก็เข้ามาจัดการประตูตู้ซิงค์ในครัวชั้นล่างซะแล้ว..
พอบ้านพี่ชายจ้างบริษัทกำจัดปลวกมาดูแล มีการอัดน้ำยาลงดิน ก็กลายเป็นว่าปลวกออกมาจัดการซะต้นมะม่วงตายเลย.. ถึงจะมีบริการมาตรวจและฉีดเพิ่มทุกเดือน ปลวกก็ยังมีอยู่รอบบ้าน
อาจเป็นเพราะบ้านผมมีส่วนที่เป็นพื้นดินเยอะ ปลวกเลยมีที่อยู่เยอะ ล่าสุดก็ลองไปเอาไส้เดือนฝอย ที่กรมวิชาการเกษตร วิจัยแล้วว่าจัดการปลวกได้มาลองดู คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะได้ผลเป็นยังไง
ไม่ได้คาดหวังว่าปลวกจะหมดไปจากดินที่บ้านหรอกนะ แค่ให้พวกมันอยู่เป็นที่เป็นทางก็พอ อย่ามาวุ่นวายกับต้นไม้ กับบ้านของผมก็ละกัน
ถ้าพูดว่าปลวกมารุกรานบ้านของเราก็ไม่ถูกนัก เพราะเราอาจเป็นฝ่ายไปปลูกบ้านทับที่อยู่ของพวกมันต่างหาก
ก็คงได้แต่พยายามตรวจสอบ ป้องกัน และแก้ไขเป็นครั้งคราวไปนะ เพราะหากใช้สารเคมีเพื่อกำจัดปลวกตลอดเวลา สารเคมีมันก็จะย้อนมากำจัดเราเองอยู่ดี ผมเลยเลือกที่จะใช้พวกสมุนไพรหรือธรรมชาติ
ส่งผลช้าแต่ปลอดภัยกว่า.. แนะนำใครที่อยากลองกำจัดปลวกอย่างปลอดภัย ลองใช้สมุนไพรสกัด หรือไม่ก็ไส้เดือนฝอยดูครับ หาซื้อได้ที่ กรมวิชาการเกษตรครับ
จริง ๆ แล้วมนุษย์อย่างเรา ๆ นี่แหละที่ไปรุกรานสัตว์อื่น ๆ นะ เข้ามาตัดทำลายป่า เพื่อเอาพื้นที่มาปลูกสร้างบ้าน ทำลายบ้านผู้อื่น เพื่อเอามาสร้างบ้านของตัวเอง
แล้วก็พยายามจะอ้างว่าสัตว์อื่นต่างหากที่มารุกราน... อย่างคนที่ทำไร่ แล้วมีสัตว์ป่ามารบกวน อาจเป็นเพราะก่อนหน้าที่คนจะเข้าไปทำไร่ ที่ตรงนั้นเป็นบ้านของสัตว์นั้น ๆ อยู่ก็ได้นะครับ
 
เพราะวันนี้เป็นวันที่ 1 กันยายน ครบรอบ 20 ปีที่คุณสืบ นาคะเสถียร เสียชีวิต คุณสืบ เป็นมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ผมศรัทธาและเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผม
อยากให้พวกมนุษย์คิดกันใหม่นะ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่าเอาตัวเองไว้ตรงกลาง
รู้จักการอยู่อาศัยแบบพึ่งพากัน รู้จักการอยู่ร่วมกัน เพื่อให้โลกของเราดีขึ้น
มนุษย์ก็เป็นสัตว์ ปลวกก็เป็นสัตว์ เจ้าสองมะ ก็เป็นสัตว์
หากมนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับสัตว์อื่น ๆ ตัวมนุษย์เองนั่นแหละที่จะรู้สึกว่าทุกข์น้อยลง..
 
อย่าหาวิธีที่จะมีความสุขเลยนะ หาวิธีที่จะลดความทุกข์ลงดีกว่า
แค่มองโลกให้กว้าง ๆ พยายามเข้าใจผู้อื่น และสัตว์อื่น เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน อย่าเอาความหวังไปวางไว้ที่คนอื่น
แล้วก็อย่าเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง แค่นี้ชีวิตก็ทุกข็น้อยลงแล้ว...

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โลกนี้มันมีไว้ให้เรียนรู้นะ

อันเนื่องมาจากที่ได้มีโอกาสไปงานแต่งงานของเพื่อนที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ถึงชื่ออำเภอจะระกำ แต่คนก็ยังรักกันนะ เนี่ยเพื่อนแต่งแล้วว่าจะชวนมาจดทะเบียนสมรสกันที่บ้านผม บางพลัด...
แต่งงานที่บางระกำ จดทะเบียนสมรสที่บางพลัด ... สุดยอดจริง ๆ

ไม่เคยมีโอกาสเข้าร่วมงานแต่งงานของคนที่นี่เลย ก็น่ารักไปอีกแบบ
เพราะว่างานแต่งงานเลี้ยงแต่เช้า เลยต้องเดินทางตั้งแต่เย็นวันศุกร์
เดินทางด้วยรถยนต์ของเพื่อน ฝ่าฝูงรถติด ท่ามกลางฝนตก ในช่วงเย็นวันศุกร์ ของกรุงเทพฯ... นรกชัด ๆ ผมไม่รู้ว่าพวกเรา ๆ ทนรถติดในกรุงเทพฯได้ยังไงกันนะ คงต้องมีเหตุผลดี ๆ บางละนะ
ส่วนตัวผม เพราะเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด พบกับสภาพการจราจรแบบนี้มานานแล้ว เลยเลือกใช้มอเตอร์ไซค์ครับ... ไม่มีปัญหา

เริ่มเดินทางทุ่มนึง กว่าจะออกจากกรุงเทพฯ ได้ก็เกือบสามทุ่ม ไปถึงที่พักก่อนเข้าตัวเมืองพิษณุโลก แยกเข้าบางระกำ เกือบตีหนึ่ง ไม่ได้นอนดึกมานานแล้ว เลยง่วงไม่ได้ไปนั่งคุยทักทายกับเพื่อน ๆ เลย อาบน้ำเสร็จก็หลับ นอนดึก แต่ตื่นตีห้า ตามปกติ
ปรากฎว่าฝนตก.. เลยโทรถามเจ้าบ่าวว่า ให้ใครปักตะไคร้ เจ้าบ่าวได้แต่หัวเราะ แล้วบอกนอนไม่หลับเลย เครียด ก็คนกำลังจะเข้าพิธีนี่นะ
หลังจากช่วงเช้า จับปูใส่กระด้งกันเรียบร้อยก็เกือบแปดโมง เดินทางไปบ้านเจ้าสาว
เพราะฝนตก เพราะทางเดินเป็นดิน เพราะดินโดนฝน เพราะหลาย ๆ คนใส่กางเกงขายาวไปร่วมงาน
จึงเป็นงานแต่งที่ขบวนขันหมากมีแต่คนพับขากางเกง ก็ฮากันไปนะ

ที่นี่ เขาแห่สองครั้ง แห่ขันหมากก่อน แล้วแห่เจ้าบ่าวอีกรอบนะ ไอ้คนโห่ ตั้งแต่ขบวนขันหมากเลยต้องโห่ซะสองรอบ เจ็บคอกันไปเลย

ตอนเจ้าบ่าวจะขึ้นบ้าน ยังมีฝั่งเจ้าสาวมาถามด้วยนะว่าตัวจริงเหรอ เจ้าบ่าวน่ะ ถามน้อง ๆ แถวนั้น เขาเลยบอกว่าบางบ้านเขามีเจ้าบ่าวปลอม ๆ มาก่อนตัวจริงด้วยนะ
เป็นการเล่นกันอย่างหนึ่งน่ะ พอขึ้นบ้านก็จัดการหลั่งน้ำ ก็สมใจกันไป ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว
โชคดีของผมที่ได้ไปงานด้วย ได้รู้ประเพณีที่นี่ ส่วนที่ต่างไป เพราะมาจากหลาย ๆ แห่ง อย่าไปคิดนะว่า ที่คุณเคยเห็น เคยทำ มันจะถูกเสมอ

เรียนรู้ประเพณีของที่อื่นบ้าง จะได้เป็นการเปิดหู เปิดตา เปิดใจ ให้กว้างขึ้นนะ...

งานสนุก น่ารักดี แต่หงุดหงิดอยู่อย่างที่มีคนเอาปืนมายิงในงานอีกแล้ว ทำไมถึงคิดว่าในงานต่าง ๆ ต้องเอาปืนมายิงนะ
เป็นการแสดงว่าตัวมีอำนาจเหรอ มีพลังเหรอ.. แต่ขาดความรับผิดชอบอย่างยิ่งเลยนะ ลูกปืนที่ยิงขึ้นไป จะไปตกที่ไหนละ ใครจะไปโดนบ้างละ เป็นข่าวตั้งหลายครั้ง คนก็ยังไม่สำนึก ทำไมไม่เห็นแก่คนอื่น ๆ บ้างนะ คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวเลย ที่หนักกว่านั้น พอยิงเสร็จ เปลี่ยนแม็กกาซีน ยังไม่ทันล๊อกไก ก็ส่งให้อีกคนยิง ไอ้คนนี้ก็เอานิ้วเข้าแตะไกซะก่อนยกปืนขึ้นฟ้าซะอีก อันตรายมากเลยนะ

งานเขาเลี้ยงถึงเที่ยง เสร็จก็กลับมาเข้าเมืองพิษณุโลก แวะไหว้พระพุทธชินราช แวะกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา เลยรู้ว่าไม่ได้มานานมากแล้ว เพราะก๋วยเตี๋ยวห้อยขาที่อยู่หน้าวัดริมน้ำ ย้ายขึ้นบกมาหมดแล้วนะ เดินทางมานานหลายปี ย้อนกลับมาอีกทีก็เปลี่ยนไปหมด..
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานะ เป็นเรื่องปกติ
ขับ ๆ แวะ ๆ มาเรื่อย ๆ กว่าจะกลับถึงกรุงเทพฯ ก็สี่ทุ่มแล้วนะ

ขอบคุณเพื่อนมดที่ให้อาศัยรถไปด้วย ขอบคุณเพื่อนอาร์ที่แต่งงานซะที เลยได้ไปเห็นงานแต่งงานที่แตกต่างออกไป
ถ้าได้มีโอกาสไปที่ไหน ก็เรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่นไว้นะ สิ่งที่แปลกไป ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่พอใจ แต่มันเป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้ไว้

อย่าเอาความคิดตัวเองเป็นหลักไปซะหมด มันจะบดบังที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตคู่ ... ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความจริง

คนเรามีสองแขน สองขา ตาสองข้าง หูสองข้าง มืออีกสอง เท้าก็สอง
ทุกอย่างในร่างกายของคนเรามักมีอยู่เป็นคู่เสมอ
แม้สมองมีหนึ่งเดียวก็ยังประกอบด้วยซีกซ้ายและขวา
และทุกคู่ในตัวคนเรา ย่อมทำงานสัมพันธ์กัน เพื่อให้ประสบความสำเร็จ
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่บอกว่า ทำไมคนเราจึงอยู่คนเดียวได้อย่างลำบาก
เพราะธรรมชาติสร้างให้คนเราต้องอยู่เป็นคู่ และแต่ละคู่นั้น มักจะแตกต่างกันเสมอ
มือขวา กับมือซ้าย สมองซีกขวากับซีกซ้าย ย่อมทำงานแตกต่างกัน แต่สัมพันธ์กัน
ผู้ชายจึงคู่กับผู้หญิง เพราะเป้นส่วนที่แต่งต่าง แต่สัมพันธ์กัน
หากเป็นสัตว์อื่น ๆ ก็มักจะไม่มีอะไรยุ่งยากมากนัก ในการครองคู่
ตัวผู้ต้องแสดงพละกำลัง และความสามารถเพื่อให้ตัวเมียเลือก และตัวเมียย่อมเลือกตัวผู้ตัวที่แข็งแรงและเก่งที่สุด เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงต่อ ๆ ไป
นกบางชนิดอย่างนกกระจาบ ตัวผู้ต้องสร้างรังให้สวย แข็งแรง และใหญ่ เพื่อให้ตัวเมียเลือกมันเป็นคู่ครองและสืบทอดเผ่าพันธุ์
นกบางชนิดอย่างนกยูงก็ต้องมีแพนหางที่สวยงามเพื่อล่อให้ตัวเมียเลือก เพราะแพนหางที่สวยงามย่อมมาจากร่างกายที่แข็งแรงของตัวผู้ตัวนั้น ๆ
วัวป่า ควายป่าต้องขวิด ต้องสู้กันเพื่อแสดงความแข็งแกร่ง...
จั๊กจั่น เป็นตัวอยู่ใต้ดิน 7 ปี เมื่อถึงเวลาก็ขึ้นจากดินมาเป็นตัวกรีดปีกส่งเสียงให้ดังเพื่อให้ตัวเมียสนใจและเลือกมันเป็นคู่ มันพยายามส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา
เพราะมันมีชีวิตอยู่บนพื้นดินเพียง 7 วัน
เพราะความสามารถในตัวผู้ส่วนใหญ่มีเป้าหมายอยู่ที่การเอาชนะใจตัวเมีย
จึงมีบางคนที่กล่าวไว้ว่า ความทะเยอทะยานและความคิดสร้างสรรค์ของผู้ชายนั้น มักจะลดน้อยลงเมื่อได้แต่งงาน
คนที่กล่าวคำนี้ ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะสัตว์ทั่ว ๆ ไปเลือกคู่ครองเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์เป็นหลัก
ดังนั้น เมื่อได้คู่ครองแล้ว จึงหมดความพยายามเพื่อเอาชนะใจคู่ของมันต่อไ
ส่วนคนเรานั้น การเลือกคู่ครองที่ดี นอกจากจะเป็นอย่างสัตว์ทั่ว ๆ ไป เพื่อดำรงเอาไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ที่แข็งแรง ยังมีส่วนประกอบอื่นที่สำคัญอย่างยิ่ง
นั่นก็คือความรัก เพราะฉะนั้น ตราบใดที่การครองคู่ของคนเรายังมีความรักอยู่ระหว่างคนสองคน ย่อมไม่ทำให้เกิดอาการเหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป
ที่เมื่อได้ครองคู่แล้วความทะเยอทะยานและความคิดสร้างสรรค์จะลดน้อยลง
การครองคู่โดยปราศจากความรัก ย่อมเป็นเช่นสัตว์ทั่ว ๆ ไป
คนเราไม่ใช่เพียง เกิด กิน สืบพันธุ์ แล้วก็ตาย ยังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย ให้เราเรียนรู้และแสวงหา
การครองคู่กันอย่างดีงามและสมบูรณ์ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นไปได้ เพียงเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เข้าใจ และให้อภัยกัน

ผมไม่เชื่อว่าคนสองคนที่มีอะไร ๆ เหมือนกันมาก ๆ จะครองคู่กันไปได้นาน เพราะมันจะหมดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ เพราะอะไร ๆ ก็คิดว่ารู้แล้ว เห็นแล้ว อยู่นั่นเอง
หากการครองคู่เกิดจากคนสองคนที่เหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง ย่อมทำให้ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แค่นี้ ทั้งชีวิตก็เรียนไม่จบแล้วครับ

เพราะว่าอาทิตย์นี้เพื่อนผมจะเข้าพิธีแต่งงาน บทความนี้ ขอยกให้เพื่อนผมคนนี้แหละ ถ้ามันได้อ่านนะ เอาไปอ่านด้วยกันพร้อม ๆ กันละกัน
การแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีเรื่องดี ๆ ที่มีขนาดใหญ่ ๆ เรื่องไหน ที่เป็นเรื่องง่าย ๆ
การใช้ชีวิตคู่หลังจากการแต่งงาน จะเป็นเรื่องที่ยากกว่านั้นอีก แต่ถ้าเข้าใจกัน อภัยกัน ก็ไม่ยากเกินไปที่จะอยู่คู่กันนะ
คนเรามีโลกส่วนตัวกันทุกคน เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นโลกที่ไม่อยากให้คนอื่นแตะต้อง แต่อยากให้คนอื่นเข้าใจ
เมื่อใช้ชีวิตคู่แล้ว ลดโลกของตัวเองลงหน่อย พยายามเข้าใจโลกของเขาบ้าง เพิ่มโลกส่วนที่เป็นของคนสองคนเข้าไป
ชีวิตคู่ก็ไม่ยากเกินไปแล้ว
ในเมื่อเป็นเพื่อนที่ดีแล้ว คราวนี้ก็พยายามเป็นสามีที่ดีบ้างนะเพื่อน...

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ที่รองปลั๊ก.. เวลาเหลือเฟือ

วันหยุดทีไร ไม่เคยเลยที่จะหยุดจริง ๆ ก็ยังทำงานบ้าน ทำสวน ทำกล้วยไม้ ทำนู้น ทำนี่อยู่ตลอดนะ
ต่างกับการทำงานเต็มเวลาตั้งแต่จันทร์ยันศุกร์คือ ไม่มีความเครียดมาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องไปสู้กับความเห็นแก่ตัวของคนอื่น
งานบ้านทำแล้วมีความสุข งานเต็มเวลาทำแล้วได้เงิน ถึงแม้งานเต็มเวลาจะสร้างความเครียดให้บ้าง แต่ก็เป็นแหล่งที่มาที่ได้เงินมาใช้จ่ายนะ
ก็ถือว่าแลก ๆ กันไป ยังไงก็ไม่มีทางได้สิ่งที่สมใจทุกอย่างหรอกนะ ก็ชีวิตนี่นะ

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ผ่านไปตามปกติของทุก ๆ วันหยุดที่ผ่านมา ล้างรถ อาบน้ำเจ้าสองมะ ทำสวนครัว เข้าสวน ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ
ส่วนที่เพิ่มมาก็คือ ทำความสะอาดครัว ชั้นล่าง ที่มีหนูเข้ามาเพ่นพ่าน จากการที่พบขี้หนู อยู่ในที่เกิดเหตุ เลยทำความสะอาด แล้วก็เอาอิฐมาปิดท่อ ที่อาจเป็นทางด่วนเข้าออกของมันซะ
ไม่ใช่ว่าครัวสกปรกนะ แต่ครัวชั้นล่างเป็นแบบเปิด ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มีผนังแค่สองด้าน... ดูดีไหม? ตอนออกแบบ คิดแต่โปร่ง ๆ ไง ครัวสวยเชียว
แต่ในความเป็นจริง ใช้งานได้ดี แต่ฝนสาด แมลงเข้ามาได้ นกเข้ามาทำรัง ล่าสุดก็มีหนูเข้ามา... อืม... นก กับ แมลง ก็ยังไม่เป็นไรนะ ปล่อย ๆ มันไป แต่หนูนี่ซิ...
เรื่องหนูผ่านไป กำลังคิดว่าสงสัยต้องปีนขึ้นไปดูบนฝ้าบ้างแล้วว่า มีตัวอะไรมาอยู่บ้างรึเปล่า เริ่มไม่ไว้ใจ เอาไว้สัปดาห์นี้ก็แล้วกัน

สองสามเดือนก่อนสังเกตเห็นรอยขีด ๆ เล็ก ๆ บนพื้นปาร์เก้ ขีดเล็ก ๆ เยอะแยะ นี่มาจากไหน? คิดไปคิดมา ก็เพราะพฤติกรรมการถอดปลั๊กไฟนี่เอง พอถอดแล้วก็ปล่อย
ปลายของปลั๊กที่เป็นโลหะ ก็ตกกระทบพื้นทำให้เกิดรอยเล็ก ๆ แล้วทำทุกวัน จะไม่มีรอยเยอะแยะได้ยังไง ก็เปลี่ยนพฤติกรรมกันไป ถอดปลั๊กแล้วค่อย ๆ วาง ไม่ให้ปลายกระทบพื้น
ก็ลดการเพิ่มขึ้นของรอยไปได้บ้างแต่ก็ยังมีอยู่บ้าง เป็นหลักฐานยืนยันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ทั้งหมดหรอก มันต้องมีหลุดออกมาบ้าง...
เดือนก่อนได้รับเมลล์ เรื่องไอเดียการออกแบบของต่างประเทศ เห็นส่วนของการทำที่ล็อกหัวปลั๊กกับปลั๊กไฟแล้วก็ชอบเลย ลองหาข้อมูลการขายในอินเตอร์เน็ต ก็ไม่มีนะ
ทำยังไงละทีนี้ ก็ทำมันเองซะเลย สมองก็มี มือก็มี กลัวอะไรใช่ไหม ก็ออกมาเป็นอย่างในภาพนี่แหละ ของจริงสวยนะ เหมือนสายไฟลอยอยู่เฉย ๆ เลย เพราะเลือกพลาสติกที่มันใส ๆ
ถึงจะไม่ดูดีเหมือนอย่างที่เคยเห็นแต่ก็ใช้งานได้ดีนะ ที่เคยเห็นดูดีเพราะจะล็อกเข้ากับเต้าเสียบ แล้วสายไฟก็มีตัวรองอยู่ทำให้ดูดีมาก ส่วนที่ผมทำนี่ คงเหมาะกับบ้านเรานะ
ที่แต่ละบ้าน ไม่ค่อยมีมาตรฐานเมือนกันเท่าไหร่ สายไฟจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน หัวก็ไม่เหมือนกัน เต้าเสียบก็ไม่เหมือนกัน หลากหลายกันจริง ๆ

ตัวรับสายนี่เริ่มจากหาพลาสติกก่อนนะ การตัดพลาสติกบางนี่ ไม่มีปัญหา อันแรก ใช้เลื่อยฉลุ ไม่ไหว เหนื่อย ใช้มีดกรีด แล้วหักเอา เออ สะดวกดี
เอาน้ำยาเช็ดกระจก ลูบแผ่นพลาสติกทั้งสองด้าน แล้วก็ใช่สำลีชุบแอลกอฮอล์ จุดไฟลนช่วงกลาง ลน ๆ ดัด  ๆ จนได้ฉาก ใช้สว่านเจาะรู ใช้เลื่อยฉลุ ตัดทางเข้าสู่รูที่เจาะ
ดูเหมือนทำง่าย แต่ใช้เวลานะ ต้องใจเย็น ๆ ทุกขั้นตอนเลย แต่ทำเสร็จแล้วก็ใช้งานได้
เลยทำมาใช้งานซะสี่อัน ใช้คุ้มเลย ถึงเผลดดึงปลั๊กแล้วปล่อย ก็ไม่ตกถึงพื้นนะ ป้องกันได้ดีทีเดียว บางจุดยังติดแนวตั้งอีกด้วย หมายความว่าใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
สวย ใช้ประโยชน์ได้ และไม่ซ้ำใคร น่าจะทำออกขายจริง ๆ เลยนะเนี่ย ติดตรงมันเป็นงานทำมือนี่แหละ วันนึงคงทำได้ซักสามอันละมั้ง ถ้าจะทำขายจริง ๆ

ที่เล่าให้ฟังนี่จะบอกว่า ผมสงสัยคนที่บอกว่าไม่มีเวลา ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น แล้วก็ไม่ยอมทำอะไร
คนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันนะ  นอนซะเจ็ดชัวโมง สำหรับผมนะ เวลายังมีอีกเยอะแยะ ทำงาน อ่านหนังสือ เล่นเน็ต เล่นเกม ซ่อมของให้คนนู้นคนนี้
ทำสวนครัว เลี้ยงกล้วยไม้ เลี้ยงเจ้าสองมะ ฯลฯ ก็ยังมีเวลาเหลือเลยนะ.. หรือเพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้สนใจเวลา ไม่ได้ยึดติดมัน เพราะผมมีมันอยู่เยอะแยะ
เวลาวางแผนในแต่ละวันก็ไม่เคยต้องตรงเวลาตลอด เพียงกำหนดว่าจะทำอะไรบ้างคร่าว ๆ แล้วก็ประมาณกี่โมง ก็แค่นั้น

ลองจัดการวางแผนในตัวเองซักนิดหน่อย ในแต่ละวัน แล้วจะเห็นว่าเวลามีพอใช้เสมอ
เพราะคนเรามีเวลาเท่ากันทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ไปกับอะไร และเพื่ออะไร

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พวกปลายบุหรี่เอ๊ย!!!

เคยมีคนพูดไว้ว่า เวลาที่เห็นใครสูบบุหรี่ เรามักจะเห็นไฟอยู่ทางปลายด้านหนึ่งของบุหรี่ ส่วนอีกด้านจะเห็นคนโง่อีกคนหนึ่ง
บุหรี่เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ แล้วคนเราสูบบุหรี่ครั้งแรกในโลกเพราะอะไร?
เวลาที่ผมเดินทางไปในที่หนาว ๆ คนในพื้นที่นั้น ๆ มักจะสูบบุหรี่ และดื่มเหล้า เพราะมันจะช่วยบรรเทาความหนาวได้
เขาว่ากันว่า เมื่อสูบบุหรี่แล้วมันคลายเครียดได้? เขาว่ากันว่าเวลาคิดอะไรไม่ออกสูบบุหรี่แล้วมันช่วยได้?
ผมไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือไม่ เพราะผมไม่สูบบุหรี่ แล้วก็ไม่อยากลองเพื่อจะรู้ด้วย
ถึงผมจะเป็นคนที่พยายามจะเรียนรู้อะไร ๆ ด้วยตัวเอง ด้วยการทดสอบ แต่เรื่องนี้เว้นไว้ดีกว่า เพราะเห็นว่าไร้ประโยชน์อย่างมาก

ผมว่าการสูบบุหรี่ของคนเราคงเกิดจากความบังเอิญเหมือนเรื่องอื่น ๆ และสืบต่อกันเรื่อยมาอย่างผิด ๆ เกิดเป็นความนิยมขึ้น
การสูบเพื่อความจำเป็นอย่างในสถานที่หนาว ๆ ก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ในที่ร้อน ๆ แล้วยังสูบนี่ซิ...
เมื่อสูบบุหรี่ ทาร์ หรือน้ำมันดิน ที่อยู่ในบุหรี่จะเข้าไปจับเป็นคราบดำเหนียว ๆ ในปอด ทำให้ปอดทำงานไม่สมบูรณ์
ไม่สามารถขยายและยุบตัวปล่อยออกซิเจนไหลผ่าน เพื่อฟอกอากาสได้อย่างสะดวก..
ควันจากบุหรี่มักจะไม่ได้อยู่ที่คนสูบอย่างเดียว ควันมันมักฟุ้งในอากาศให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ คนสูบ ก็ต้องสูดเอาควันบุหรี่เข้าไปด้วย
อันตรายก็ย่อมต้องเกิดกับคนที่อยู่ใกล้ ๆ ผู้สูบเข้าไปด้วย
ดังนั้น พอลองมองไปตรงที่คนสูบบุหรี่อีกครั้ง นอกจากจะเห็นคนโง่คนหนึ่งอยู่ที่ปลายบุหรี่แล้ว คน ๆ นั้นยังเห็นแก่ตัวอีกด้วย
ทำให้สุขภาพตัวเองเสีย แล้วยังทำให้คนรอบข้างแย่ตามไปด้วย..

หากให้ผมเปรียบเทียบการดื่มเหล้า กับการสูบบุหรี่ การดื่มเหล้าเสียหายแต่คนดื่ม ส่วนบุหรี่สร้างความเสียหายกับคนรอบข้างได้มากกว่า ไม่นับว่าดื่มจนเมานะ
เพราะถ้าดื่มเหล้าจนเมา ก็ทำให้คนรอบข้างไม่ปลอดภัยเหมือนกันนะ มันก็ไม่ดีทั้งสองอย่างละ..

ผมเห็นทั้งเด็ก ทั้งผู้หญิง หลาย ๆ คนที่สูบบุหรี่ ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เพราะค่านิยมเหรอ ไม่ใช่หรอก ผมว่าเพราะคิดไม่เป็นมากกว่า
อาจเป็นเพราะสูบตามเพื่อน สูบตามคนรู้จัก สูบตามในหนังในละคร คิดไม่เป็นกันนะ
หากคนเราพยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่น มันก็เป็นแต่ผู้ตามอยู่ตลอด แล้วโลกนี้คงพัฒนาได้ช้ามาก ๆ เพราะไม่มีคนที่คิดต่างออกไป

เด็ก ๆ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ? ก็เงินที่ได้จากพ่อแม่นั่นแหละ ผู้หญิงไม่รู้เหรอไงว่าบุหรี่มันทำให้คอลลาเจนในร่างกายเสื่อมเร็ว ทำให้แก่เร็ว
ผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ไม่รู้หรือไงว่า บุหรี่มันมีแต่โทษ แล้วมันอาจเป็นตัวอย่างแย่ ๆ ให้เด็กเลียนแบบ แล้วพวกที่สูบ ๆ กันเนี่ย ไม่รู้หรือไงว่าคนอื่น ๆ ที่ไม่สูบเขาเหม็น เขาไม่ชอบ
เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ จะทำแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ ชอบ พอใจ โดยไม่สนใจคนอื่น ๆ กฎหมายถึงกำหนดสถานที่สำหรับการสูบบุหรี่โดยเฉพาะไง
ถึงจะอยู่ในรถยนต์ส่วนตัว แต่คนที่สูบก็ทิ้งลงถนนอยู่ดี ผมว่าพวกสูบบุหรี่นี่สกปรกนะ ชอบทิ้งก้นบุหรี่เรี่ยราด ทำไมไม่ไปทิ้งในบ้านตัวเองกันนะ
หลาย ๆ ครั้งก้นบุหรี่ที่หลุดออกมาจากปากของคนโง่ เห็นแก่ตัวและไม่รับผิดชอบพวกนี่ ก็ก่อให้เกิดไฟไหม้นะ

หากจะหาคำมาเปรียบเทียบ คนโง่ คนเห็นแก่ตัว คนไม่รับผิดชอบ คนสกปรก คนชอบทำให้คนอื่นสุขภาพเสีย เรียกว่าพวกปลายบุหรี่คงได้นะ

หากไม่สร้างประโยชน์อะไร ก็อย่าสร้างโทษให้สังคมและโลกนี้กันนักเลยนะ

(ถามหน่อยเถอะ ทำเบลอ ๆ ที่บุหรี่ แล้วคนเขาไม่รู้กันหรือไงนะ กองเซนเซอร์ของประเทศนี้นี่)

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กุศโลบายและการใช้ชีวิต

อ่านเรื่อง  "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" จบแล้ว จบด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง ที่หยิบยกเอาการกระทำของคนที่ยิ่งใหญ่ในแต่ละยุค แต่ละสมัย มาอธิบาย ถึงกุศโลบายต่าง ๆ ที่ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นใช้เพื่อความสำเร็จ...เจียงไคเช็ค เลนิน โคลัมบัส ฟาราเดย์....

ไม่ได้เห็นด้วยกับทุกอย่างในหนังสือ แต่ได้ความรู้เพิ่มขึ้น แล้วก็ได้เรียนรู้วิธีคิดมากขึ้น

อธิบายคำว่ากุศโลบายก่อนนะ คำว่ากุศโลบายนี่ เคยได้ยินครั้งแรกก็หลายปีมาแล้ว จากพี่ที่นับถือกันคนหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่เข้าใจเท่าไหร่? แต่ตอนนี้พอเข้าใจบ้างแล้ว ความหมายของกุศโลบาย ก็คือวิธีการในทางที่ดี ที่จะสร้างหรือทำสิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ
แตกต่างจากกลอุบายนะครับ กลอุบายนี่มีความหมายในทางร้ายนะ ไม่เหมือนกัน

คนเราเวลาที่จะทำอะไรต้องวางแผนล่วงหน้าหลาย ๆ อย่าง จนสร้างเป็นกุศโลบายได้เลยหรือ? ผมคิดว่าคนเราส่วนใหญ่สร้างกุศโลบายขึ้นมาจากประสบการณ์ อุปนิสัย ความรู้ ความรู้สึก ขึ้นมาเอง โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้าอะไรมากนัก
แล้วหากเมื่อมีปัญหาระหว่างที่กำลังทำงานที่ดำเนินการตามกุศโลบายนั้น ๆ ก็ ก็สามารถปรับปรุงให้ใกล้เคียงกับคำว่าประสบความสำเร็จได้
มีเพียงส่วนน้อย ที่จะวางแผนการสร้างกุศโลบาย ขึ้นมาเป็นพิเศษ เฉพาะงานนั้น ๆ และมักจะไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว แต่มักจะมีผู้อื่นร่วมคิดด้วยเสมอ

เพราะว่าผมเป็นคนที่มักจะวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อนว่าจะทำอะไร ๆ เป็นขั้น เป็นตอน โดยเริ่มจากการมองไปที่จุดสุดท้ายก่อน และระหว่างทางที่กำลังทำ ค่อยคิดหาวิธีการ
เพื่อจะให้สำเร็จเป็นขั้น ๆ ไป หลาย ๆ วิธีที่ผมใช้โดยมากคงนับได้ว่าเป็นกุศโลบาย แต่หลายครั้งที่มันก็เป็นแค่กลอุบายเท่านั้น และผมไม่คิดว่ากุศโลบายที่ปาศจากกลอุบาย จะสำเร็จไปได้ด้วยดี เพียงแต่จะทำอย่างไรให้กลอุบายนั้น ๆ มองดูคล้ายกุศโลบายให้มากที่สุด
หากผมจะทำรั้ว ล้อมแปลงผักสวนครัวของผม ผมก็จะมีรูปร่างของรั้วนี้ตอนจบแล้ว แล้วค่อยมาคิดว่าต้องใช้อะไรบ้าง จากนั้นจึงจะเริ่มตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องว่าต้องมีจำนวนเท่าไหร่ หรือขนาดเท่าไหร่
เมื่อทุกอย่างครบแล้ว จึงเริ่มทำงาน อันนี้ เป็นงานสำหรับคน ๆ เดียวทำได้ จึงไม่ต้องใช้กุศโลบายอะไร เพียงวางแผนให้ดี ก็สำเร็จได้ง่าย ๆ
หากเป็นเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ มักเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนมากกว่านี้เสมอ มีการใช้ทั้งกุศโลบาย และกลอุบายเสมอ
อย่างในวัน ๆ หนึ่งนี่ ผมคิดไว้แล้วว่าจะทำอะไรก่อน ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ หากต้องมีการสั่งงานหรือประสานงานกับคนอื่น ๆ ก็มักจะคิดทางเลือกทั้งหมดไว้แล้ว ถ้างานที่สั่งได้รับการตอบสนอง, 
หากถูกปฎิเสธ จะทำยังไงให้เขาไม่ปฎิเสธ และหากยังปฎิเสธอยู่จะทำยังไงต่อไป เพื่อให้สำเร็จ ตามที่ต้องการ แต่ไม่ใช่คิดวิธีการทั้งหมดไว้ในทีเดียวนะ แค่คิดขั้นตอนเบื้องต้นของทั้งหมดไว้
แล้วค่อยปรับไปตามสถานการณ์ เหมือนเวลาอยู่บ้านถ้าคิดจะทำอะไร ช่วงวันหยุดก็คิดเอาไว้หมดแล้ว ทั้งเรื่องงานและช่วงเวลาที่จะทำ แล้วจะทำยังไงให้สำเร็จ

บางครั้งใคร ๆ มองว่าผมเป็นคนที่ทำงานหลายอย่าง แต่ไม่กระตือรือล้น หรือไม่พยายามทำให้เสร็จ หรือรีบ ๆ ทำซะก่อน ผมอยากจะบอกว่า ผมวางแผนการทำทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว
แล้วก็หลายแนวทางเสมอ พอเขียนมาถึงตรงนี้ รู้สึกว่า ถ้าใครมาอ่านจะเข้าใจว่าผมเล่นหมากรุกเก่งนะ เพราะชอบคิดล่วงหน้าไว้หลาย ๆ ชั้น แต่เปล่าเลย หากเป็นการเล่นเกม ผมมักจะไม่ค่อยคิดมาก
ไม่ว่าเกมอะไร เพราะมันเป็นแค่เกม เล่นกับคนอื่นแพ้ ชนะ ก็แค่เกม ผมเลยชอบเล่นเกมที่เล่นคนเดียวมากกว่า เพราะมันต้องแข่งกับตัวเอง ต้องชนะตัวเองเท่านั้น

เมื่ออ่านเรื่อง กุศโลบายเพื่อความยิ่งใหญ่ แล้วก็เลยเห็นว่าสิ่งที่ผมมักจะคิดและทำนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นกุศโลบายได้ละมั้ง กุศโลบายเพื่อความยิ่งใหญ่ ไม่มีความหมายกับผมเลย แต่เมื่อนำมาใช้เพื่อการเรียนรู้ ก็นับว่าเป็นประสบการณ์อันมีค่า
เพียงไม่ใช่เพื่อความยิ่งใหญ่ เพราะผมไม่อยากยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จ เพราะความสำเร็จมันไม่มีมาตรวัด แต่เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปตามครรลองที่ดี และใกล้เคียงกับคำว่าถูต้องมากที่สุดนะ
เพื่อนผมบางคนประกาศอย่างชัดเจนเลยว่าเขาต้องการจะใหญ่ แต่ไม่ได้เป้นคนที่มีกุศโลบายใด ๆ ในการทำให้สำเร็จเลย ถึงแม้จะเก่ง แต่ก็ใช่ว่าจะใหญ่ได้เสมอไป

ผมขออยู่แบบคนเล็ก ๆ แบบนี้ดีกว่า จะอยู่อย่างยิ่งใหญ่นะ
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่เบียดเบียนโลกนี้เพียงเล็กน้อย
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่ไม่แก่งแย่งกับคนอื่น
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นภาระให้กับใครทั้งนั้น
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่มีประโยชน์อยู่บ้างกับโลกและสังคมนี้
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่พอพึ่งพาได้สำหรับครอบครับ
เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่พอพึ่งพาได้สำหรับเพื่อน ๆ และสังคม

ดังนั้น "กุศโลบายเพื่อความยิ่งใหญ่" ก็ไม่มีค่าเท่า "กุศโลบายเพื่อการใช้ชีวิตอย่างดีงาม" หรอกครับ

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฤดูฝน

ฝนตกทุกวัน เมื่อวานก็ฝนตก วันก่อนก็ฝนตก...
ผมเป็นคนที่ชอบฤดูฝน เพราะเป็นฤดูที่มีแต่ความชุ่มฉ่ำ ต้นไม้ก็เติบโต เขียวขจี
ถึงจะทำให้เกิดความลำบากในการเดินทางบ้าง แต่ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผมเลย
เพราะผมชอบตากฝน ชอบที่จะถูกน้ำฝนเย็น ๆ มากระทบกับร่างกาย ให้ความรู้สึกที่ดีเป็นพิเศษ มีความสุข ถ้าเดินทางคนเดียว ถ้าหากฝนตก ผมก็แค่เก็บของที่จะเปียกแล้วเสียหายให้เรียบร้อย แล้วก็เดินทางต่อไปได้ อย่างสบายใจ
เพียงแต่เวลานี้ ถ้าเดินทางไปไหน โดยมีคนที่ผมรักเดินทางไปด้วย คงต้องลดความชอบลง แล้วเปลี่ยนเป็นความห่วงใยแทน

เมื่อวานพอกลับถึงบ้านระหว่างที่ฝนพร่ำ ๆ กำลังดี อารมณ์ดี เข้าบ้าน ก็เจอกับซากต้นเฟิร์นก้านดำ ของผมที่เจาสองมะ ลากมาจัดการซะ
ก็เช่นเคย ไม่ได้โกรธอะไร ก็แค่เก็บ ๆ แล้วก็หวังไว้ว่าเหง้าของมันจะงอกขึ้นมาใหม่ได้นะ เจ้าสองมะ นะเจ้าสองมะ

เพราะเป็นฤดูฝนเลยต้องใส่ใจกล้วยไม้ที่บ้านซะหน่อย สำหรับใครที่ปลูกกล้วยไม้ เลี้ยงกล้วยไม้ ใช่ว่ากล้วยไม้จะชอบเปียก ๆ นะครับ
กล้วยไม้ชอบชื้น ๆ แต่ไม่ชอบแฉะ ๆ ดังนั้นฤดูฝนนี่ต้องคอยดูแลกันหน่อย รวมทั้งส่วนที่ปลูกไว้ในร่มของผม ก็เป็นช่วงที่จะเพิ่มความชื้น
ด้วยการรดน้ำเพิ่ม เพื่อให้รากเจริญซะหน่อย ให้ต้นสมบูรณ์ ๆ เข้าไว้ พอเข้าฤดูหนาวค่อยลดการให้น้ำ เพื่อกระตุ้นให้ออกดอกในฤดูร้อนพอดี
ปีก่อนไม่ได้ดูแลเต็มที่นัก ฤดูร้อนที่ผ่านมาเลยได้เห้นดอกน้อยไปหน่อย แต่ปีหน้านี่แหละ... คอยดูกันต่อไป
กล้วยไม้บางต้นก็ออกดอกง่าย ๆ ทั้งปี บางต้นก็ต้องดูแลเอาใจใส่เต็มที่ปีหนึ่งออกมาให้ดูกันซักครั้งหนึ่งนะ
แต่ทุกต้นก็เอาใจใส่เต็มที่เหมือน ๆ กัน ก่อนที่จะปลูกบ้าน ผมมีกล้วยไม้อยู่เกือบแปดสิบสายพันธุ์ เฉพาะพวกรองเท้านารีก็มีสิบกว่าชนิดเข้าไปแล้ว
ตอนนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก รองเท้านารีเหลือต้นเดียว  ชนิดเดียว เพราะล่าสุด เจ้าสองมะ ก็จัดการอีกต้นอีกพันธุ์ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง
สงสัยจะกลัวว่าผมจะต้องแบ่งสมองมาจำสายพันธุ์ของกล้วยไม้ที่บ้านมากเกินไป ตอนนี้ที่บ้านเหลือซักสิบกว่าสายพันธุ์ละมั้ง
ช่วงนี้เริ่มจัดการเวลาได้ดีขึ้นอีกหน่อย เลยว่าจะเริ่มสะสม เริ่มกลับมาเลี้ยงใหม่ ความสุขอีกอย่างของผม

ความสุขมีอยู่ทั่วไปรอบ ๆ ตัวเรานี่แหละ ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาอย่างมากมาย แค่ทำใจให้สงบ ปล่อยวาง อย่าให้ความโกรธ ความหลง เข้ามาครอบงำ
ตากฝน ดูแลเจ้าสองมะ กินข้าวบ้าน เลี้ยงกล้วยไม้ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ขี่จักรยาน ดูหนัง ทำสวน ฯลฯ
ความสุขของผมมีอยู่รอบตัว โดยไม่ต้องไปแสวงหาอะไรมากมาย
ลองมองรอบตัวเองดูนะครับ ความสุขมันก็อยู่แถวนั้นแหละ

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขนาดโคลัมบัสยังโดน นับประสาอะไร....

ช่วงนี้กำลังอ่าน "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" ของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการอยู่
ก็เช่นเคย เนื่องจากเป็นหนังสือที่เขียนมานานแล้ว ภาษาที่ใช้จึงไม่คุ้น ทำให้ผมต้องใช้เวลาในการอ่านมากซักหน่อย
แต่ก็ยังคงเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ได้เหมือนเดิม อย่างที่ผมเคยบอกไว้ หนังสือดีคือหนังสือที่เราอ่าน อ่านแล้วคิด คิดแล้วเข้าใจ
ที่อ่านไม่ได้อยากอ่านเพื่อจะสร้างกุศโลบายอะไร เพื่อให้ตัวผมยิ่งใหญ่ เพราะไม่เคยอยากยิ่งใหญ่ ไม่เคยทะเยอทะยาน
แต่ที่อ่านก็เพื่อทำความเข้าใจ และหาความรู้จากคนรุ่นก่อน ผมศึกษาอดีต เพื่อเข้าใจปัจจุบัน แล้วก็วางแผนในอนาคต..

การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้เข้าใจความคิดและความรู้ต่าง ๆ เยอะขึ้นนะ ยกตัวอย่างเรื่องอเมริกา โคลัมบัสเป็นคนค้นพบทวีปนี้ แต่ทำไมทวีปนี้ไม่ได้ชื่อว่า โคลัมบัส
นั่นเพราะ โคลัมบัส เป็นผู้ค้นพบก็จริง แต่ไม่ได้ประกาศออกไป เลยถูกคนอย่างนายอเมริโก เวสปุจจี เอาไปประกาศซะ ว่าเป็นผู้ค้นพบ แล้วก็ตั้งชื่อว่าอเมริกา
หลังจากนั้นอีกตั้งนาน กว่าโลกจะยอมรับว่า ทวีปอเมริกา ถูกค้นพบโดยโคลัมบัส ไม่ใช่ อเมริโก...
รู้สึกยังไงครับ ทวีปอเมริกา ถูกค้นพบมาสองร้อยกว่าปีแล้ว กระทั่งปัจจุบัน คนเราก็ยังคงมีคนนิสัยอย่างนายอเมริโกอยู่ด้วยตลอดมา

ก็ดีนะ เพราะเวลาที่เจอกับอาการคล้าย ๆ แบบนี้ เวลาที่เราทำอะไร แล้วโดนคนอื่นเอาไปใช้ เอาไปอ้าง ก็คิดเพิ่มได้อีกนะ ว่า ขนาดโคลัมบัส ยังโดนเลย นับประสาอะไร...

เมื่อก่อนวันอาฬาหบูชา ไปทำบุญที่วัด ที่ผมเคยบวช เจ้าอาวาสบ้านผมเคารพนับถือกัน เพิ่งจะมรณภาพ ก่อนหน้านั้นก็เคยมีการแจกบัตรสนเท่ห์ จนหลวงพี่ที่คอยดูแลวัดมาตลอดเป็นสิบปี
ช่วยอดีตเจ้าอาวาสพัฒนาวัด จนเป็นแหล่งเรียนรู้ทางพุทธศาสนาดี ๆ ต้องลาสิกขาออกไป ตั้งแต่ตอนนั้นศรัทธาที่อยู่กับวัดนี้ ก็เริ่มสั่นคลอนละ พอเจ้าอาวาสมรณภาพ การประกาศแต่งตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่
ก็เป็นพระที่ชาวบ้านว่ากันว่าเป็นองค์ที่เขียนบัตรสนเท่ห์ เพิ่งเข้ามาจำวัดได้ไม่กี่ปี ก็เป็นเจ้าอาวาสแล้ว หลวงน้า หลวงตา หลวงพี่ เก่า ๆ ที่ดูแลวัดมาตลอด ไม่ได้แต่งตั้ง แต่ไม่ได้ขัดขวางอะไร
ลองถามหลวงน้าดู ท่านตอบมาดีมาก "เขาอยากเป็น ก็ให้เขาเป็นไป เราอยู่อย่างบริสุทธิ์อย่างนี้ดีแล้ว" เป็นคำตอบที่ชัดเจนมาก เพราะหากพระยังหลงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เป็นสิ่งไม่แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ๆ แม้แต่ตัวเราเองนะ ทำไมจึงต้องขวนขวาย แสวงหาขนาดนั้น
วันนั้นที่ไปทำบุญมีคนมาทำบุญประมาณสิบครอบครัว น้อยที่สุดตั้งแต่ผมมาทำบุญที่วัดนี้ทั้งที่เป็นวันหยุด วันอาทิตย์ อาจเป็นเพราะช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษา หรืออาจเป็นเพราะศรัทธาลงลงก็ได้
ศรัทธาในวัดลดลง แต่ศรัทธาในพุทธศาสนา ยังคงเดิม บ้านผมเลยตกลงว่าจะมาทำบุญที่วัดใกล้บ้านหน่อย เดินไปได้ โดยปกติ ก้ไปทำบุญที่วัดนี้บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก แต่หลังจากนี้คงเป็นวัดทำบุญหลักละ
ก็สะดวกดี วัดที่ทำบุญบ่อย ๆ ห่างบ้านไปประมาณ กิโลกว่า ๆ แต่วัดใกล้บ้านนี่ แค่สามร้อยเมตร.. สะดวกสำหรับแม่ด้วย วัดพระที่ไม่ตรงวัดหยุด จะได้ไปทำบุญสะดวกขึ้น
แต่โดยปกติ ที่ตักบาตรทุกเช้า ก็ตักบาตรกับวัดนี้นะ ดังนั้นก็เหมือนทำบุญที่เดิม เพิ่มขึ้นนั่นเอง..
พอวันอาฬาหบูชา ก็มาทำบุญที่วัดนี้กัน คนเยอะมากกว่าทุกครั้งที่เคยมาทำบุญ.. ด้วยความที่ไม่คุ้นเคย ก็ทำอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง ไว้ปรับปรุงในคราวหน้าละกันนะ

สิ่งต่าง ๆ ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจ ในช่วงเวลาที่ผ่านไป
แม้ความคิด ความเชื่อก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่คนเราจะเปลี่ยนแปลงไปทางดีขึ้นหรือเลวลงก็เท่านั้น

เอาไว้อ่าน "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" จบแล้ว จะมาเล่าให้ฟัง
อาจจะทำให้ผมมองโลกได้กว้างขึ้น อาจจะทำให้ผมเข้าเข้ามนุษย์มากขึ้น อาจจะทำให้ผมมีความคิดดี ๆ เพิ่มขึ้น
แล้วมาลองดูกันว่าจะพัฒนาความคิดของเราได้ไหม?

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ผมเป็นแค่พืชอิงอาศัย

ในวันหนึ่ง ๆ คนเราต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากน้อยแค่ไหนกัน?
มีใครซักกี่คนที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า วันหนึ่ง ๆ ไม่ได้พึ่งพาผู้อื่น หรือสิ่งอื่น ๆ เลย
เพราะโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยกันเสมอครับ

เช้าขึ้นมา ผมก็ต้องพึ่งพา แฟนผมในการทำอาหารเช้า แฟนผมย่อมต้องพึ่งพาแม่ค้าขายข้าวสาร แม่ค้าขายข้าวสารย่อมต้องพึ่งพาโรงสี โรงสีย่อมต้องพึ่งพาชาวนา ชาวนาย่อมต้องพึ่งพา ธรรมชาติ ฝนฟ้า ถ้าอ่านความเกี่ยวข้องอย่างนี้แล้ว คุณคิดว่าส่วนไหน เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด? ลองมองย้อนกลับดูนะ ชาวนาย่อมต้องพึ่งพาโรงสี โรงสีย่อมต้องพึ่งพาแม่ค้า แม่ค้าย่อมต้องพึ่งพา ลูกค้าอย่างแฟนผม แล้วถ้าผมไม่กินข้าวเช้า แฟนผมก็คงไม่จำเป็นต้องหุงข้าว

สิ่งเดียวที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครคือธรรมชาติ ไม่ต้องมีชาวนา ฝนฟ้าก็ตกได้ แต่ธรรมชาติ อย่างหนึ่ง ย่อมต้องพึ่งพาธรรมชาติ อย่างอื่น ๆ อยู่ดี

ลองมองกลับมาที่ทำงานบ้าง คุณย่อมพึ่งพา แม่บ้าน เพื่อทำความสะอาด พึ่งพายาม เพื่อช่วยดูแลความปลอดภัย พึ่งพาเพื่อนร่วมงาน พึ่งพา ส่วนอื่น ๆ แผนกอื่น ๆ  เพื่อให้งานสำเร็จ
ไม่มีใครที่สามารถทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ
แม้แต่ชาร์ล ดาร์วิน ที่คิดทฤษฎีวิวัฒนาการ ก็ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่น
สเปนได้แชมป์ฟุตบอลโลก ก็ต้องพึ่งพาโค้ช และทีมงาน ร่วมทั้งแฟนบอลที่ให้การสนับสนุน

เพราะฉะนั้น ยังไงทุกคนก็เท่าเทียมกัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ คนเราทุกคนจึงควรเคารพกันและกันเสมอ และคนเราทุกคนควรให้ความเคารพธรรมชาติอย่างยิ่ง

ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะโกรธเกลียดกันเลยนะ เพราะยังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกันเสมอ เหมือนนิ้วมือที่ต้องทำงานร่วมกันอยู่ตลอดนั่นแหละ

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีช่องว่าง ต้นไม้ใหญ่ มักมีพืชชนิดอื่นมาอยู่ด้วย หากมาอยู่แล้วไม่ได้ทำร้าย แล้วยังช่วยดึงความชื้นให้ต้นไม้ใหญ่ เรียกว่าพืชอิงอาศัย
แต่ถ้าพืชที่มาอยู่แล้วทำร้ายต้นไม้ด้วย อาจทำให้ต้นไม้ใหญ่นั้น ๆ พิการ หรือตายได้ คงเป็นพวกกาฝาก ที่ไร้ประโยชน์

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันไปหมด ทำไมต้องโกรธ ต้องเกลียด ต้องทำร้ายกัน

ทุกวันนี้ผมใช้วิธีการคัดออก หากผู้คนที่เรารู้จัก แสดงนิสัย หรือพฤติกรรมแบบกาฝากออกมา ไม่ใช่เพราะโกรธ เพราะเกลียด แต่เพราะเกรงว่าผลของกาฝาก อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงมาที่ผมได้
และผมยังไม่อยากเป็นกาฝาก เป็นไส้ติ่ง สำหรับโลกใบนี้

ผมพยายามเป็นเพียงพืชอิงอาศัยต้นเล็ก ๆ ที่อาศัยเกาะอยู่บนโลกใบนี้
พวกคุณอยากเป็นอะไรละ สำหรับโลกใบนี้ พืชอิงอาศัย หรือ กาฝาก

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ล้อมรั้ว ล้อมใจ

สัปดาห์ก่อนโน่น ไปซื้ออิฐมวลเบามาทำบล็อคปลูกผักสวนครัว ไม่ใช่ไม่มีที่ดินจะปลูก
ธรรมดาก็ปลูกอยู่แล้วนะ แต่บังเอิญเจ้าสองมะ ก็ชอบต้นไม้เหมือนกัน แต่ชอบกัด ชอบขุด ชอบคุ้ย เลยต้องหาวิธีปลูกที่ปลอดภัยขึ้น
หลังจากทำเสร็จไปสามบล็อค ลงกาบมะพร้าว ลงดินผสม เสร็จ ทิ้งไว้วันหนึ่งก็ลงเมล็ดผักคะน้าไว้บล็อกหนึ่ง ลงแตงกวาไว้อีกบล็อคหนึ่ง
ส่วนอีกบล็อคก็เอาต้นโหระพา พริก ผักชีฝรั่งที่ปลูกไว้ในกระถางมาลง แปลงปลูกทั้งสามก็สวยเชียว กะว่าพอต้นอ่อนเริ่มงอกจะถ่ายรูปมาอวดกันละ
ผ่านไปสองวัน กลับจากที่ทำงาน แปลงปลูกทั้งสามแปลงก็กระจาย เละเทะ เศษดินเต็มพื้นบ้าน เจ้าสองมะ เอาอีกแล้ว โดยการนำของลุงมาวินข้างบ้าน
หลังจากที่ดูเชิงมาสองวัน พอต้นอ่อน กำลังจะขึ้น พวก มะมะมา (มะลิ มะระ มาวิน) ก็ลงมือทันที และประสบความสำเร็จอย่างสูง
เมื่อปัญหามีไว้แก้ และอุปสรรคมีไว้ก้าวข้าม เสาร์ที่ผ่านมาก็เลยจัดการแก้ปัญหา ด้วยการล้อมรั้ว ตรงตามสำนวนไทยที่ว่า วัวหายแล้วล้อมคอก
แต่นี่เป็น หมาลุยแล้วล้อมรั้ว ก็ไปซื้อแผ่นพลาสติกเขียว ๆ รูๆ มาเมตรละ 30 บาท ก็ซื้อมายกม้วนเลย 30 เมตร เจ้าของร้านลดให้เหลือ 800 บาท

แล้ววันเสาร์ที่ผ่านมาก็จัดการทำรั้วซะ ล้อมแปลงใหญ่ และแปลงเล็ก กลายเป็นแบ่งสัดส่วนการปลูกไปเลย ก็ดูดีนะ ส่วนจะป้องกัน พวก มะมะมา ได้แค่ไหน
คงต้องดูกันต่อไป เพราะไม่รู้ว่าวันสองวันนี่ จะเป็นช่วงลองเชิงอีกหรือเปล่า
รั้วที่ทำนี่ ก็ใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นเสา ก็ทำไม่ยากหรอก แต่ใช้เวลาเหมือนกัน ส่วนที่ท้าทายคือส่วนที่จะใช้เป็นประตู ว่าจะทำอย่างไร พอเสร็จแล้วก็พอใจนะ
ว่ายังสามารถแก้ไขปัญหาได้อีกหน่อยหนึ่ง แต่อย่างที่ว่าคงต้องดูกันต่อไป
พอทำรั้วเสร็จ ก็เติมดินลงในบล็อค เป็นการชดเชยดินที่เสียไปจากการจัดการของพวก มะมะมา
เฉพาะภายในรั้วที่กั้นไว้ก็รวม ๆ ประมาณ 20 ตารางเมตรกว่า ๆ ปลูกต้นไม้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วหลายอย่างนะ ทั้งชะอม ขนุน ส้ม ส้มจี๊ด มะนาว กระเจี๊ยบ กระท้อน แค ขิง พริก และอื่น ๆ
พยายามให้มีหลากหลาย แล้วก็พยายามจะรักษาไว้ทั้งหมด แต่บางส่วนก็เป็นไม้ใหญ่ ยืนต้น คงต้องพยายามรักษาเอาไว้ให้โตขึ้นละนะ
ส่วนนอกรั้ว ก็ยังไปล้อมไว้อีกบล็อคหนึ่ง เหมือนที่บอกไว้แล้ว แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูกัน ไว้ คราวหน้านะ

ยังไง ๆ ก็ต้องรอดูระยะยาว ว่ารั้วที่ทำจะป้องกัน ต้นไม้ไว้จากพวก มะมะมา ได้หรือไม่
บางคนอาจจะตั้งคำถามว่า ทำไมไม่ตี ไม่ทำโทษ พวก มะมะมา
ขอถามกลับว่าทำโทษไปแล้วได้อะไร? คนหลาย ๆ คน บอกว่าอย่าทำ ยังทำ ทั้ง ๆ ที่ก็พูดภาษาเดียวกัน นับประสาอะไรกับหมา ๆ พูดว่าอย่า ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก
ไม่รู้ว่าจะพูดว่าคนมันเป็นเหมือนหมา หรือหมาเขาเป็นอย่างคนดี...
ถึงจะทำโทษ ถึงจะตีไป พวกมะมะมา ก็ไม่เข้าใจหรอก อย่างมากก็แค่สงสัย ว่าตีทำไม เจ็บนะ แต่ต้นไม้ก็ไม่กลับมาเหมือนเดิมอยู่ดี
ถามต่อว่าผมโกรธไหม? ก็ไม่ได้โกรธ แค่หงุดหงิดนิดเดียว แล้วก็ขำ ๆ ก็นะ ปัญหามีไว้ให้แก้ อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้าม จะไปหงุดหงิดมันทำไม
ไม่เหมือนคนนะพูดกันภาษาเดียวกัน ห้ามแล้วก็ยังทำ ทั้ง ๆ ที่เข้าใจ นี่ซิ ที่เป็นปัญหา.. น่าเอามาเป็นอารมณ์มากกว่าเยอะ

ถ้าเอาคนเลวไปเทียบกับหมาแย่ อะไรที่มันจะทำให้โลกเราเลวลงกว่าเดิมกัน
หมามันก็แค่ขุด แค่คุ้ย แค่กัน ต้นไม้เล็ก ๆ พอล้อมรั้ว ก็ป้องกันต้นไม้ได้แล้ว
แต่คนนี่ตัดได้แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ ๆ ล้อมรั้วก็ป้องกันไม่ได้

ปัญหาจากหมา ๆ นี่ ยังพอป้องกันได้ แต่ปัญหาจากคนนี่ซิที่ป้องกันได้ยาก 
ลองไปหาโฆษณาชุด ขอโทษ ประเทศไทย ที่กำลังโดนแบน อยู่ช่วงนี้ดูนะครับ
แล้วลองย้อนดูตัวเองว่า เป็นอย่างนั้นหรือไม่
ยังไงก็เริ่มจากการป้องกันจิตใจของตัวเอง ให้ออกห่างจากการเห็นผิดเป็นชอบก่อนแล้วกัน

แกงส้มดอกแค แล หมูกระทะ

วันเสาร์ที่ผ่านมาได้ไปกินหมูกะทะ บุฟเฟ่ต์ กินไม่อั้น ราคาเดียว 109 บาท
แน่ละ ไปกันสองคน แล้วก็เป็นคนที่กินไม่เยอะทั้งคู่ แต่ได้เหตุผลที่ว่า มีอาหารให้เลือกเยอะ
ด้วยราคานี้ กินได้ตั้งหลายอย่าง ก็ไปนั่งกินกันสองคน ระหว่างนั้นก็มองดูโต๊ะรอบข้าง
แต่ละโต๊ะ เต็มไปด้วยจานอาหารสด คิดว่าจนเกินกว่าที่คน ๆ หนึ่งจะกินได้นะ
แล้วก็กินกันอย่างหิวกระหาย เหมือนไม่เคยกินมาก่อน หรืออดอยากมาหลายวัน
ผมก็นั่งไปค่อย ๆ กินไป เกือบชั่วโมงก็กลับบ้าน ใช้เวลาไปเกือบ ๆ ชั่วโมง
อิ่มมาก ๆ แต่จานอาหารเล็ก ๆ ที่เอามากินกันก็ประมาณสิบจานได้ละมั้ง

จนกลางคืนก็เกิดอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ซะอย่างงั้น เป็นคนเดียวอีก แฟนไม่เป็นไรเลย
นอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะกินเนื้อสัตว์มากไปหน่อย ร่างกายไม่ค่อยชิน เลยเป็นอาการแบบนี้
จนวันอาทิตย์ก็ยังเพลีย ๆ ทั้งวัน แล้วก็ไม่อยากกินอะไรอีกด้วย ร่างกายมันเนือย ๆ ไปเลย

ร้านอาหารแบบกินไม่อั้นนี่เป็นร้านที่เล่นกับความโลภของคนนะ
หากคุณเข้าไปในร้านเพื่อกินแค่อิ่ม โดยต้องการกินอาหารหลากหลาย และควบคุมราคาได้ ก็สามารถไปกินได้
เมื่อคุณเข้าไปนั่งลองสำรวจดูรอบ ๆ ตัว คุณจะเห็นคนโลภ ที่กินอาหารมากเกินพอดี
คนตะกระตะกรามที่พยายามยัดทุกอย่างเข้าไปในท้องตัวเองให้มากที่สุด
คนที่พยายามจะเอาอาหารสดบางส่วนกลับบ้าน นี่ หนักหน่อย กินแล้วยังโกงอีก
มองแล้วก็เห็นละว่ามนุษย์ และโลกเรายังคงเป็นอย่างนี้อยู่
เพราะความโลภบังตา บังใจ เลยพยายามกินเข้าไปให้มากที่สุด เพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด

ยังดีนะที่ผมกับแฟนไม่ได้กินเพื่อให้คุ้มค่า ไม่อย่างนั้นผมคงอาการหนักกว่านี้ละมั้ง
แต่ก็ยังสามารถไปกินได้อีกนะ อาหารหลากหลาย ควบคุมราคาได้
แต่คราวหน้าคงลดลงบ้างแล้ว... ทั้งการกินเนื้อสัตว์ และความโลภ

แล้วถ้าเลือกได้ก็ขอไปเก็บดอกแคหลังบ้านมาทำแกงส้มกินที่บ้านอร่อยกว่า....

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แม่น้ำคุ้งเคี้ยวคด ควรจร

ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ก็รักษาสุขภาพกันหน่อยนะครับ
เกือบเดือนมาแล้วไม่ได้เขียนเลย มัวแต่ดูบอลโลกซะอวันนี้เลยเอาซะหน่อยนะ
ถึงไม่ได้เขียนอะไร แต่ใช่ว่าชีวิตจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมนะครับ
บอลโลกที่จบไปก็สมใจผมละ ทีมที่ผมชอบได้ถ้วยไปครองจนได้ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ความจริงผมแค่ชอบฟุตบอล ทั้งลงไปเล่น แล้วก็ดูนะ ส่วนเวลาที่จะเชียร์ใคร ก็ดูตอนเล่นเลยละกัน
อย่างคู่บราซิลกับฮอลแลนด์ ก็ชอบทั้งคู่ แต่พอเริ่มดูถึงจะรู้ว่าเชียร์ฮอลแลนด์ ก็เพราะว่าเป็นผมละน่ะ
ผมไม่รู้ว่าคนที่ดีใจ เสียใจ ขนาดหนัก เวลาที่ทีมตัวเองเชียร์แพ้ ทำไมถึงเป็นกันได้ขนาดนั้น
หรือคนที่ดีใจสุด ๆ เวลาทีมตัวเองเชียร์ เล่นชนะ ก็เหมือนกัน อย่างบางคนที่เรียกตัวเองว่าสาวก ทีมนั้น ทีมนี้
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อาจเป็นเพราะ ผมไม่ใช่พวกที่ชอบหรือเกลียดอะไรสุดขั้วได้ละมั้ง ก็ดีไปอย่าง...

นอกจากบอลโลก ช่วงที่ผ่านมาก็เรียนรู้ชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย ได้รู้จัก ได้ศึกษา มนุษย์ เพิ่มขึ้น ทั้งคนที่เห็นแก่ตัว คนที่เผื่อแผ่
คนที่เอาเปรียบคนอื่นเสมอ คนที่ยอมคนอื่นเสมอ คนที่เอาแต่ใจ คนที่ชอบตามใจคนอื่น ๆ คนที่เห็นการทำผิดเป็นชอบ
คนที่รู้ว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่ยอมทำ คนที่มัวแต่ขโมยงานคนอื่น จนตัวคิดงานเองไม่เป็น คนที่คิดงานดี ๆ ได้ แต่มองวิธีทำให้สำเร็จผิด
คนที่คอยขัดแข้งขัดขาคนอื่น เวลาที่เขากำลังจะทำดีแล้วได้ดี คนที่ไม่เห็นความสำคัญของคนอื่น ถึงแม้จะเก่ง แต่ไม่ใช่พวกพ้องตัวเอง

เพราะมนุษย์ ยังคงเป็นอย่างนี้อยู่ โลกจึงอยู่ในสภาพอย่างนี้ สังคมจึงเป็นแบบนี้
ผมก็ได้แต่ศึกษา แล้วถอยออกมาห่าง ๆ คอยดูคนเหล่านี้เฉย  ๆ พยายามไม่ไปคลุกคลีด้วย
น่าแปลกที่กลับเป็นตัวผมเองที่รู้สึกว่าแปลกแยกไปจากคนอื่น คนอื่นมองมาที่เราแปลก ๆ ขวางโลก
เหมือนเวลาที่มีคนพูดว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่ถ้าเป็นเป็นเรื่องไม่ดี ก็ยังจะทำตามเหรอ เห็นความกระโดดลงบ่อโคลน เราต้องกระโดลงตามหรือ
ที่เขียน ๆ มานี่ ไม่ใช่ว่าผมจะเป้นคนดีพร้อมนะครับ ก็ยังเป็นคนธรรมดาที่พยายามจะดีแค่นั้นเอง

ด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ที่เข้ามา ทำให้รู้สึกเสื่อมศรัทธาในมนุษย์ลงไปอีกนะ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ว่าคงจะมีคนดี ๆ อยู่บ้าง
ปี ๆ หนึ่ง ได้พบได้รู้จักคนดี ๆ เพิ่มขึ้นแค่คนเดียวก็คุ้มแล้ว แม้ว่าปีหนึ่ง ๆ จะพบจะรู้จักคนเลวเป็นร้อยคนก็ตามนะ

ช่วงนี้เลยหันมาอ่านโคลงโลกนิติ อย่างจริง ๆ จัง ๆ เพื่อศึกษาความรู้จากคนรุ่นเก่า ๆ แนะนำให้ลองหามาอ่านนะครับ
แล้วก็หาแบบที่มีการอธิบายมาด้วยเลย เพราะคำที่ใช้ในโคลงหลาย ๆ คำ โบราณ หรืออาจไม่ได้ใช้แล้ว อาจจะเข้าใจยาก ถ้าอ่านเฉยๆ
แต่ขอยืนยันครับ ว่าเพราะและมีประโยชน์จริง ๆ ถ้า อ่านแล้วคิด คิดแล้วพิจารณา พิจารณาแล้วเลือกมาปฏิบัติ
มีทั้งคำเตือน คำสอน คำแนะนำ ดี ๆ ครับ

เลยขอจบด้วยบทหนึ่งจากโคลงโลกนิติ เลยแล้วกัน

แม่น้ำคุ้งเคี้ยวคด    ควรจร
เหล็กคดทำเคียวรอน    ไร่เข้า
ไม้กระทดกระทำทอน  ทุกที่  กงนา
คนคดดั่งคูถเหน้า  บ่ต้อง  การงาน

แม่น้ำคดเคี้ยว ก้ยังใช้เดินทางไปไหนมาไหนได้นะ เหล็กคดก้เอามาใช้ทำเคียวได้อีก
ไม้คดยังเอามาทำกงล้อเกวียนได้อยู่ แต่ไอ้คนคดนี่ซิ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ น่ารังเกียจที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เพื่อน.. คนรู้จัก.. คนที่เดินผ่านกัน..

ไม่ได้เขียนอะไรซะนาน เรื่องราวต่าง ๆ ในหัวก็เยอะแยะ อาจทำให้เก็บมาคิดมากเกินไปได้ เอาออกมาซะบ้างนะ
เดือนนี้ผ่านเรื่องราวหลายอย่างทั้งดีและไม่ดีนะ ได้พบเพื่อใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ ได้นั่งดูฟุตบอลโลก ได้เล่นเกมใหม่ ๆ
เลยไม่ได้เขียนอะไรเลย ลองเอาออกจากหัวมาเล่าสู่กันฟังละกันนะครับ
เอาเรื่องดี ๆ ก่อนนะ พวกคุณอาจจะไม่เชื่อ ว่าผมโชคดีได้ LCD TV 32 นิ้ว จากการเล่นเกมในอินเตอร์เน็ต!
ไม่ต้องงง ได้มาแล้ว โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เพราะการเล่นเกมของผม หากไม่แข่งกับตัวเกมเอง ก็แข่งกับตัวเอง หรือแข่งกับเพื่อน
แล้วก็ไม่เคยเก็บมาเครียด หรือเป็นอารมณ์กับมันนะ เกมนี้ก็เหมือนกัน ก็เล่นแข่งกับเพื่อ เพราะคะแนนไม่ได้นำเหมือนคนอื่นเขา
แต่คนที่นำอยู่โดนตัดสิทธิ์ เพราะเล่นผิดกติกา เลยได้รางวัลมา ก็แปลกใจนะ แต่ถือว่าเป็นโชคดีละกัน
ส่วนเรื่องไม่ดีก็คือมีคนพยายามร้องเรียนว่าผมทำผิดกติกา ถึงขนาดเอาข้อมูลส่วนตัวผมไปโพสต์บนอินเตอร์เน็ต
ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรนะ นอกจากบอกให้เขาเอาข้อมูลผมออก แต่ผมไม่สละสิทธิ์นะเพราะคิดว่าผมไม่ได้ผิดอะไร
จนวันเข้าไปรับรางวัลถึงรู้ว่า คนหรือกลุ่มคนที่ร้องเรียนเรื่องผมนะ เป็นกลุ่มที่ได้รางวัลรองจากผม เจตนาชัดเจนกันมาก
เพราะเล่นกันเป้นกลุ่ม ได้รางวัลทั้งกลุ่ม เพราะพยายามผิดกติกา จึงคิดว่าคนอื่นต้องทำผิดเหมือนตนด้วย
น่าเศร้าใจกับบ้านเรานะ เพราะยังงี้ละมั่ง บ้านเราถึงไม่เจริญดี ๆ กันซะที เพราะคนบ้านเรา พยายามที่จะจับผิด โดยตัวเองทำผิด และเพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง
พยายามใส่ความผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง โดยไม่มองถึงความถูกต้อง
อายุไม่ได้เป็นเพียงจำนวนปีที่เราได้อยู่ในโลกใบนี้นะครับ มันหมายถึงสิ่งที่เราเรียนรู้ตลอดมา และสิ่งที่เราจะสอนไปสู่คนรุ่นต่อไปด้วย
เรื่องดี ๆ อีกเรื่องคือเดือนนี้ได้ไปปลูกป่าชายเลนที่สมุทรสงคราม กับเพื่อนในเว็บ Play3Thai.com ก็ได้ทั้งความสนุกความสุขใจ และได้รู้จักคนใหม่ ๆ เพื่อนใหม่ ๆ
เป็นประสบการณ์ที่ดีนะครับ หากในหนึ่งปีรู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ดี ๆ เพิ่มซักคนนึงก็คุ้มแล้ว
พอปลูกป่าเสร็จ พวกจาก P3T ก็ไปเที่ยวหัวหินกันต่อ ผมกับเพื่อนก็กลับกรุงเทพฯ ก่อนกลับพี่เอก็ชวนไปไหว้พระที่ค่ายบางกุ้ง Unseen Thailand ที่โบสถ์มีต้นโพปรกทั้งโบสถ์น่ะ
แล้วก็ไปต่ออัมพวา ทั้งที่ฝนตก ๆ นั่นแหละ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ กินกันอ้วนเลย อัมพวาตอนนี้มีของกินกับงานศิลป์ แล้วก้เริ่มมีร้านเหล้าซะแล้ว
ถ้าอัมพวาพัฒนาไปมากกว่านี้ เสน่ห์ของอัมพวาอาจจะหายไปก็ได้นะ

ส่วนช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงอารมณ์ที่ต้องเรียกว่าอึมครึมนิดหน่อย เพราะงานเยอะละมั่ง
แต่คงไม่เป็นไรหรอก เพราะเดี๋ยวฝนตก ฟ้าก็ใสแล้ว บางทีดีกว่านั่น อาจได้เห็นรุ้งด้วยนะ..

ถ้าต้องโกหก เพื่อความก้าวหน้า
ขอพูดความจริง แล้วเดินไปช้า ๆ ดีกว่า
ถ้าคบกันนับถือกัน แต่ไม่ให้ความจริงใจให้กัน
ขอเป็นเพียงคนรู้จัก ไม่ต้องเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกันดีกว่า
ถ้ารู้จักกัน แต่ยังโกหก หักหลังกัน
ขอเป็นเพียงคนที่เดินผ่านกันดีกว่า


ขอบคุณรูปจากคุณนาย (ninewit) play3thai.com

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แปลกแยก...

เคยรู้สึกว่า เราไม่ใช่คนของที่นี่ ทั้งที่เราอยู่ที่นั่นมานานแล้วไหม?
ตอนนี้ผมรู้สึกประมาณอย่างนั้น จะนั่งอยู่ตรงไหน ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ที่ของเราเลย ทั้งที่เคยนั่งมาตลอด
จะรู้สึกดีขึ้นก็ตอนที่มานั่งคนเดียวนี่แหละ ใครรู้บ้างว่าเป็นเพราะอะไร...
เพราะเรารู้จักตัวเองมากขึ้น จึงทำให้ต้องหาหนทางใหม่ ๆ วิธีการใหม่ ๆ
เพราะเรารู้จักสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ดีขึ้น จึงรู้สึกชินชากับสิ่งแวดล้อม
เพราะเรารู้จักด้านอื่น ๆ ของคนรอบข้างมากขึ้น จึงรู้สึกว่าเกิดความแตกต่าง

นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกแยกใช่ไหม? จะมีผลกับชีวิตไหม? จะมีผลกับการใช้ชีวิตไหม?
ผมเองมีความรู้สึกแบบนี้นาน ๆ ครั้ง แต่ช่วงหลัง ๆนี่ รู้สึกว่าจะเป็นบ่อย...
น่าจะเป็นเพราะหาคำตอบให้กับคำถามต่าง ๆ ในหัวตัวเองไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ดีละมั้ง
พยายามทำความเข้าใจในตัวคนอื่น ก็ยังเข้าใจได้ยากอยู่ดี..
ที่ ๆ สบายใจที่สุด คือบ้านของตัวเอง
คนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด คือคนที่บ้าน
อยู่ด้วยกัน ถึงไม่ได้นั่งคุยกัน ก็รู้สึกว่าไม่อยู่โดดเดี่ยว
ดีนะที่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น แล้วไม่เก็บความรู้สึกแบบนี้ไว้นาน...
ไม่งั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้าได้...
พยายามมองทุกอย่างเข้าไปข้างใน เพื่อทำความเข้าใจถึงความเป็นไปของพวกมัน...
ถ้าเข้าใจทั้งหมด คงไม่มีอาการแบบนี้ แต่ตอนนี้ยังเข้าใจไม่หมดเลยนะ..