วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ขึ้นเขาหรือลงเขาดี

หายไปนานอีกแล้ว เหมือนเดิม ติดเล่นอยู่
ใช้ชีวิตให้เครียดน้อยลง ไม่ตั้งความหวังไว้ที่คนอื่น แล้วก็แบกความหวังของตัวเองให้น้อยลง
บอกตั้งแต่เดือนก่อนแล้วนะว่าจะเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิต รู้สึกดีมากเลยตอนนี้ กลับมาเขียนเรื่องที่ตั้งใจทำไว้นานแล้วอีกครั้งไม่ใช่ที่กำลังเขียนอยู่นี่นะ ยังมีเรื่องอื่นอีก ว่าจะเขียนให้เป็นนิยายเป็นเล่มเลย ฮ่า ฮ่า พยายามให้จบก่อนสิ้นปี ถ้าเขียนจบแล้ว ขัดเกลาแล้ว จะเอามาลงเป็นตอน ๆ นะ

เดือนนี้มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีกับชีวิตตัวเองที่จะได้ไม่ต้องไปเข้าใจว่าจะมีคนเหมือนเรานะคุณคิดอย่างไร กับการที่มีผลโพล สำนักหนึ่งออกมาบอกว่า
"คนไทยยอมรับได้ ถ้านักการเมืองจะโกงนิด ๆ หน่อย ๆ"ผมเคยมีความคิดแบบนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว "โกงนิดหน่อย ช่างมัน ทำประโยชน์บ้างก็แล้วกัน" แต่ผมก็เปลี่ยนไปแล้ว การใช้ชีวิตด้านดีและเลวนั้น ไม่สามารถแยกกันได้อย่างชัดเจนหรอก ต้องมีสีเทา ๆ บ้างทั้งนั้น แต่ผมพยายามให้ผมมีสีเทาน้อยที่สุดนะทำให้ผมเลิกคิดตามที่โพลออกมาบอกแล้ว นานแล้วด้วยผมไม่เชื่อที่ว่าแค่โกงนิดหน่อย เพราะขึ้นชื่อว่าโกงแล้ว ไม่มีวันพอหรอก จากหนึ่ง เป็นสอง เป็นสาม สี่ ห้า .... เรื่อยไป มากขึ้นเรื่อย ๆไม่มีจุดอิ่มตัว
ดังนั้นหากเริ่มโกง แล้ว ไม่หยุดซะทันที ก็คงมีแต่จะโกงมากขึ้นเท่านั้นเองแล้วคนโกงจะมีความสุขไหม? นี่เป็นคำถามที่ผมสงสัย สงสัยมานานแล้วด้วย ความสุขที่เกิดจากการโกงคืออะไร?จริงหรือที่คนพวกนี้จะกินอิ่ม นอนหลับอย่างปกติ ผมคิดว่าไม่ใช่ ในเมื่อชีวิตของคนเรามีเท่านี้ ทำไมต้องขวนขวายเพื่อตัวเองขนาดนั้น
พูดแล้วก็เบื่อนะ นี่ยังมีเด็กที่เคยทำงานด้วยกันแต่ตอนนี้ได้ดิบได้ดีแล้ว ในความคิดผม เขาคงเติบโดตขึ้นในทางที่ดี ตอนนี้เขามีบ้าน ซื้อรถยนต์ใหม่แต่ใช้ชีวิตอยู่กับการโกงและการมีจิตใจคับแคบ ไม่ส่งต่อความรู้ให้กับผู้อื่น ความรู้ถึงจะให้คนอื่นไป มันก็ไม่ได้หายไปจากเรานะ แต่เขาก็เปลี่ยนไปมากจากช่วงที่ทำงานอยู่ด้วยกันแล้วพยายามแจกจ่ายความรู้และนิสัยเข้าไป แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว ทำให้มีความรู้สึกว่ามองหน้าเขาได้ไม่สนิทใจอีกนะนี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเอาความหวังไปไว้ที่คนอื่น โชคดีที่ผมลดเรื่องการฝากความหวังไปแล้ว เลยไม่ผิดหวัง เพียงแต่ท้อใจนะ

คนจะดีนี้มันเหมือนเดินเท้าเปล่าเข้าป่ารกแถมยังเดินขึ้นเขาละมั้ง ยากลำบากและเหนื่อยอ่อน ต่างกับทางตรงข้ามนะ ถนนโล่ง เดินลง มีรองเท้าสบาย รวดเร็ว แต่ผมยังเชื่อนะว่าปลายทางของสองเส้นทางนี้ต่างกัน
และผมเลือกที่จะเดินขึ้นยอดเขาไปสัมผัสสายหมอก ลมเย็น และบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นและตกสวย ๆ และปลอดภัย
ดีกว่าเดินลงกลางหุบเขาที่เร็วกว่า สบายกว่า แต่ปลายทางเป็นกลางหุบเขาที่วนเวียนอย่างไม่มีทางออก อากาศชื้น อ้าว อึดอัด ไม่เป็นแสงตะวันอาจจะต้องเจอน้ำป่าที่ไหลลงมาจากเข้า หรือสัตว์ร้ายที่ดักอยู่กลางหุบ..วนเวียนอยู่อย่างนั้น ในที่สุดก็เหนื่อยจนไม่อาจเดินขึ้นเขาอีกครั้งได้
ผมอาจจะโชคดีกว่าคนอื่น ตรงที่เคยเดินลงเขาไปครึ่งทางแล้ว แต่ย้อนกลับมาเดินขึ้นเขาได้ทัน เลยมองเห็นว่าปลายทางทั้งสองต่างกันอย่างไร และ ณ ตอนนี้ ผมเลือกแล้วพอแล้ว สำหรับเรื่องท้อใจ

แล้วคุณละ คิดว่าอยากเดินขึ้นเขา หรือเดินลงเขาดี ชีวิตคุณก็อยู่ที่คุณนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น