วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โลกใบใหญ่ ในสายตาของหนู (มะลิ)

หนูมะลิตอนเด็ก ๆ
ตอนเด็ก ๆ เมื่อแรกที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่ พร้อมด้วยพี่ชาย จะให้ทำยังไงกับสิ่งที่เราทั้งสองต้องเผชิญกันละ บ้านใหม่ สถานที่ใหม่ คนแปลกหน้า ห่างไกลแม่แท้ ๆ ไม่รู้ว่าเราทั้งสองจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง อาหารการกิน ก็ดีอยู่หรอกนะ ที่หลับที่นอนก็ใช้ได้ ต้นไม้เยอะ เพื่อนตัวเล็ก ๆ ก็แยะ เล่นสนุกได้ทั้งวัน จนเมื่อมาอยู่ได้สองสามวัน เช้าวันหนึ่ง เราทั้งคู่ก็ตกเป็นผู้ถูกกระทำ สิ่งที่เด็กอย่างเราไม่เคยต้องประสบมาก่อน ระหว่างที่พ่อกับแม่จับพี่ชายจัดการเป็นครั้งแรก หนูเห็นว่าเขาเงียบไม่พูดไม่จาก้มหน้ายอมรับชะตากรรม ในการที่ยอมให้พ่อกับแม่จัดการได้ตามใจ แต่ไม่ใช่หนู หนูจะยอมให้คนอื่นมาจับเนื้อต้องตัวง่าย ๆ ได้ยังไง ก็ต้องกรีดร้องเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครสนใจเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อย่างหนูเลย ไม่ว่าหนูจะร้องคร่ำครวญแค่ไหนหรือส่งเสียงให้ดังเพียงไร ก็ไม่มีใครสนใจ โลกนี้ใจร้ายจริง ๆ หนูส่งเสียงร้อง พร้อมกับมองพี่ชายซึ่งโดนจัดการไปก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็ไม่กล้ามาช่วยหนูอยู่ดี หนูหนาว หนูไม่รู้จะไปพึ่งใคร จนพ่อกับแม่จัดการเสร็จเรียบร้อย สีหน้าเหนื่อยอ่อน แต่มีความสุข พลางถอนใจ หนูจะจำไว้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าการ “อาบน้ำ” อยากจะบอกว่าพอโตมานี่หนูชอบอาบน้ำเป็นที่สุดนะ เห็นพ่อกับแม่ลากสายยาง เตรียมอุปกรณ์อาบน้ำเป็นไม่ได้ ต้องรีบเข้าไปอ้อนเพื่ออาบน้ำเชียวละ ผู้หญิงก็ยังงี้ละค่ะ รักความสะอาด รักสวยรักงาม เป็นธรรมดานะ 

ลืมแนะนำตัวไป หนูชื่อ “มะลิ” พ่อกับแม่เรียกหนูแบบนี้ บางทีก็เรียกหญิง บางทีก็เรียกเขลอะ หนูคิดว่าตัวเองเป็นสาวสวย น่ารัก เสมอ ก็แม่ชมหนูอยู่บ่อย ๆ นี่นา นิสัยหนูก็ชอบวีน ชอบเหวี่ยง บ่นโน่น บ่นนี้ ไปตามเรื่องตามราว ช่างฝัน เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง เชอะ ก็หนูเป็นเจ้าหญิงประจำบ้านนี่นา แต่มีเรื่องนึงที่หนูไม่เชื่อแน่ ๆ เกี่ยวกับตัวหนู พ่อกับแม่บอกว่า หนูชอบนอนละเมอ ละเมอวิ่ง ละเมอเห่า ตะกุยอากาศ อะไร ประมาณนี้ แต่หนูไม่เชื่อหรอก สาวสวยอย่างหนู่จะนอนละเมอได้ยังไงกัน เนอะ ๆ
นอกจากนี้นะ พ่อยังชอบว่าหนูซนมาก แม่ก็ชอบว่าหนูโตช้า ทำตัวเป็นเด็ก แต่แม่บอกว่าเป็นอย่างนี้ดีแล้ว หนูรักแม่แล้วก็ชอบให้แม่อุ้มที่สุดเลย พอแม่อุ้มหนูหนูจะมีความสุขที่สุด แล้วแถมยังได้มองหน้าพี่ชายตัวแสบเพื่อเยาะเย้ยที่แม่ไม่อุ้มเขามาตั้งนานแล้วอีกด้วยนะ

พอละวันนี้ ไว้หนูจะมาเล่าเรื่องราวของหนูกับพี่ชายนายมะระ ให้ฟังใหม่นะคะ ขอตัวไปแกล้งพ่อก่อนนะ

ชอบให้แม่อุ้มที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โลกใบใหญ่ ในสายตาของผม (มะระ)

เกือบ 6 ปีก่อน ผมเกิดมาในบ้านเล็ก ๆ พร้อมกับพี่น้อง โดยไม่เคยได้รับรู้ว่าพ่อของผมเป็นใครมาจากไหน ลืมตาขึ้นมาก็ต้องดิ้นรนแย่งกันกินนมแม่ ซึ่งผ่ายผอมจากการที่ต้องอุ้มท้องพวกเรามาโดยที่ไม่มีการเสริมอาหาร หรือบำรุงร่างกายเป็นพิเศษ เมื่อโตมาอีกนิดพอจะเดินได้ก็ต้องแย่งกันกินข้าวเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดต่อไป วัคซีนหรืออะไรที่น่าจะได้รับตอนแรกเกิดก็ไม่เคยได้รับ เนื่องจากการที่ต้องต่อสู้ดินรนตั้งแต่แรกเกิด ทำให้ผมมีความหวาดกลัวต่อโลกและคนแปลกหน้าเข้ามาด้วย 
เมื่อผมเริ่มเดินได้เก่งขึ้นและหย่านมแล้ว มีผู้ชายหน้าตาดุ ๆ และผู้หญิงสวย ๆ มาที่บ้านของแม่ผม 
ผมเห็นผู้ชายคนนั้นมองผมตั้งแต่แรกที่เข้ามา แล้วยังไปพูดอะไรบ้างอย่างกับผู้หญิงคนนั้น เธอก็มองมาที่ผมแล้วมองผ่านไปยังหนึ่งในน้องสาวด้วย แล้วผู้ชายก็เดินเข้ามา พยายามจะจับตัวผม ผมพยายามหลบเข้าไปอยู่โต๊ะ แต่ก็ยังไม่รอดพ้นมือเขาไปได้ น้องสาวตัวเล็กของผมก็โดนผู้หญิงคนนั้นจับไปเหมือนกัน ทั้งผมและน้องถูกจับไปขังไว้ในกล่องแล้วพาออกไปจากบ้าน บ้านของแม่ผม บ้านที่ผมเกิดมา นี่ผมจะไม่ได้เห็นหน้าแม่อีกแล้วซินะ ระหว่างที่พวกเขาพาผมกับน้องไป ผมได้แต่นั่งเงียบด้วยความกลัว ส่วนน้องสาวก็ส่งเสียงร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยเราเลย โลกใบใหญ่นอกบ้านของแม่ ช่างโหดร้าย ไม่มีใครสนใจจะช่วยเหลือเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ถูกจับมากันเลยหรือนี่
มะระ กับ มะลิ ตอนอายุ 3-4 เดือน

พวกเขาพาผมมาไว้ที่บ้านอีกหลังนึง บ้านซึ่งดูเหมือนเพิ่งผ่านงานรื่นเริงมาเมื่อวานนี้นี่เอง มีผู้ชายอีกสองคนช่วยกันจับผมกับน้องสาวขังไว้ในกรงไม้ไผ่แคบ ๆ โคนต้นมะม่วง นี่ผมสองคนกับน้องจะต้องโดนอะไรบ้างนะ ในขณะที่น้องสาวผมนั่งตัวสั่นด้วยความกลัว ผมแกล้งทำเป็นนิ่งว่าไม่กลัว แล้วคอยปลอบใจน้องอยู่ตลอดเวลา

ยังดีที่พวกเขายังเอาข้าว เอาน้ำมาให้พวกเรากินแก้หิวบ้าง แรก ๆ ผมก็ไม่กล้ากิน แต่พอน้องผมเริ่มกิน ผมก็กินบ้าง ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้อนาคตตัวเองอยู่ดี รู้แต่ว่ายังไงก็คงต้องท้องอิ่มไว้ก่อน เมื่ออิ่มแล้วผมกับน้องก็เผลอหลับไปตรงโค่นต้นมะม่วงตรงนั้นเอง
รู้สึกตัวตื่นอีกที ด้วยเสียงพูดคุยถกเถียงกัน ผมกับน้องจ้องมองพวกเขาด้วยความตระหนก จนในที่สุดเข้าก็สรุปกันได้แลก็พูดว่า “ชื่อมะระก็แล้วกัน ส่วนตัวเล็กชื่อมะลิ น่ารักดี

ตั้งแต่วันนั้นหมายไทยพันธ์ทางอย่างผมผมก็ได้ชื่อว่า “มะระ” ส่วนน้องสาวตัวเล็กก็ชื่อ “มะลิ” แล้วก็ย้ายมาอยู่ในบ้านพ่อกับแม่เป็นการถาวร
โลกของผมก็ใหญ่ขึ้นมาอีกนิดนึง ไว้จะมาเล่าเรื่องราวของผมต่อคราวหน้า  ค่อยติดตามกันนะครับ
มะระ ตอนอายุซัก 3-4 เดือน

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บุญผะเหวด แห่ผีตาโขน ๒๕๕๗

เที่ยงวันผีตาโขนก็ต้องมีพักผ่อนกันบ้าง
ถอดหัวผีออกพักกันอยู่ข้างโบสถ์
ออกมาจากเชียงคานละ ทิ้งเรื่องราวค้างคาใจไว้ที่ริมแม่โขง เช้าวันต่อมาก็ออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าสู่อ.ด่านซ้าย เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ ขับรถออกจากที่พักแถวถ้ำผาปู่ ขับรถขึ้นภูเรือบนทางหลวงหลายเลข 203 ช่วงเริ่มต้นของการเดินทาง เห็นเป้าหมายเป็นสัปปะรดข้างทาง ที่ชาวบ้านเอามาขาย เห็นกำลังขนลงจากรถอีแต๋นเล็ก ๆ เลยแวะซื้อและสอบถามด้วยความอยากรู้ว่าพันธุ์อะไร "อ๋อ ก็พันธุ์บ้านเรานี่แหละจ้า" ได้คำตอบเลยว่ากำลังชิม สัปปะรดพันธุ์บ้านเราอยู่นะ ขับรถตามเส้นทางบนภูเรือด้วยความสบายตา สบายใจ
แตกต่างกับความหดหู่ที่พบเห็นจากช่วงภูหลวง ภูหอ ถนนยังดี ป่าข้างทางยังเขียวขจี ทิวทัศน์ข้างทางแบบนี้แหละ ที่เหมาะกับการเดินทางเพื่อการพักผ่อนจริง ๆ ขับเรื่อย ๆ สบาย ๆ ระหว่างทางเห็นรีสอร์ท กับร้านกาแฟริมทาง เรื่อย ๆ ไม่ต้องกลัวเหงา หรืออยากเติมคาเฟอีนก็ลองเลือกดูเอาซักร้านนึง ใช้ชีวิตเดินทางท่องเที่ยว อย่าคาดหวังอะไรมาก อย่าเชื่อคู่มือท่องเที่ยวไปซะหมด ถ้าเชื่อหมด จะเหลืออะไรไว้ให้ค้นหา ให้จินตนาการ กันเล่าพ่อนักเดินทางทั้งหลาย


ใช้เวลาซักชั่วโมงครึ่งก็เข้าสู่อ.ด่านซ้ายเกือบ เวลาเกือบ 10.30 น. การจราจรเริ่มติดขัด ตัดสินใจจอดรถหน้าโรงพยาบาลแล้วลงเดินทาง เป้าหมาย "วัดโพนชัย" จุดเริ่มต้นของบุญผะเหวด
แล้วบุญผะเหวด และประเพณีผีตาโขน คืออะไรล่ะ? ขอเล่าให้ฟังในฐานะคนเดินทางคนนึง อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะเป็นเพียงประสบการณ์ที่พบเห็นกับเรื่องที่ได้คุยกับผู้คนที่อยู่ในพื้นที่นะครับ


งานบุญผะเหวด เป็นงานบุญมหาชาติ ที่กล่าวถึงพระเวสสันดร ถือเป็นงานบุญหลวงของชาวอีสาน  จัดขึ้นในช่วงเดือน 7 ซึ่งไม่ได้มีแต่ที่จ.เลยนะครับ ตามภาคอีสาน หรือภาคเหนือก็มี อย่างงานบุญบั้งไฟ นั่นก็ใช่ โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 3 วัน วันแรก (27 มิ.ย. 57) เป็นวันโฮม แต่เช้ามืดมีพิธีเบิกพระอุปคุตต์ เพื่อนำมาร่วมบุญ วันที่สอง (28 มิ.ย. 57) เป็นวันแห่ผะเหวด วันนี้เป็นวันที่จะมีการแห่แหนขบวนของผีตาโขน ขบวนของเจ้าพ่อกวน เจ้าแม่เทียม "ผีตาโขน" เป็นคำที่กลายมาจากคำว่า "ผีตามคน" ที่ได้รับอิทธิพลจากมหาเวสสันดรชาดก ที่เมื่อพระเวสสันดรและพระนางมัทรี จะเสด็จกลับจากป่าเข้าสู่เมือง เหล่าสัตว์ป่าและผีสางนางไม้ ต่างก็เศร้าใจ อาลัยในการลาจาก จึงพากันตามมาส่งเข้าสู่เมือง ซึ่งผีตาโขน จะแบ่งเป็นผีตาโขนเล็กที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป แต่งตัวใส่หน้ากาก และผีตาโขนใหญ่ ทำจากไม้ไผ่สานทำเป็นผีใหญ่กว่าคนร่วมสองเท่า โดยเมื่อเสร็จงานแห่แหนแล้ว พอพลบค่ำ ก็จะมีการนำผีตาโขนใหญ่ไปทิ้ง เพื่อเป็นการทิ้งโชคร้าย ทิ้งความเศร้าโศก วันที่สาม (29 มิ.ย. 57) วันสุดท้าย แต่เช้ามืดจะมีการเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ ที่วัดโพนชัย เพื่อเป็นกุศลศิริมงคลแก่ผู้มาร่วมงานบุญ

ผมมีโอกาสเข้าร่วมงานประเพณีนี้แค่วันเดียวคือวันแห่ผีตาโขน ความสนุกสนาน ความคิดสร้างสรรค์ ยังบวกรวมกับวัฒนธรรมเก่าดั้งเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ ภาพผีตาโขนใหญ่ ที่แบ่งผู้ชาย ผู้หญิงชัดเจน หรือผีตาโขนน้อย จำนวนมาก สีสันหลายหลาย การเต้นรำที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของผีตาโขน การร่ายรำที่อ่อนช้อยงดงามไม่หยุดของเหล่าคนทรงเทพ ขบวนเสลี่ยงของเจ้าพ่อกวน เจ้าแม่เทียม 

เต้นกันไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ขบวนร่ายรำตาม ขบวนแห่เจ้าพ่อกวน เจ้าแม่เทียม
 ทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัส ตื่นตาตื่นใจ ชวนให้หลงใหล ไปกับชาวบ้าน ที่วัดโพนชัย จะเป็นจุดที่ขบวนผีตโขนทุกขบวนมาจบลง เหมือนเป็นการส่งพระเวสสันดรกลับสู่เมืองนั่นเอง
ภายในวัดโพนชัย ยังมีพิพิธภัณฑ์ผีตาโขน ให้เข้าไปศึกษา และหลวงพ่อใหญ่ที่สวยงานอยู่ในอุโบสถอีกด้วย

ไปร่วมงานบุญงานประเพณีเขาด้วยความกลมกลืนอยากรู้อยากเห็น ประทับใจกับงานกับผู้คนกับวัฒนธรรม ประเพณี เสียอย่างเดียวไม่มีโอกาสชิมข้าวโพดตักหงาย ที่เขาว่ากินเพลิน กินอร่อยจนลืมตัว กินเสร็จลุกขึ้น อิ่มจนหงายหลังไม่รู้ตัว ข้าโพดชื่อดังของด่านซ้ายเลยคราวนี้ แล้วก็ยังไม่ได้รู้เลยว่าพวกคนที่เอาโลนชุบตัวเดินในขบวนมีความหมายยังไง ไว้ปีหน้าฟ้าใหม่ เวลาเป็นตา โอกาสเป็นใจ ค่อยมาเยือนใหม่นะ ผีตาโขน ด่านซ้าย
มนุษย์โคลนในขบวนแห่ ยังไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร?
ขบวนแห่จากอำเภอต่างๆ เพื่อไปวัดโพนชัย
ผีตาโขนเล็ก
ผีตาโขนใหญ่ ผัว เมีย