วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า (1)


ช่วงนี้งานเยอะมาก จากที่ได้ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะตั้งใจทำงาน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาทันที
ทั้งนี้เพราะไม่ยอมปล่อยให้งานใด ๆ ผ่านมือไปโดยไม่พิจารณาเลย ทำให้รู้สึกว่าทำงานอย่างเต็มที่เหมือนเมื่อก่อน
ไม่ใช่เพราะอยากได้ตำแหน่งหรือลาภยศสรรเสริญ เพียงพยายามทำอาชีพ ให้เป็นสัมมาอาชีพ ที่ประกอบไปด้วยความขยันหมั่นเพียร และความซื่อสัตย์สุจริตอย่างแท้จริง
แต่ยังมีเวลาและโอกาสที่จะให้กับสังคมบ้าง และแน่นอนครอบครัวยังมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ..

ช่วงนี้มีหลายคนหันไปอ่านและเชื่อถือเกี่ยวกับฤกษ์ยาม เวลาดี นาทีทอง กันมาก และมาปรึกษาที่ผมด้วย ทั้งที่ผมไม่ใช่คนที่เชื่อถือเรื่องพวกนี้เลย
เมื่อเรานับถือศาสนาพุทธ เราควรเข้าใจพุทธศาสนา และคำสอนของพราะพุทธเจ้าก่อนว่ามุ่งหมายไปที่สิ่งใด
สิ่งใดควรเชื่อและสิ่งใดไม่ควรเชื่อ


อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บอกต่อ ๆ กันมา
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตาม ๆ กันมา
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง

อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันมีอ้างไว้ในตำรา
อย่าได้เชื่อถือ โดยการเดาของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคาดคะเนของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคิดตามเหตุผลส่วนตัวของตนเอง
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า มันเข้ากันได้กับความเชื่อของตน หรือมีอยู่ประจำใจ
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า ผู้พูดหรือผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่พอจะเชื่อถือได้
อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า ท่านผู้กล่าวสอนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา


คำพูดพวกนี้เป็นคำสอนที่มาจากพระพุทธเจ้า และนำมาสั่งสอนโดยท่านพุทธทาสภิกขุ
ความหมายของคำสอนชุดนี้เป็นอย่างไร ผมอยากจะลองมาพิจารณา และแลกเปลี่ยนกับทุกท่านที่ติดตามอ่านข้อเขียนของผมกันนะครับ


ข้อแรก อย่าได้เชื่อถือโดยเหตุสักว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บอกต่อ ๆ กันมา
ความหมายของข้อนี้เราคงรู้กันดี ไม่ใช่ห้ามไม่ให้เชื่อ แต่ให้พิจารณาถึงเหตุและผลของความเชื่อนั้น ๆ ก่อนเสมอ
อย่างล่าสุด ที่มีข่าวว่า มีเบอร์โทรศัพท์มรณะ ที่พอเรียกเข้ามาที่เครื่อง จะแสดงผลหน้าจอเป็นตัวหนังสือสีแดง และผู้ที่รับโทรศัพท์นั้นจะตาย
แค่ได้ฟังก็ไม่ต้องพิจารณาต่อแล้วว่าจริงหรือไม่จริง ผมได้ยินเรื่องนี้จากคนที่เชื่อ ทั้งที่ทำงานอยู่กับระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ น่าแปลกที่ความรู้เกี่ยวกับงานไม่สามารถช่วยให้เขาเข้าใจได้ว่าเป็นความเชื่อที่ไม่สามารถเชื่อถือได้
หากเราพิจารณาถึงหลักการและเหตุผลในทุก ๆ ความเชื่อ ด้วยสติปัญญา และความรู้ของเรา รวมไปทั้งความรู้ที่สามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายในปัจจุบัน
เราอาจจะแยกความเชื่อที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาได้ว่าสิ่งใดควรเชื่อ และสิ่งใดไม่ควรเชื่อ โดยเราคงต้องคำนึงถึงสถานการณ์ในอดีตที่คนเรายังไม่มีความรู้มากมายอย่างปัจจุบันนี้ด้วย
เพราะในสมัยก่อนการจะสอนหรือบังคับให้คนรู้หรือทำอะไรให้ถูกต้อง ไม่สามารถอธิบายด้วยความจริงได้ เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์สาเหตุ แต่สามารถหาวิธีป้องกันได้บ้าง เพราะวิทยาศาสตร์ในสมัยก่อนยังไม่เจริญเหมือนในสมัยนี้
จึงต้องใช้วิธีการอุปมา เพื่อให้เข้าใจง่าย และทำตามง่าย ดังนั้นเมื่อเราพิจารณาในความเชื่อเดิมใด ๆ ก็ต้องคำนึงถึง จุดประสงค์ของความเชื่อนั้น ๆ ด้วยเสมอ
เพราะปัจจุบันถึงจะมีอะไรต่อมิอะไรทันสมัยเกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่สวนทางกันคือจิตใจของมนุษย์ ที่ตกต่ำลงตลอดเวลา
ดังนั้นสิ่งที่บอกต่อๆ กันมานั้น มีทั้งสิ่งที่เป็นจริง และสิ่งที่ไม่เป็นจริง มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเรา ที่จะเลือกเพื่อบอกเล่าต่อไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไปหรือไม่
ศาสนามีความมุ่งหวังที่จะทำให้จิตใจมนุษย์สูงขึ้น แต่มันยากเหลือเกินหากคนเรายังมุ่งไปสู่ความสุขทางกายอย่างหาที่สุดไม่ได้
คุณจะเชื่ออย่างที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาอย่างงมงาย หรือเลือกจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว อยู่ที่คุณตัดสินครับ
อนาคตของคนรุ่นต่อไปก็เช่นกัน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น