วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ฉลองครบรอบเมืองหลวงเก่า นารา 1300 ปี ที่ญี่ปุ่น

คนเรานี่ได้ลองของใหม่ก็ย่อมตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา คราวนี้ได้ลองของใหม่หลายอย่าง เริ่มจากการเดินทางด้วยแอร์พอร์ตลิงค์ ครึ่งชั่วโมงถึงสุวรรณภูมิ สุดยอด.. ตรวจคนเข้าเมืองที่ญี่ปุ่น เพิ่มระบบการสแกนนิ้ว แล้วก็ถ่ายรูปใหม่... ก็ตื่นเต้นดี
เที่ยวนี้มาพร้อมกับดาราดังของไทยเราด้วย อัธยาศัยก็เหมือนดาราทั่วไป แต่ผู้ชายเขาก็ดีหน่อย มีทักทาย มียิ้มให้ด้วย ส่วนผู้หญิงหน้าเป็นจวักตลอด แล้วยังสูบบุหรี่อีกด้วย.. คงเป็นตัวตนจริง ๆ ของเขาละมั้งนะ

มานาราคราวนี้ พร้อมฉลองครบรอบนารา ที่เคยเป็นเมืองหลวงเมื่อ 1300 ปีก่อน มีการจัดงานเยอะแยะ เลยแปลกหูแปลกตาไปบ้างกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายมหาศาลในเมืองนารา
ที่เคยเป็นเมืองเงียบสงบ ก็คึกคักขึ้นมากเลยทีเดียว เขามีการนำเอาเครื่องดนตรี คงเป็นประเภทพิณ มั้ง อายุ 1300 ปี มาจัดแสดงด้วย คนให้ความสนใจกันมหาศาล
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เป็นชาวญี่ปุ่น เห็นแล้วก็สะท้อนใจ บ้านเขาภูมิใจในประวัติและตัวตนแห่งชาติพันธุ์ของตัวเอง พิพิธภัณฑ์ถึงจะเก็บค่าเข้าชมก็ยังมีคนเข้าชมกันมากมาย
ส่วนบ้านเราค่าเข้าชมถูกแสนถูก เวลาไปพิพิธภัณฑ์ที เห็นแต่ชาวต่างชาติ... ถ้าไม่ภูมิใจและสนใจในชาติพันธุ์ของตัวเอง แล้วเราจะพัฒนาไปกันยังไง
พอมานาราช่วงที่ดี ๆ แบบนี้ เลยต้องออกเดินทางไปชื่นชมความงามของเมืองที่มีมรดกโลกอยู่ซะหน่อย ปัญหามีอยู่นิดเดียว คราวนี้ที่พักอยู่ไหนนะ บังเอิญไปได้ที่พักอยู่แถว ๆ Shin-Omiya
จากสนามบินก็เหมือนเดิม ไปขึ้นลีมูซีนบัสที่ชานชาลาที่ 9 ไปลง JR Nara เนื่องจากไปที่พักไม่ถูกเลย ว่าจะขึ้นแท็กซี่ ติดอยู่ตรงที่ไม่มีเงินมากพอจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เลยเดินตากฝนไปลองลงรถไฟที่สถานี  Kintetsu สบาย ๆ มั่ว ๆ 150 เยน ก็ถึงที่ใกล้ ๆ ที่พักแล้ว ประหยัดไปเกือบยี่สิบเท่า ฝากของเรียบร้อยก็ย้อนกลับมาเริ่มที่สถานี Kintetsu แล้วเดินไปที่วัดโคฟุกุจิ ที่มีเจดีย์ 5 ชั้น ที่สูงเป็นอันดับสองในญี่ปุ่น
เพราะเป็นช่วงงานฉลอง เลยมีการเปิดให้เข้าชมภายในเจดีย์ด้วย แต่มีค่าเข้าชมนะ.. เลยขอดูข้างนอกละกัน แล้วก็เลยไป Nara Park สวนสาธารณะกลางเมืองนารา ที่มีกวางเดินกันเพ่นพ่านไปหมด
ผ่านพิพิธภัณธ์แห่งชาติ นารา ที่แสดงพิณ อายุ 1300 ปี แล้วก็มีคนต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อมีโอกาสเข้าไปชื่นชม คนเยอะ เอาไว้ก่อนละกัน เลยไปเยี่ยมชมมรดกโลก วัดโทไดจิ ผ่านซุ้มประตูนันไดมง
เสาไม้ต้นใหญ่ ๆสิบแปดต้น แล้วมียักษ์แกะจากไม้ทั้งต้นตัวใหญ่มาก ๆ ค่อยเฝ้าประตูทั้งสองข้าง ขอบอกว่าคนเยอะมาก ๆ เบียดกันเลย จากที่เคยมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้คนแน่น ๆ มาก ๆ ถึงมากที่สุด
เข้าไปดูด้านใน เสียค่าผ่านประตูไปห้าร้อยเยน เข้าไปดูวิหารไดบุดสึเดน แปลเอาง่าย ๆ ก็วิหารหลวงพ่อโต นั่นแหละ เพราะมีพระสำริด องค์ใหญ่มาก ๆ สูงสิบหกเมตร หนัก 500 ตัน
ชื่นชมเสร็จก็แวะซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ อุดหนุนทางวัดไป ขอบอกที่วัดนี้มีทำบุญกระเบื้องหลังคาเหมือนบ้านเราเลย บริจาดพันเยน แล้วเขียนชื่อลงบนแผ่นกระเบื้อง.. สงสัยเจ้าอาวาสไปดูงานที่เมืองไทยมา..
ออกจากวัดโทไดจิ ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเดิมทุกครั้งที่มา ยิ่งใหญ่ สวยงาม ล้ำค่า สมแล้วที่เป็นมรดกโลก เดินขึ้นเขาไปต่อที่วัดนิงัตสึโด กับวัดซังงัตซึโด มองลงมาเห็ยอดเจดีย์ห้าชั้น ชัดเจนเลย
พร้อมกับข่าวร้าย กล้องแบตฯ หมด.. บอกไม่ถูกเลยว่าการที่เมมโมรี่เต็มกับแบตฯ หมดอันไหนจะเลวร้ายกว่ากัน
ตัดใจเดินเที่ยวต่อไปตามทางที่มีโคมหินเยอะแยะเรียงรายอยู่ริมทาง ไปสู่ศาลเจ้าทามูเกะยามา ฮาชิมังงุ ไม่รู้อ่านถูกหรือเปล่า Tamukeyama Hachimangu Shrine ศาลเจ้าชื่อดังที่คนมาไหว้ขอเรื่องความรักกัน
คนรักสมบูรณ์แบบผมคงไม่ต้องไหว้ขอกันละ ได้แต่ชื่นชมอย่างเดียว แล้วก็ย้อนกลับออกมาผ่านทางเดิน แวะร้านขายของทุกอย่างร้อยเยน ขึ้นรถไฟกลับที่พัก แล้วก็ออกไปหาของกิน (อีกแล้ว) ที่อร่อย ๆ แถวนั้น
ก็ไม่ผิดหวังอาหารอร่อย แต่ราคาก็สูงไปนิดนึงนะ เสร็จทั้งหมดก็เข้าห้องพักกันละเนี่ย.. นารายังคงเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ผู้คนเป็นมิตร แม้ครั้งนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากมาย แต่เสน่ห์ของนาราก็ยังไม่จางไปนะ

ถ้ามองเห็นความสำคัญของชาติพันธุ์ตัวเอง การพัฒนาคงไปอย่างถูกทางและเหมาะสม
ถ้ามองเห็นคุณค่าของชาติพันธุ์ของตัวเอง อนาคตลูกหลานก็ยังคงมีชาติอยู่..

ทำไมต้องไปลอกเลียนผู้อื่นอย่างมากมาย เหมือนทุกวันนี้ แค่มองให้เห็นคุณค่าของเราแล้วรักษามันไว้ ก็เชิดหน้าชูตาได้แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น