วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

สถานีสุดท้าย

วันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเที่ยวสวนสนกับ นิตยสารหนีกรุง ซึ่งเป็นสมาชิกอยู่
ในทริปที่เรียกว่า แรลลี่ถ่ายรูป หนีกรุง ปู๊น ปู๊น
เป็นการจัดแรลลี่ บนรถไฟ มีการตามหาปริศนา แล้วถ่ายภาพเพื่อมาตอบปริศนา เป็นการจัดแรลลี่ท่องเที่ยวบนรถไฟที่สนุกสนานมาก อาจเป็นการจัดแรลลี่บนรถไฟ ครั้งแรกด้วยมั้ง
คำถามหนึ่งที่ถูกถามบนรถไฟคือ ครั้งสุดท้ายที่เดินทางด้วยรถไฟคือเมื่อไหร่?
คำถามง่าย ๆ แต่การตอบกลับยากเย็น ทั้งที่เคยเดินทางด้วยรถไฟมาหลายครั้งหลายหน แต่ครั้งสุดท้ายละ?
นั่งรถไฟชั้นสามไปพัทลุง นั่งรถไฟชั่นหนึ่งไปเชียงใหม่ นั่งรถไฟชั้นสามไปลพบุรี นั่งรถไฟตู้นอนไปหาดใหญ่
นั่งรถไฟไปขอนแก่น นั่งไปกาญจนบุรี เรียกได้ว่า เคยนั่งไปเกือบทั่วทุกสายของไทยละ สำหรับรถไฟ
แต่ครั้งสุดท้ายคงนานมาก นานจนลางเลือนว่าเมื่อไหร่ เห็นแค่เงาจาง ๆ ที่ไม่มีความแน่นอน
สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแน่ ๆ ของรถไฟเท่าที่จำได้เมื่อเปรียบเทียบ กับการเดินทางครั้งล่าสุดนี้ คงเป็นโบกี้โดยสาร เก่าเดิม ๆ
หัวรถจักรเดิม ๆ กลิ่นน้ำมันจากการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงเดิม ๆ การเสียเวลารอสลับรางเดิม ๆ คงเส้นคงวามากสำหรับ รถไฟไทย
หากเปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยรถไฟในประเทศอื่น ๆ ญี่ปุ่น เมืองใหญ่ ก็มีรถไฟรุ่นใหม่เร็ว ๆ รถไฟต่างจังหวัด ถึงจะดูเก่า แต่ก็สะอาดและตรงเวลามาก แล้วก็เป็นระบบไฟฟ้าที่ไม่ก่อมลพิษ ไม่รบกวนโลกใบนี้ซักเท่าไหร่
ในยุโรปก็เร็วดี สะอาดกว่าเรา แต่ก็ไม่เท่าญี่ปุ่น มาเลเซีย ก็พัฒนาไปเยอะ
ยังไงการขนส่งระบบรางก็ตอบโจทย์ในการขนส่งจำนวนมาก ๆ หนัก ๆ และหากจัดการดี ๆ ก็รวมไปถึงเรื่องความประหยัดเวลาด้วย ถ้าบ้านเราจะพัฒนาการขนส่งระบบรางจริง ๆ ก็คงจะเป็นประโยชน์มาก นี่หมายถึงกรณีที่มีการพัฒนากันอย่างจริงจังและจริงใจนะ

การไปเที่ยวครั้งนี้มีการประกวดภาพถ่ายด้วย ในหัวข้ออารมณ์รถไฟ แน่นอนว่าต้องมีคนมาเป็นส่วนประกอบอยู่ในภาพ เพื่อแสดงอารมณ์ในการสื่อสารได้ง่ายขึ้น
และก็แน่นอนสำหรับคนที่มองเห็นความงามในตัวมนุษย์ได้น้อยอย่างผม ย่อมไม่อยากให้มีคนมาร่วมอยู่ในภาพให้เสียความรู้สึก จึงสื่อสารแตกต่างจากคนอื่น
ยากที่จะสื่อสารกับผู้อื่น หากมีพื้นฐานความคิดที่ไม่เหมือนกัน

การไปเที่ยวครั้งนี้ปิดท้ายขากลับ ด้วยมินิคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในตู้โบกี้โดยสาร ซึ่งแปลกใหม่ ใกล้ชิดและสนุกสนานมาก ก็ไม่เคยดูคอนเสิร์ตบนรถไฟมาก่อนนี่นะ สนุกกันดี ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ความรู้ใหม่ ๆ และได้ย้ำเตือนถึงความทรงจำเก่า ๆ

ความทรงจำก็เหมือนรางรถไฟ ยิ่งอายุมากขึ้น มองกลับไปก็เห็นรางรถไฟยาวขึ้น แต่มองไปไกล ๆ ก็ย่อมเลือนราง เมื่อหันมามองข้างหน้ามองเห็น แต่ก็ไม่ชัดเจนอยู่ดี
เมื่ออยู่บนโบกี้ ระหว่างการเดินทาง ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ มองภาพข้างทาง ความทรงจำต่าง ๆ ให้มากที่สุด เมื่อถึงสถานีสุดท้าย จะได้ไม่ต้องมาเสียดายว่า
ระหว่างเดินทางไม่ได้มองข้างทางเลย ไม่มีความทรงจำดี ๆ ก็ถึงสถานีสุดท้ายซะแล้ว
รออยู่บนชานชาลา จะไปต่อก็ไม่ได้ จะถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น